ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2065 เป็นเจ้าจริง ๆ
“เจ้า!” เขาจ้องไปที่มู่เฉียนซีด้วยความโกรธ
มู่เฉียนซีค่อย ๆ เดินเข้าไปและหยุดอยู่ข้างกายเขา จากนั้นก็กล่าวกับเขาว่า “ในเมื่อเจ้ารู้จักหญ้าวิญญาณขั่วหยิน แน่นอนว่าเจ้าน่าจะเก็บมันมาบ้างแล้วสินะ! เอามันออกมาซะ!”
“เจ้ามีสิทธิ์อะไร?” เขากล่าว
“เจ้าคิดว่ามีสิทธิ์อะไรกันล่ะ?” มู่เฉียนซีเล่นพัดวิหคเฟิงหลิงที่อยู่ในมือ และดวงตาที่เย็นยะเยือกของนางก็สว่างวาบขึ้น
จากนั้นธาตุวายุก็กระเพื่อมอยู่รอบตัวของเขาเป็นระลอก และมันก็ได้ฉีกบาดแผลของเขา จนทำให้เขาต้องเจ็บปวดจนขบฟันเอาไว้แน่น
“มีแค่นี้แหละ!”
เขาหยิบเอาสมุนไพรวิญญาณขั่วหยินออกมาสามต้น ถึงจะมีคุณภาพที่ไม่สูงนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “นี่คือผนึกซวน ถือว่าข้าซื้อมันก็แล้วกัน!”
“เจ้าต้องการซื้อสมุนไพรวิญญาณขั่วหยินสามต้นนี้ด้วยหยกวิญญาณเพียงก้อนเดียวเนี่ยนะ นี่เจ้าทำเหมือนกับให้ขอทานอย่างนั้นแหละ!”
“นี่ข้าไม่ได้ให้ขอทานเสียหน่อย แต่กำลังมอบให้กับศัตรูผู้พ่ายแพ้ต่างหาก! ผนึกซวนแค่ชิ้นเดียวนี้ยังถือว่าดีกว่าเจ้าที่ไม่คิดจะจ่ายเลยสักแดงเดียวด้วยซ้ำ ฉะนั้นถือว่าข้ามีความกรุณามากกว่าอีกนะ”
ความกรุณาหรือ! ชายผมขาวนึกถึงคำนี้อยู่ภายในใจ และทำได้เพียงกัดฟันเท่านั้น
อย่างไรเสียไม่ว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม มู่เฉียนซีก็เก็บสิ่งของทั้งหมดไปตามที่ใจต้องการเรียบร้อยแล้ว
ชายผมขาวกล่าวว่า “ข้ายอมรับว่าเจ้าค่อนข้างมีความสามารถ ฉะนั้นคราวนี้ข้ายอมรับความพ่ายแพ้! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ และจากนี้ไปจะไม่หาเรื่องเจ้าอีก”
เขาขยับร่างเพื่อถอยห่างออกจากมู่เฉียนซี ทว่ามู่เฉียนซีกลับกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าปล่อยให้เจ้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้ายังต้องการอะไรอีกกันแน่?”
“เจ้าต้องออกไปจากสุสานโบราณแห่งนี้ซะ ฉะนั้นเจ้าจะให้ข้าช่วยใช้มีดแทงเจ้าเพิ่มอีกสองสามแผล หรือว่าจะออกไปด้วยตนเองกันล่ะ!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉย
“มู่เฉินซี เจ้าอย่าให้มันมากเกินไปนักนะ” นี่เพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นานเท่าไร หากเขาต้องมาตกรอบตอนนี้ มีหวังต้องโดนหัวเราะเยาะตายแน่
“เกินไปอย่างนั้นหรือ? สำหรับคู่แข่งแล้ว หากให้เขาออกไปจากสนามให้เร็วที่สุดก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว! คนที่ต้องการจะจัดการข้านั้นมีมากมายนัก เมื่อลดลงไปหนึ่งก็เหมือนปัญหาลดน้อยลงไปนิดหน่อยด้วย!” มู่เฉียนซีกล่าวพลางมองไปที่เขา
“ดูเหมือนว่าเจ้าก็รู้ตัวเองดีสินะ คาดว่าอัจฉริยะครึ่งหนึ่งของดินแดนทางทิศตะวันออกน่าจะมองว่าเจ้าขวางหูขวางตาอย่างแน่นอน อย่าคิดว่าแค่เอาชนะข้าแล้วจะดูเก่งกาจมากนักนะ! ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าข้ามากมายนัก เจ้ารอรับความโชคร้ายได้เลย!”
