ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2030 กลิ่นอายแห่งความมืด
“ข้าคือใครหรือ เจ้าที่มีไหวพริบถึงเพียงหรือว่าคาดเดาไม่ออกอย่างนั้นหรือ?” ซูอี้ชิงกล่าวอย่างเย็นชา
“แต่ข้าก็อยากให้เจ้าเอ่ยปากพูดออกมาเองมากกว่านี่!” มู่เฉียนซีกล่าวพลางคลี่ยิ้มจนตาหยี
อันที่จริงแล้วนางยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก แต่ดูเหมือนว่าซูอี้ชิงจะมองนางแตกต่างจากผู้อื่นมากเป็นพิเศษ
ซูอี้ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ข้าคือชิงหลง”
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นคุณชายชิงหลง โปรดให้คำชี้แนะด้วย!”
ความร่วมมือกันระหว่างหอหมอปีศาจและหอรัตติกาลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว บวกกับความช่วยเหลือของคุณชายชิงหลง จึงทำให้ทั้งหมดผ่านไปด้วยความราบรื่นเป็นอย่างมาก
สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้ ก็ได้ทำให้มู่เฉียนซีพึงพอใจเป็นอย่างมากเช่นกัน
ซูอี้ชิงรู้ดีว่าทั้งหมดนี้ยังไม่เพียงพอ และผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางที่จะพึงพอใจกับอะไรง่าย ๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน
และก็เป็นไปตามที่เขาได้คาดการณ์ไว้ ตอนนี้มู่เฉียนซีกวักมือเรียกเขาพลางกล่าวว่า “อี้ชิงน้อย มานี่หน่อย!”
ทันใดนั้นอุณหภูมิรอบตัวของซูอี้ชิงก็ลดต่ำลงจนเกือบจะติดลบ เพราะทุกครั้งที่ผู้หญิงคนนี้เรียกเขาเช่นนี้ มันจะต้องมีเรื่องอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “การขยายกิจการของหอหมอปีศาจนั้นเป็นไปได้อย่างราบรื่นมาก และคุณภาพของยาลูกกลอนและยาน้ำของพวกเราก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย รวมไปถึงยังมีราคาที่ยุติธรรมอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามันจะทำให้คนที่ต้องสูญเสียผลกำไรเหล่านั้น ลงมือกับหอหมอปีศาจของพวกเราเป็นแน่”
“แต่ก็คงจะมีเพียงแค่กองกำลังที่ไม่เอาไหนเท่านั้น และไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว แต่ทว่าสำนักหมอทมิฬและสำนักหลินเยว่ต่างก็เรื่มเคลื่อนไหวกันแล้ว”
นางเงยหน้าขึ้นมองซูอี้ชิงแล้วกล่าวว่า “สำนักหมอทมิฬกับสำนักหลินเยว่อย่างนั้นหรือ? อี้ชิงน้อยเจ้าว่าเราควรจะทำลายใครก่อนถึงจะดีที่สุด? ที่ข้ากำลังจะพูดก็คือการทำลายล้างพวกเขาให้หายสาบสูญไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่การต่อสู้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นนะ”
เมื่อพูดจนจบ มู่เฉียนซีก็ไม่ได้ระงับจิตสังหารไว้เลยแม้แต่น้อย
ซูอี้ชิงกล่าวอย่างนิ่งสงบว่า “เจ้านี่ช่างเป็นผู้หญิงที่ใจดำอำมหิตเสียจริง ๆ สำนักหมอทมิฬเพียงแค่จ้างวานคนมาฆ่าเจ้าเท่านั้น แต่เจ้าคิดจะทำลายล้างทั้งสำนักเลยอย่างนั้นหรือ อีกทั้งพวกเขายังเป็นกองกำลังระดับสี่ครึ่งอีกด้วย ฉะนั้นมันไม่มีทางที่จะถูกทำลายล้างไปได้ง่าย ๆ เช่นนั้นหรอก”
