ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 203 กระจกน้ำหนึ่งบาน
ซวนหยวนชิงอวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ได้”
เขาพยายามอย่างสุดความสามารถในการใช้ทักษะวิญญาณของจักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋นเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตนให้อยู่ในจุดสูงสุดของราชาแห่งภูตระดับเก้า อย่างไรเขาก็จะต้องลงมือสังหารลูกน้องของโอวหยางหว่านให้ได้มากที่สุด
มู่หรูเหยียนยิ้มร้าย กล่าวน้ำเสียงเยาะเย้ย “มู่เฉียนซี เจ้าปล่อยให้ผู้ช่วยที่ยากจะปรากฏตัวผู้นี้แยกตัวออกไป คิดจะอวดโอ้ว่าตนแข็งแกร่งสิท่า เหอะ! ช่างโอหังดีแท้ ถึงอย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องตาย ข้าสามารถสังหารเจ้าได้อย่างแน่นอน!” กระบี่มังกรเพลิงของมู่เฉียนซีป้องกันตรงหน้านางไว้ กล่าววาจาตอบโต้มู่หรูเหยียนว่า “จะเอาอย่างไรของเจ้ากันแน่มู่หรูเหยียน ในทีแรกพอข้ามีเสหายมาช่วย เจ้าก็บอกว่าข้าหน้าไม่อายให้บุรุษมาช่วย มาตอนนี้ข้าบอกสหายข้าให้กลับไป เจ้าก็มาทำพูดโม้ใหญ่โต เจ้าไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปหน่อยหรืออย่างไรที่จะโอ้อวดว่าเจ้าจะฆ่าข้าได้แน่นอน ?”
“เจ้ามันคนปากแข็งกระด้าง!” มู่หรูเหยียนโต้ฉุน ๆ ผ้าไหมสีขาวของนางเลื้อยปลิวราวกับงูพิษร้ายที่นําพาเอาสายลมอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้าใส่มู่เฉียนซี
ผ้าไหมนี้ดูนุ่มอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่หากโดนมันโจมตีเข้า กระดูกจะต้องแตกเป็นเสี่ยง ๆ แน่
มู่เฉียนซีรู้สึกว่ามู่หรูเหยียนกลายเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องรู้ความไปเสียแล้ว นางพุ่งไปอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณพลันพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง กวัดแกว่งกระบี่มังกรเพลิงเพื่อตอบโต้
— ปัง! ปัง! ปัง! —
มู่หรูเหยียนสามารถต่อสู้ได้อย่างดุเดือดและโจมตีอย่างกดดันไม่ลดละ นั่นเป็นเพราะนางได้กินยาวิเศษฟ้าดินสูตรที่พัฒนาใหม่เข้าไป จึงได้ทำให้พลังของนางลดไปหนึ่งขั้น แต่บัดนี้พลังของนางฟื้นฟูกลับมาแล้ว นางคือจอมภูตระดับแปดผู้ไม่เกรงกลัวใคร
อย่างไรก็ตาม มู่หรูเหยียนสัมผัสได้ถึงพลังที่เพิ่มมากขึ้นของมู่เฉียนซี สีหน้านางหม่นคล้ำลง นางโจมตีอย่างดุดันขึ้นเรื่อย ๆ
มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก “มู่หรูเหยียน พลังของข้าฟื้นคืนแล้ว เช่นนั้นเวลาตายของเจ้าก็มาถึงแล้ว”
มู่เฉียนซีกระชากเสียง เปล่งออกมาดังก้อง “ผนึกมังกรวารี!”
พลังธาตุวารีก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว มังกรวารีสีฟ้าพุ่งทะยานไปทางมู่หรูเหยียนอย่างเร็วและแรง กระบวนท่าผนึกมังกรวารีนี้ เมื่อก้าวข้ามขึ้นมาสองระดับ มันก็สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ฝ่ายตรงข้ามได้
มู่หรูเหยียนเองก็รู้สึกได้ถึงอันตรายที่กำลั่งพุ่งเข้ามา นางรีบหลบโดยไว ทว่าเมื่อนางได้ปะทะเข้ากับมังกรตัวนั้น กลับรู้สึกว่ามังกรวารีไม่ได้มีพลังทำลายล้างสักเท่าไหร่นัก
กระบวนท่านี้เป็นท่าหลอก! สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างมากทันที
“มังกรเพลิงสังหาร!”