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ และในตอนนี้พัดที่เป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพก็กำลังจ่ออยู่ที่ต้นคอของเขาแล้ว
“หากยังพูดคำที่ไม่น่าฟังเหล่านั้นอีกละก็ ระวังหัวของเจ้าจะร่วงไปอยู่บนพื้นเอานะ!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยแววตาที่เย็นยะเยือก
เขาสามารถสัมผัสถึงเจตนาฆ่าได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากตกรอบเร็วขนาดนี้ แต่ก็กลัวตายเช่นกัน! ฉะนั้นจึงทำได้เพียงยอมแพ้ และรีบออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่จัดการตัวประกอบไปได้คนหนึ่งแล้ว มู่เฉียนซีก็พุ่งตรงเข้าไปยังส่วนลึกของสุสานโบราณแห่งนี้
ก่อนหน้านี้เจอคนไม่มากเท่าไรนัก แต่ทว่าเบื้องหน้าในตอนนี้กลับมีคนอยู่ไม่น้อยเลย
“ให้ตายเถอะ! ได้พบกับสถานที่ฝังศพแล้ว แต่ทำอย่างไรก็ผ่านเข้าไปไม่ได้เสียที มันควรที่จะต้องทำเช่นไรกันแน่?”
“นี่ยังวนอยู่ที่เดิมอยู่เลย!”
“ช่างโชคร้ายจริง ๆ ทำไมถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย”
ในตอนนี้มู่เฉียนซีก็ได้มาถึงแล้วเช่นกัน พลังวิญญาณที่เย็นยะเยือกนี้ทำให้พลังของบริเวณโดยรอบเปลี่ยนไป ซึ่งมันก็ได้ขังทุกคนเอาไว้ที่นี่
ในตอนที่มู่เฉียนซีปรากฏตัวขึ้น พลังวิญญาณก็แผ่กระจายออกมา และมันก็ได้เปิดเส้นทางออกมาเส้นทางหนึ่งในทันที
ในตอนที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกอยู่นั้น มู่เฉียนซีกลับเดินตรงไปข้างหน้าอย่างผ่อนคลาย และในตอนนี้คนอื่นก็เริ่มสังเกตเห็นนางแล้ว
“เหตุใดคนคนนั้นถึงได้มาถึงที่นี่อย่างใจเย็นขนาดนั้นกันล่ะ?”
“นางดูคุ้นตามากเลย! นางคือมู่เฉินซีคนนั้นไม่ใช่หรือ?”
“ลองต่อสู้กับนางดูสิ!”
พวกเขาสัมผัสได้ว่าความผันผวนที่อยู่โดยรอบตัวของมู่เฉียนซีนั้นแตกต่างออกไป และพวกเขาก็วางแผนที่จะลองสู้กับนางอย่างสุดความสามารถดูสักตั้ง จึงได้เดินตามมู่เฉียนซีเข้าไป
และเมื่อรอกระทั่งพวกเขาออกมาจากพื้นที่นั้นได้แล้ว พวกเขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าพวกเขาบังเอิญจับผลัดจับผลูออกมาได้อย่างไม่คาดคิด
เดิมทีคิดอยากที่จะขอบคุณมู่เฉินซี แต่ผลสุดท้ายกลับค้นพบว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก และอยู่ห่างจากพวกเขาไปไกลมากแล้ว อีกทั้งหากจะไล่ตามไปก็ยากที่จะตามได้ทันอีกด้วย!
