ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2066 หญิงผู้ชั่วร้ายจากหลินเยว่
แน่นอนว่า สัตว์วิญญาณโบราณตัวนี้ไม่สนใจคำพูด และไม่ฟังเหตุผลของพวกเขาอยู่แล้ว
ปัง ปัง ปัง!
เจ้าหมียักษ์ตัวนั้นใช้สิ่งที่รูปร่างเหมือนระฆังโบราณโจมตีพวกเขา และมันก็ทำให้คนของหอตงเฟิงหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าคนเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นคนโง่เง่าเช่นกัน ก่อนหน้านี้มู่เฉียนซีดึงดูดเจ้าสิ่งนี้มาได้อย่างไร พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะเลียนแบบและทำตามอย่างนั้น
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
พวกเขาพุ่งตรงไปยังทิศทางที่พวกของมู่เฉียนซีอยู่ทันที
“บ้าเอ้ย! พวกเจ้าอย่าคิดที่จะถอยไปได้อย่างปลอดภัยเลย ในเมื่อพวกข้าต้องทุกข์ทรมาน ฉะนั้นพวกเจ้าก็อย่าคิดที่จะผ่านไปได้อย่างสุขสบาย”
“โฮกกกก!”
“ลูกพี่!” คนเหล่านั้นต้องการที่จะลากพวกเขาลงไปในน้ำด้วย และตอนนี้ก็หนีไปไหนไม่พ้นแล้ว
แต่พวกเขาก็ยังคงเชื่อว่า ลูกพี่จะต้องมีหนทางอย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “พวกเจ้าคอยดูเจ้าพวกเศษสวะจากหอตงเฟิงเหล่านั้นอย่าปล่อยให้พวกมันมาเกะกะ เดี๋ยวข้าจะไปจัดการเจ้ายักษ์ใหญ่ตัวนั้นเอง!”
“ขอรับ!”
ร่างสีม่วงพุ่งทะยานผ่านไป จากนั้นก็ลงมือในทันที
ตูมมมม!
การโจมตีได้กระแทกลงไปบนร่างกายของมัน ซึ่งทำให้มันโมโหมากขึ้นไปอีก และหลังจากนั้นมันก็พุ่งเข้าโจมตีมู่เฉียนซีทันที
ปัง ปัง ปัง!
และนี่ก็ทำให้คนของหอตงเฟิงเหล่านั้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ไปเร็ว!”
พวกเขาอยากจะหนีไป แต่ทว่ากลับถูกคนของสำนักเซิ่งหลินขวางทางเอาไว้เสียก่อน
“ลูกพี่ของพวกข้ายังไม่ได้อนุญาตให้พวกเจ้าไป เช่นนั้นพวกเจ้าก็อย่าคิดที่จะหนีไปไหนได้แม้แต่คนเดียวเลย”
คนของหอตงเฟิงกล่าวอย่างเหลือเชื่อว่า “ตอนนี้พวกข้าไม่ต้องการที่จะหาเรื่องพวกเจ้าอีกแล้ว เพราะการหนีเอาชีวิตรอดนั้นสำคัญกว่า ถอยออกไปซะ หากรอจนสัตว์วิญญาณตัวนั้นจัดการมู่เฉินซีได้แล้ว ตอนนั้นพวกเราจะต้องเจอปัญหาเป็นแน่”
“คิดว่าลูกพี่จะจัดการเจ้าตัวนั้นไม่ได้อย่างนั้นหรือ กำลังล้อเล่นอะไรอยู่น่ะ” สำหรับคำพูดของพวกเขาแล้ว ลูกศิษย์ของสำนักเซิ่งหลินต่างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้กันทั้งหมด
“พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรือ เหตุใดถึงเชื่อมั่นผู้หญิงคนนั้นถึงเพียงนี้ หรือเพราะนางเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้อย่างนั้นหรือ?” คนของหอตงเฟิงมองพวกเขาเหล่านี้ราวกับกำลังมองคนโง่อย่างไรอย่างนั้น
หากอาศัยเพียงแค่ฉายาอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้ คงไม่สามารถทำให้ลูกศิษย์ของสำนักเซิ่งหลินมีความเชื่อมั่นต่อมู่เฉียนซีได้อย่างสุดหัวใจถึงเพียงนี้แน่นอนอยู่แล้ว
แต่เป็นเพราะประสบการณ์ในการต่อสู้ที่เกาะเฮยสุ่ยในครั้งนั้นของพวกเขา อีกทั้งนางยังสามารถทำให้พวกเขาออกมาได้อย่างปลอดภัย ฉะนั้นพวกเขาจึงรู้ดีว่าไม่ว่าสถานการณ์ในสถานที่แห่งนี้จะเป็นเช่นไร มันก็คุ่มค่าที่จะเชื่อมั่นในตัวลูกพี่อยู่แล้ว
“จะหยุดรออยู่ที่นี่ หรือจะต่อสู้กันก็เอาเถอะ! พวกข้าไม่กล้วเจ้าอยู่แล้ว” คนของสำนักเซิ่งหลินทุกคนตอบกลับมาอย่างแข็งกร้าว
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการพวกเจ้าไม่ได้” ในเวลานี้คนของหอตงเฟิงก็โกรธเป็นฟืนเเป็นไฟขึ้นมาแล้ว จากนั้นก็ลงมือโจมตีอย่างรุนแรง
ตูมมมม โครมม!