ฉับพลันกระบี่มังกรเพลิงของมู่เฉียนซี ระเบิดพลังอันน่าหวาดกลัวออกมา มังกรเพลิงตัวหนึ่งพุ่งไปยังมู่หรูเหยียนอย่างไม่ปราณี
— ซู่ม! —
เกิดเสียงดังสนั่น ร่างสีขาวของมู่หรูเหยียนลอยกระเด็นออกไป
— ปัง! —
ร่างนางกระแทกลงที่พื้นอย่างแรง ทำให้แผ่นหินบนพื้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ เศษหินนับไม่ถ้วนแทงเข้าไปในผิวหนังของมู่หรูเหยียน นางเจ็บใจจะขาด
‘เจ้าคนเลวมู่เฉียนซี! กล้ามาใช้กลอุบายกับข้ารึ ? ข้าจะต้องฆ่าเจ้า จะต้องฆ่าเจ้าให้ตายอย่างไม่เหลือซาก!’ มู่หรูเหยียนคิด แม้นางจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นางก็ได้รวบรวมพลังวิญญาณแล้วปล่อยออกไปเช่นเดิม
ในเวลานั้นเอง แมลงกู่สีดำจำนวนนับไม่ถ้วนบินไปทางมู่เฉียนซี
เกิดแสงเย็นยะเยือกวาบขึ้น เข็มยาจำนวนนับไม่ถ้วนจากฝั่งมู่เฉียนซีได้พุ่งตรงไปทางแมลงกู่พวกนั้น
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา “ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าชอบพวกแมลงน่ารังเกียจพวกนี้ เช่นนั้นแล้วข้าจึงเตรียมยาฆ่าแมลงเอาไว้แต่แรก ข้าอยากจะเห็นนักว่าแมลงของเจ้าแน่จริง หรือว่ายาฆ่าแมลงของข้ากันแน่ที่แน่จริง”
— ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! —
เมื่อมู่หรูเหยียนปล่อยแมลงออกมาจากร่างนางมากเท่าไร หนอนสีดำบนหน้านางก็เยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนทั้งใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหนอนสีดำน่าเกลียดน่ากลัว
ขณะเดียวกัน การโจมตีของมู่เฉียนซีรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ โชคดีที่มู่เฉียนซีสามารถใช้ดาบมังกรเพลิงและพลังธาตุวารีโจมตีมู่หรูหยียนได้ และเข็มยาที่นางพกติดตัวไว้ นางก็นำเอามาไว้สู้กับแมลงกู่
— ปั้ก! —
ยิ่งสู้กันมากขึ้น หน้าผากของมู่หรูเหยียนก็เริ่มมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา นางครุ่นคิดสงสัยในใจ ‘เหตุใดมู่เฉียนซีถึงได้รับมือยากนัก ? แมลงกู่ของข้านั้นเข้าใกล้ตัวของมู่เฉียนซีไม่ได้เลยให้ตายเถอะ!’