พวกเขาบ่นพึมพำว่า “ดูเหมือนว่ามู่เฉินซีผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้ก็เป็นคนที่ไม่ธรรมดามากคนหนึ่งเช่นกัน!”
“นางค่อนข้างพิเศษเลยทีเดียว! แต่เมื่อเทียบกับนายน้อยของสำนักหมอทมิฬแล้วก็น่าจะด้อยกว่ามาก! ถึงอย่างไรดินแดนทางทิศตะวันออกของพวกเราก็ยังมีอัจฉริยะลำดับต้น ๆ ที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าอยู่เชียวนะ!”
“ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะมีผลเป็นอย่างไร? ถึงอย่างไรคุณสมบัติของพวกเราก็อยู่ในระดับกลางเท่านั้น และหวังเพียงแค่ว่าสุดท้ายแล้วจะอยู่ในอันดับที่ไม่น่าเกลียดเกินไปนักก็พอแล้ว”
มู่เฉียนซีพบเจอสัตว์วิญญาณโบราณในสุสานโบราณไม่น้อยเลย และในระหว่างที่ต่อสู้อย่างต่อเนื่องอยู่นั้น นางก็มีความรู้สึกว่าหากต่อสู้ต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ บางทีอาจจะสามารถบรรลุขั้นภายในคราวเดียวก็เป็นได้
หลังจากนั้น นางจึงเริ่มค้นหาสัตว์วิญญาณโบราณที่แข็งแกร่งเพื่อต่อสู้อย่างต่อเนื่องต่อไป
ในขณะที่คนอื่นพยายามหลบเลี่ยงเจ้าพวกตัวใหญ่ แต่นางกลับขันอาสาเข้าไปเข่นฆ่าพวกมันด้วยตนเอง
อีกทางด้านหนึ่ง
“ดูเหมือนว่าลูกศิษย์ของสำนักเซิ่งหลินอย่างพวกเจ้าจะอ่อนแอเกินไปแล้วนะ!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เจ้าพวกไร้ความสามารถอย่างพวกเจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าจะไปกอดแข้งกอดขาอัจฉริยะอันดับหนึ่งจากดินแดนทางทิศใต้อย่างมู่เฉินซี ช่างทำให้เหล่าลูกศิษย์สำนักของดินแดนทางทิศตะวันออกอย่างพวกเราขายหน้าเสียจริง ๆ เลย”
“……”
ในขณะนี้มู่เฉียนซีกำลังถูกสัตว์วิญญาณโบราณที่มีความสามารถใกล้เคียงกับสัตว์เทพไล่ล่าอยู่ และตอนนี้นางก็หนีมาจนได้ยินเสียงของคนที่อยู่ข้างหน้าเหล่านั้น
มีคนอยู่ไม่น้อยเลยนี่! นอกจากนี้นางยังได้ยินคำว่าสำนักเซิ่งหลินอีกด้วย
พวกของเซิ่งชงกล่าวอย่างไม่พอใจมากว่า “ชิ! พวกเจ้านี่น่าทึ่งมากเลยจริง ๆ! หากพวกเจ้าไม่ได้ใช้พิษ และอาศัยว่าตนเองมีจำนวนคนที่มากกว่า เศษสวะของหอตงเฟิงอย่างพวกเจ้าก็คงจะถูกพวกข้าโจมตีจนล้มลงไปนานแล้ว”
“นั่นน่ะสิ”
แม้ว่าทุกคนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ทว่าพลังของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนเหล่านี้เลย
“คิดไม่ถึงเลยว่าไม่ได้เจอกันมาสองปี พวกขี้ขลาดอย่างสำนักเซิ่งหลินของพวกเจ้าจะกระดูกแข็งขึ้นถึงเพียงนี้! โจมตีพวกมันซะ! โจมตีพวกมันจนกว่าจะคุกเข่าร้องเรียกผู้อาวุโสก่อนค่อยว่ากัน”
“สั่งสอนบทเรียนให้คนกลุ่มนี้สักหน่อย!”