“นอกจากนี้ยังมีสำนักหลินเยว่อีก คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าอยากจะทำลายสำนักหลินเยว่ด้วยอย่างนั้นหรือ?” การแสดงออกอย่างประหลาดใจของซูอี้ชิงไม่ได้เป็นของปลอมแต่อย่างใด
“ข้าอยากที่จะทำลายสำนักหลินเยว่ มีอะไรที่แปลกประหลาดอย่างนั้นหรือ? เรื่องที่พวกของข้ากับไป๋เจ๋อ ฉงหมิงและจูเชว่ทำลายสำนักหลางซิง ถึงคนอื่นจะไม่รู้ แต่ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่รู้หรอกนะ”
“เจ้ามีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับมู่หลินหลางขนาดนี้ แต่อยากที่จะทำลายกองกำลังของนาง แน่นอนว่ามันต้องแปลกประหลาดอยู่แล้ว! เขาไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีการอะไร จึงทำให้จูเชว่ที่ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้าปลอมตัวอยู่แต่ก็ยังเชื่อเจ้าอย่างสนิทใจได้ถึงเพียงนี้ได้!” ซูอี้ชิงกล่าวพลางเฝ้ามองไปที่มู่เฉียนซี
ในบรรดาพวกเขา คาดว่าน่าจะมีเพียงไป๋เจ๋อและชิงหลงเท่านั้นที่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนาง ก่อนหน้านี้ไป๋เจ๋อมีร่างกายที่อ่อนแอ จึงคาดว่าไม่น่าจะมีโอกาสได้เจอกับมู่หลินหลาง ดังนั้นเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางแล้วจึงไม่ได้แปลกใจมากเท่าไรนัก
แต่จูเชว่นั้นไม่เหมือนกัน เพราะจูเชว่เป็นถึงหัวหน้าหน่วยข้อมูล แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของมู่หลินหลางแต่คาดว่าน่าจะเคยเห็นภาพเหมือนอยู่ดี
และนางก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่เขาได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางแล้ว เขาจะทำใจรับได้ยากเหมือนกับชิงหลงหรือไม่?
“หน้าตาเหมือนกันต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างนั้นหรือ หากข้าบอกว่าข้าคือศัตรูของมู่หลินหลาง เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
“คำพูดของเจ้า ข้าไม่เชื่อมันเลยสักประโยคเดียว! เพียงแค่ตอนนี้ข้าอยู่ในการควบคุมของเจ้า จึงคอยช่วยเจ้าทำงานบางอย่าง แต่เจ้าก็ต้องทำแต่พอดี อย่าคิดว่าได้คืบแล้วจะเอาศอกเป็นอันขาด”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าคิดว่าควรทำลายสำนักหลินเยว่ พวกเราจะได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย เพราะอย่างไรเสียก็มีศัตรูคนเดียวกันอยู่แล้ว”
“ใครจะไปรู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะแทงข้างหลังข้าหรือไม่กันล่ะ”
“เจ้าคือทาสของข้า นี่คือคำสั่งของข้า! ซึ่งเจ้าจะต้องเชื่อฟัง! สำนักหลินเยว่หรือสำนักหมอทมิฬ เจ้าต้องเลือกมาสักแห่งหนึ่ง”
ซูอี้ชิงกล่าวว่า “สำนักหลินเยว่คือกองกำลังระดับสี่ แม้ว่าจะมีมู่หลินหลางคอยหนุนหลัง แต่รากฐานกลับไม่ได้มั่นคงนัก ซึ่งมันก็จัดการได้ง่ายดายกว่าสำนักหมอทมิฬที่เป็นถึงกองกำลังระดับสี่ครึ่งที่มีเบื้องหลังที่ล้ำลึกเช่นนั้น”