นอกจากนั้นนางก็ไม่รู้ว่ายาแก้ทางนั่นไปเอามาจากที่ใด ยานั่นถึงกับสามารถฆ่าแมลงกู่ที่นางเลี้ยงมาอย่างตั้งใจให้ตายไปได้
มู่หรูเหยียนตะโกนก้อง “เจ้าาาา! มู่เฉียนซี เหตุใดเจ้าถึงไม่ตาย ๆ ไปซะ ?” มู่เฉียนซียิ้มไม่ทุกข์ร้อน นางกล่าว “เจ้านั่นแหละที่ต้องตาย อันตัวข้านี้ยังสามารถอยู่ได้อีกนาน เอ้านี่! มู่หรูเหยียน ข้าให้ของสิ่งนี้แก่เจ้า เจ้าดูให้ดี ๆ ล่ะ”
พลังธาตุวารีของมู่เฉียนซีขยับเบา ๆ ที่ตรงหน้านาง ทันใดนั้นก็ปรากฏกระจกน้ำขึ้นมาบานหนึ่ง ในกระจกน้ำนั้นสะท้อนภาพหญิงสาวผู้หนึ่งที่มีแต่แมลงกู่ดำ ๆ ดุร้ายอยู่เต็มใบหน้า ช่างอัปลักษณ์เหลือจะทน และอีกด้านของกระจก กลับสะท้อนให้เห็นภาพของหญิงสาวที่งดงามเหมือนดั่งภาพวาด หาจุดด่างพร้อยแม้เพียงสักนิดก็ไม่ได้
การแสดงภาพเปรียบเทียบที่ทิ่มแทงจิตใจเช่นนี้ ทำให้มู่หรูเหยียนถึงกับเป็นบ้า ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยเพลิงที่พร้อมจะเผาไหม้ นางกล่าวขึ้นมาอย่างกราดเกรี้ยว “มู่เฉียนซี เป็นเพราะเจ้า ทั้งหมดมันเป็นเพราะเจ้า! หากมิใช่เพราะอยู่ ๆ เจ้าก็เก่งกาจขึ้นมา ข้าคงไม่กลายเป็นคนจรจัดไร้บ้านให้กลับ แต่เดิมข้าเคยเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลมู่”
“กลายเป็นคนจรจัดรึ ?” มู่เฉียนซีเลิกคิ้ว
“หากมิใช่เพราะเจ้า ข้าคงไม่ต้องสละรูปโฉมของข้าและเอาร่างกายมาเลี้ยงแมลงกู่เพื่อเพิ่มพลังความแข็งแกร่งของตนเองเช่นนี้แน่”
“กรี๊ดดดด! มู่เฉียนซีเจ้าไปตายซะ!”
มู่หรูเหยียนโจมตีอย่างบ้าคลั่ง จิตสังหารของนางนั้นช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง ทว่านางยิ่งโจมตีก็ยิ่งไม่เป็นกระบวนท่า พลังวิญญาณของนางแท้ ๆ แต่นางกลับใช้มันอย่างสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ
จิตใจของนางนั้นได้สับสนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในสถานการณ์คิดอยากที่จะข้ามู่เฉียนซี ช่างเป็นความเพ้อฝันโดยสมบูรณ์
มู่เฉียนซีแสยะยิ้ม กล่าวว่า “มู่หรูเหยียน ไม่ว่าเจ้าจะเสียสละมากเพียงใด เจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้!”
“มังกรวารีสะท้านฟ้า!”
ขณะที่มังกรวารีกำลังพุ่งทะยานเข้ามานั้น มู่หรูเหยียนที่ได้สูญเสียสมาธิไปเป็นที่เรียบร้อย ตั้งใจจะหลบกระบวนท่าก็หลบไม่พ้น
— พลั่ก! —
ร่างที่น่าสมเพชของนางถูกกระแทกกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง ทว่ามู่เฉียนซีไม่สงสารเลย นางไม่เปิดโอกาสให้มู่หรูเหยียนได้โต้กลับแม้แต่น้อย นางกลืนยาฟื้นฟูพลังวิญญาณเข้าไปกองใหญ่ แล้วจึงกล่าวขึ้นโจมตีด้วยเสียงเยียบเย็น
“ผนึกมังกรวารี! บุปผาหลั่งสายฝน!”
“อ๊ากกกกก!” เสียงร้อยโหยหวนดังออกมา ในตอนนี้เอง เสื้อผ้าอาภรณ์ขาวสะอาดของมู่หรูเหยียนฉีกขาดไปอย่างน่าสมเพชเวทนา เผยให้เห็นบางอย่างที่น่าขนลุกขนพอง!