ในตอนที่พวกเขากำลังจะลงมืออีกครั้งนั้น ก็มีเสียงที่เย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“โอ้! คนของหอตงเฟิงอย่างพวกเจ้าดูแล้วช่างลำพองมากเหลือเกินนะ! ในเมื่อเก่งกาจถึงเพียงนั้น ข้าขอมอบเจ้าตัวนี้ให้พวกเจ้าจัดการหน่อยก็แล้วกัน”
ร่างสีขาวสว่างวาบขึ้น และก็ทะลุผ่ากลางกลุ่มคนของหอตงเฟิงเหล่านี้ไป
พวกเขายังไม่ทันได้เห็นว่าคนที่พุ่งออกไปอย่างกะทันหันผู้นั้นคือผู้ใด ก็มีสิ่งที่มีขนาดใหญ่มหึมาราวกับภูเขาลูกใหญ่ก็มิปาน ที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเน่าเหม็นตัวหนึ่งพุ่งกระโจนเข้ามาใส่พวกเขาเสียแล้ว
“พระเจ้า! มันคือสัตว์วิญญาณโบราณ!”
“สัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“……”
สัตว์วิญญาณโบราณตัวนี้ก็คือหมียักษ์ ที่สามารถสังหารคนได้ด้วยกลิ่นที่เหม็นเน่านั่น อีกทั้งยังมีความสามารถที่แข็งแกร่งอีกด้วย
มันกำลังไล่ล่ามู่เฉียนซีมา แต่ตอนนี้มู่เฉียนซีกำลังยืนอยู่กับคนเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องคิดว่าพวกเขาคือศัตรูด้วยเช่นกัน ดังนั้นมันจึงโจมตีพวกเขาไปด้วยทันที!
“สู้สิ!”
“หากไม่อยากตายแล้วละก็ จงฆ่ามันซะ!”
“……”
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ ทำให้พวกเขาจำต้องต่อสู้กับเจ้าหมีตัวนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
และในตอนที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่อย่างดุเดือดนั้น มู่เฉียนซีก็พุ่งตรงไปยังคนของสำนักเซิ่งหลินเหล่านั้น เมื่อเห็นนาง พวกเขาก็กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ลูกพี่นี่!”
“ลูกพี่มาช่วยพวกเราแล้ว”
มู่เฉียนซีโบกมือพลางกล่าวว่า “พวกเจ้ามัวตะลึงอะไรกันอยู่! ยังไม่รีบออกไปจากที่นี่ให้ไกลอีก! บาดเจ็บหนักขนาดนี้แล้ว เจ้าตัวนั้นตบเพียงทีเดียวพวกเจ้าก็ตายได้เลย!”
เมื่อได้รับการสั่งสอนจากมู่เฉียนซี พวกเขาจึงตอบกลับอย่างเชื่อฟังว่า “ขอรับ!”
พวกเขารีบร้อนหนีไปจากศูนย์กลางของการต่อสู้นั้น และคอยเฝ้าดูความโชคร้ายของสวะอย่างหอตงเฟิงเหล่านั้น ในที่สุดคนของหอตงเฟิงเหล่านั้นก็รู้แล้วว่าผู้ใดคือคนที่พาเจ้ายักษ์ใหญ่นี่มาจัดการพวกเขา
พวกเขาร้องตะโกนว่า “บัดซบเอ้ย! มู่เฉินซี เป็นเจ้า เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย!”
“ไอ้สารเลวเอ้ย! แกควรจะไปไล่ฆ่าผู้หญิงคนนั้นสิ จะมาโจมตีพวกข้าทำไมกัน?” ตอนนี้พวกเขายากที่จะหาวิธีแยกร่างไปจัดการกับมู่เฉินซีได้ ดังนั้นจึงเริ่มอธิบายกับเจ้าหมียักษ์ตัวนั้น และหวังว่าจะสามารถทำให้เจ้าหมียักษ์ตัวนี้ไปฆ่ามู่เฉินซีได้
.