แน่นอนว่าจะต้องเลือกเป้าหมายที่อ่อนแออยู่แล้ว เพราะเขาก็ไม่อยากที่จะให้ลูกน้องของเขาต้องได้รับความสูญเสียอย่างหนักเพื่อผู้หญิงคนนี้เช่นกัน
มู่เฉียนซีไม่อาจทนกับทั้งสำนักหลินเยว่และสำนักหมอทมิฬได้ ซึ่งระดับความทนไม่ได้นั้นก็พอ ๆ กันทั้งคู่ แต่นางก็เห็นด้วยที่จะจัดการทำลายล้างสำนักหลินเยว่ที่จัดการได้ง่ายก่อนเช่นกัน
ในเมื่อไม่มีสำนักหลางซิงแล้ว สำนักหลินเยว่ก็ควรที่จะถูกทำลายเช่นกัน และลูกสมุนของมู่หลินหลางก็ไม่ควรที่จะเหลือไว้เลยสักคนเดียว
หลังจากที่ได้ก่อตั้งหอหมอปีศาจเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีก็ยังคงฝึกฝนอยู่ที่หอรัตติกาล เพราะอย่างไรเสียที่นี่ก็มีพันธมิตรที่ดีอยู่มากมายเลยทีเดียว
แต่ภายในสายตาของซูอี้ชิง การที่มู่เฉินซีอยู่ที่นี่ก็เพื่อต้องการจะวางอำนาจในพื้นที่ของเขาเท่านั้น ซึ่งมันก็เหมือนกับระเบิดเวลาอันน่าสะพรึงกลัวเลยทีเดียว
มู่เฉียนซีที่กำลังวางอำนาจอยู่ในอาณาเขตของคนอื่น ก็ได้รับข่าวที่ทำให้นางสนใจเป็นอย่างมากอย่างหนึ่ง
และข่าวนี้ ก็เป็นข่าวที่มาจากลูกน้องของซูอี้ชิงอีกด้วย
“ลูกพี่! ที่ทะเลเมฆาแห่งตะวันออก มีภาพลวงตาของหอคอยสีดำปรากฏขึ้น และดูเหมือนว่าพลังธาตุแห่งความมืดจะสามารถปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ มีคนไม่น้อยที่สงสัยว่าหอคอยนิรันดร์ได้ปรากฏตัวขึ้นมาบนโลกแล้ว”
ขอบเขตทางทิศตะวันออกของราชวงศ์ตงหวง ก็คือทะเลตะวันออกที่ไร้จุดสิ้นสุด และเหนือทะเลตะวันออกนั้น ก็มีอาณาบริเวณของทะเลที่มีความอันตรายเป็นอย่างมาก ซึ่งต่างก็เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับมนุษย์ทั้งนั้น
แน่นอนว่าภายในทะเลตะวันออกอันกว้างใหญ่นี้ ก็มีผู้คนที่ค้นพบสมบัติโบราณมากมาย แต่นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพโบราณอย่างหอคอยนิรันดร์ปรากฏตัวขึ้น
“ลูกพี่ แม้ว่าข่าวนี้จะมีความเป็นไปได้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น! แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลองอยู่ดี! อย่างไรเสียนั่นก็เป็นถึงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ หากสามารถเอามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาได้ มันก็จะต้องมีประโยชน์อันน่าทึ่งมากอย่างแน่นอน”
ซูอี้ชิงกล่าวว่า “ไปสิ! ต้องไปแน่นอนอยู่แล้ว!”
เขาอยากที่จะออกห่างจากผู้หญิงคนนี้ไปให้ไกลเสียที
ลูกน้องของเขามีความสุขมากที่ลูกพี่ตอบรับอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ แต่ผลสุดท้ายซูอี้ชิงกลับกล่าวอีกว่า “เดี๋ยวก่อนนะ ให้ข้าคิดดูก่อน”
ถึงเขาจะตอบรับไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับลืมไปว่าตอนนี้ตนเองไม่ได้เป็นอิสระอีกแล้ว
หากตรงไปทั้งอย่างนี้ ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะสามารถทำเรื่องที่บ้าคลั่งอะไรออกมาอีก
มุมปากของลูกน้องของเขากระตุกเล็กน้อย นี่ลูกพี่คิดจะไปหาแม่นางมู่อย่างนั้นสินะ!