แท้จริงแล้วมิเพียงแต่บนใบหน้าของนางเท่านั้นที่มีหนอนกู่อยู่ บนตัวของนางก็มีด้วยเช่นกัน ผิวขาวเหมือนดั่งหิมะนั้นไม่มีอีกแล้ว มีเพียงผิวหนังที่เต็มไปด้วยหนอนกู่สีดำชอนไช
“อี๋!” มู่เฉียนซีร้องออกมาอย่างขยะแขยง สภาพร่างกายของมู่หรูเหยียนน่าสังเวชมากเกินไป
มู่หรูเหยียนแสนทรมาน นางตะโกน “อาจารย์ ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”
โอวหยางหว่านในเวลานี้ต่อสู้ในส่วนของตนก็ตึงมือมากพอแล้ว นางได้ค้นพบเรื่องที่น่ากลัวมากเรื่องหนึ่งนั่นก็คือ…
แม้ว่ามู่อวู่ซวงจะไม่ได้มีพลังที่แข็งแกร่งเหมือนกับนาง และขาทั้งสองข้างก็ไม่สามารถขยับได้ แต่เขากลับตรึงนางเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด
ชายผู้นี้คงมิใช่น้องสามของชายผู้ที่นางรักอย่างลึกซึ้งหรอกใช่หรือไม่ ? เขาแข็งแกร่งอย่างผิดปกติเหมือนกับพี่ชาย
โอวหยางหว่านกล่าวขึ้น “อวู่ซวง เจ้าเป็นน้องชายของเฟิงอวิ๋น เช่นนั้นก็เป็นน้องชายของข้าด้วย ถ้าหากเจ้ายอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี เจ้าอยากได้อะไรข้าจะให้เจ้าทั้งสิ้น”
ในตอนนี้มู่อวู่ซวงสามารถเข้าใจได้ถึงความรู้สึกของมู่เฉียนซีหลานสาวแล้ว ความรู้สึกที่ถูกหญิงชุดดำราวปีศาจวิปริตผู้นี้ทำให้รู้สึกรังเกียจอย่างแทบจะทนไม่ไหว
มู่อวู่ซวงกล่าว “เจ้าจะหลอกตัวเองไปถึงเมื่อไหร่กัน พี่ใหญ่ของข้าจะชอบเจ้าน่ะหรือ ? แม้ว่าเจ้าจะฝันกลางวันสักร้อยชาติก็ไม่มีทาง”
โอวหยางหว่านกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “มู่อวู่ซวง เจ้ากระทำตนไม่น่ารักเช่นเดียวกันกับซีเอ๋อร์ ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะเหลือแค่เพียงซีเอ๋อร์เอาไว้คนเดียวก็พอแล้ว ส่วนเจ้า เมื่อถึงเวลา ข้าคงทำได้เพียงส่งศพของเจ้าให้แก่เฟิงอวิ๋น”
“เจ้าเป็นผู้ที่ทำให้ข้าไม่มีความสุขเอง เมื่อถึงตอนนั้นเฟิงอวิ๋นคงไม่ติดใจอะไร”
น้ำเสียงของโอวหยางหว่านดูอ่อนโยนมีเสน่ห์ อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความออดอ้อน
ยามเมื่อเห็นสตรีตรงหน้า ใบหน้าของมู่อวู่ซวงเปลี่ยนไปเป็นสีดำลงอย่างสมบูรณ์ แววตาของเขาส่องประกายสีเงินอมม่วงออกมา จากนั้นเคียวยมทูตแห่งความตายได้ถูกเขานำออกมา น้ำเสียงของเขาก็ได้เปลี่ยนเป็นเสียงที่เย็นยะเยือกราวกับหิมะปลิวลอยในอากาศกลางฤดูหนาวในฉับพลัน
“หญิงวิปริตเช่นเจ้า หากมีชีวิตอยู่ต่อไปเกรงว่าจะเป็นภัยต่อจื่อเยี่ย ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก ข้าผู้นี้จะส่งเจ้าไปยมโลกเอง ในเมื่อข้าเตือนเจ้าแล้วเจ้ากลับยังคิดไม่ได้ เช่นนั้นก็ตายเสียเถอะ!”
.