คิดไม่ถึงเลยว่า ลูกพี่จะถูกภรรยาคุมเข้มถึงเพียงนี้
เมื่อได้รับรู้ข่าวนี้จากปากของซูอี้ชิง มันก็ทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในเมื่อไม่ได้ข่าวของไม้เทพแห่งชีวิตแต่มีข่าวของหอคอยนิรันดร์ก็ไม่เลวเช่นกัน
และไม่รู้ว่าทางด้านของจิ่วเยี่ยที่ต้องต่อสู้กับกิเลนแห่งนรกจะราบรื่นดีหรือไม่?
ถึงแม้มู่เฉียนซีจะบอกว่าตัวเองก็อยากจะไปด้วย แต่ผลสุดท้ายซูอี้ชิงกลับกล่าวว่า “แม้ว่าพลังในการต่อสู้ของเจ้าจะไม่เลว แต่การไปยังทะเลตะวันออกนี้มันก็เสี่ยงเกินไปหน่อย เจ้าจะรออยู่ที่หอรัตติกาลหรือจะไปที่หอหมอปีศาจ ก็ตามใจเจ้าเถอะ”
เห็นได้ชัดว่าเขาเมินเฉยต่อมู่เฉียนซีเป็นอย่างมาก และก็ไม่อยากที่จะพามู่เฉียนซีไปวิ่งเล่นด้วยอีกด้วย
“อาถิง! ข้าถูกดูหมิ่นเข้าเสียแล้วล่ะ!” มู่เฉียนซีกล่าวบ่นอย่างโกรธเคือง
“มีข้าไปเป็นเพื่อนนาง คิดไม่ถึงเลยว่าความสามารถของนางจะยังไม่พออีก! เมื่อถึงตอนที่เกิดอันตรายก็อย่ามาให้นางช่วยก็แล้วกัน”
ผู้ผูกพันธสัญญาของตนเอง มีเพียงเขาเท่านั้นที่ดูหมิ่นได้ หากคนอื่นกล้ามาดูถูกแล้วละก็ อาถิงก็จะต้องไม่พอใจอยู่แล้ว
“ถึงความสามารถของข้าจะไม่พอ แต่มีอาถิงเพิ่มไปด้วยก็คงจะเกินพอแล้วสินะ! ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราทั้งสองคนอยู่ดี และเจ้ายังกลายเป็นเด็ก…”
มู่เฉียนซียังไม่ทันที่จะพูดจบกลับก็ถูกซูอี้ชิงขัดจังหวะเสียก่อน “ตกลง! เจ้าอยากไปก็ไป! ข้าจะให้คนเตรียมตัวให้พร้อม”
ซูอี้ชิงใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดในการออกไป และดูเหมือนว่าไม่ต้องการที่จะอยู่กับมู่เฉียนซีอีกต่อไปแล้ว
หลังจากที่ซูอี้ชิงไปแล้ว มู่เฉียนซีก็มองไปที่อาถิงแล้วกล่าวว่า “อาถิง เจ้าคิดว่ามันเป็นของจริงหรือไม่?”
อาถิงกล่าวว่า “ระยะห่างมันไกลกันเกินไป ข้าสัมผัสถึงกลิ่นอายของความมืดไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ลองไปดูสักหน่อยเถอะ! หากมีอะไรซ่อนอยู่แล้วละก็ ก็จะทำให้มั่นใจมากขึ้นในการรับมือกับกิเลนแห่งนรกอะไรนั่น มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าคนที่ยากจะปกป้องตนเองได้อย่างหวงจิ่วเยี่ยจะสามารถจัดการเจ้าสิ่งนั้นได้อย่างนั้นหรือ?”
“เช่นนั้นจิ่วเยี่ย…” และความกังวลฉายแววอยู่ภายในดวงตาของมู่เฉียนซี