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมา และมู่เฉียนซีก็ต่อสู้กับเจ้าตัวยักษย์นั้นอย่างยากที่จะแยกออกจากกันได้
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
“เกราะพลังวายุ!”
และไม่รู้ว่าต่อสู้ไปนานเท่าไร แต่ถึงอย่างไรคนของหอตงเฟิงก็รู้สึกเพียงแค่ว่า ยิ่งเวลานานขึ้นเท่าไร มันก็ยิ่งน่าหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น ทว่าเจ้าพวกคนของสำนักเซิ่งหลินเหล่านี้จะต้องบ้าไปแล้วเป็นแน่
ตัวเองไม่อยากไปแล้วยังไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปอีก!
ตูมมม!
ในเวลานี้เอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงของเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวนั้นกระแทกลงไปบนพื้น
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปใกล้ ก็ได้เห็นว่าสัตว์วิญญาณตัวยักษ์นั้นกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายอยู่บนพื้นเต็มไปหมด และมันก็ได้ตายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
พวกเขาแต่ละคนต่างอ้าปากค้าง และบ่นพึมพำกับตนเองว่า “นี่มันเป็นไปไม่ได้หรอก?”
“มันคือเรื่องโกหก!”
พวกเขาทั้งกลุ่มต่างก็จัดการเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์นี่ไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่ามู่เฉินซีจะสามารถจัดการมันได้เพียงลำพัง นี่มันเป็นเรื่องที่น่าเขย่าขวัญเกินไปแล้ว
มู่เฉียนซีหันกลับมามองพวกเขาแล้วกล่าวว่า “จัดการมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็ถึงเวลาจัดการพวกเจ้าแล้วสินะ! ได้ข่าวมาว่าพวกเจ้าไม่พอใจข้าเป็นอย่างมาก ฉะนั้นก็โจมตีเข้ามาสิ?”
ในเวลานี้พวกเขาจ้องมองไปทางมู่เฉียนซีด้วยแววตาที่เหมือนมองสัตว์วิญญาณโบราณก็มิปาน พวกเขาสั่นเทาไปทั่วทั้งร่าง แล้วจะเอาความกล้าที่ไหนมาโจมตีมู่เฉียนซีกัน
มู่เฉียนซีมองไปทางคนของสำนักเซิ่งหลินเหล่านั้นพลางกล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้าพวกนี้กล้ามารังแกพวกเจ้า เช่นนั้นข้าจะจัดการให้ครึ่งหนึ่ง ส่วนพวกเจ้าก็จัดการอีกครึ่งหนึ่ง จงจัดการอย่างรวดเร็วฉับไว อย่าให้ต้องมาเสียเวลากับพวกเขาอีก”
“ขอรับ!” สำหรับคำพูดของมู่เฉียนซี พวกเขาไม่มีข้อคัดค้านใด ๆ อยู่แล้ว
ทันใดนั้น พวกเขาก็แบ่งกลุ่มกันโจมตีทันที
แม้ว่ามู่เฉียนซีเพียงคนเดียวจะต้องจัดการคนในจำนวนที่เยอะพอ ๆ กับคนอื่น แต่นางกลับจัดการเสร็จก่อนพวกเขาเสียอีก
ส่วนสาเหตุหลักก็เป็นเพราะว่ามู่เฉียนซีสามารถเอาชนะเจ้าตัวที่ทรงพลังเช่นนั้นได้ มันจึงทำให้พวกเขาเกิดความหวาดกลัวมาจากก้นบึ้งของหัวใจ และมันก็ทำให้พวกเขาสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง
“จะให้พวกเราลงมือ หรือว่าจะตกรอบไปเองล่ะ!”
“ข้าเลือกตกรอบด้วยตนเอง!”
“เลิกตีได้แล้ว! ข้าจะตกรอบไปเอง”
“……”
พวกเขาที่ถูกทุบตีจนหวาดกลัวจึงทำได้เพียงแต่ร้องขอความเมตตา อันที่จริงแล้วพวกเขาเพียงแค่อยากรังแกคนของสำนักเซิ่งหลินสักหน่อยก็เท่านั้นเอง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นการยั่วยุเจ้าพวกปีศาจร้ายเช่นนี้ไปเสียได้
ทันใดนั้นคนกลุ่มนี้ก็หายวับไปจากเบื้องหน้าของพวกเขาทันที
หลังจากที่จัดการพวกเขาเรียบร้อยแล้ว มู่เฉียนซีจึงกล่าวว่า “ถึงจะเจอกันโดยบังเอิญและช่วยลงมือพอดี แต่การหาประสบการณ์เพียงลำพังจะเป็นผลดีต่อพวกเจ้ามากกว่า ดังนั้นพวกเราแยกย้ายกันเถอะ!”
ภายในใจของพวกเขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ปฏิเสธแผนการเช่นนี้ของมู่เฉียนซีแต่อย่างใด
“พวกเราเข้าใจแล้ว!”
“งั้นไว้เจอกันนะ! หวังว่าพวกเจ้าจะได้รับอันดับที่ดีกันล่ะ” มู่เฉียนซีโบกมือลาพวกเขา และร่างสีม่วงนั้นก็พุ่งทะยานออกไปราวกับสายลมอย่างไรอย่างนั้น
ในตอนที่มู่เฉียนซีได้หายไปจากเบื้องหน้าของพวกเขา เซิ่งชงก็กล่าวว่า “มัวตะลึงอะไรกันอยู่! ยังไม่รีบเคลื่อนไหวอีก หากพวกเราเอาลำดับที่ดีมาไม่ได้ ลูกพี่จะต้องขายหน้าเป็นแน่! อย่างไรเสียคราวนี้อันดับหนึ่งก็ต้องเป็นของลูกพี่อยู่แล้ว”
“เจ้าพูดถูกแล้ว ดูท่าว่าพวกเราจะต้องต่อสู้กันให้ดีแล้วล่ะ”
จากนั้นพวกเขาก็เลือกสถานที่หนึ่งและพุ่งทะยานไปทันที
ส่วนมู่เฉียนซีนั้นดำเนินการเพียงลำพัง นางมองหาสมุนไพรวิญญาณขั่วหยินไปด้วย และไล่ฆ่าสัตว์วิญญาณโบราณไปด้วย นอกจากนี้ยังถือโอกาสทำให้พวกผู้เข้าแข่งขันที่ชอบมาหาเรื่องตกรอบไปพร้อมกันด้วย
หลังจากที่บุกทะลวงเพียงลำพังมาสองสามวัน นางก็ได้ยินเสียงต่อสู้ดังมาจากข้างหน้าไม่ไกลนัก ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องปกติของที่นี่อยู่แล้ว ฉะนั้นมู่เฉียนซีจึงได้เดินตรงผ่านไปโดยที่ไม่คิดจะอ้อมเลยแม้แต่น้อย
เป็นผลให้นางได้เห็นเป็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเสื้อผ้าของผู้หญิงเหล่านี้ก็ทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างมาก!
จากนั้นแสงสลัวก็สว่างวาบขึ้นมาในดวงตาของนาง เพราะนี่คือคนของสำนักหลินเยว่นั่นเอง
ลูกศิษย์ของสำนักหลินเยว่เหล่านี้ กำลังไล่ล่าพี่น้องคู่หนึ่งอยู่ และพี่น้องคู่นั้นก็มีจำนวนคนที่น้อยกว่ามาก อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย นอกจากนี้พวกนางยังถูกคนของสำนักหลินเยว่ปิดล้อมเอาไว้แล้ว
หญิงสาวที่ดูแล้วอายุมากกว่าเล็กน้อยกล่าวขึ้นมาว่า “พวกเจ้าต้องการที่จะทำอะไรกันแน่?”
“พวกเราจะให้โอกาสในการฝึกฝนที่ดีแก่พวกเจ้าทั้งสอง จะเข้ามาในสำนักหลินเยว่ของพวกเรา เพื่อเป็นคนรับใช้ของสำนัก! หรือข้อสอง! คือตายไปอย่างทุกข์ทรมานเสีย”
“ได้ยินมานานแล้วว่าสำนักหลินเยว่ของพวกเจ้าชอบกระทำการอย่างเอาแต่ใจและไร้เหตุผล นอกจากนี้มักจะใจแคบกับหญิงสาวที่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนที่ดีโดยเฉพาะ! เดิมทีคิดว่าพวกเจ้าคงไม่กล้าสร้างปัญหาในงานชุมนุมอัจฉริยะของดินแดนทางทิศตะวันออกได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะไร้ยางอายเช่นนี้” น้องสาวคนนี้กล่าวอย่างเย็นชา
“พวกเราไม่มีทางยอมแพ้แน่ อย่างมากก็แค่ต้องต่อสู้กับพวกเจ้าก็เท่านั้นเอง!”
ทั้งสองมีพรสวรรค์ที่ไม่เลวเลย ทั้งเด็ดเดี่ยวและไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย พวกเขายกกระบี่ในมือขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากนั้นทั้งสองก็เชื่อมโยงจิตใจกันเพื่อโจมตีด้วยทักษะวิญญาณกระบี่คู่
“คนคู่กระบี่คู่อย่างนั้นหรือ! มันช่างน่าสนใจจริง ๆ! แต่ก็มาได้เท่านี้แหละ! ในเมื่อไม่ยอมเชื่อฟัง เช่นนั้นก็จงพบกับจุดจบที่น่าสังเวชไปเสียเถอะ”
ปัง ปัง ปัง!
พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่สุดท้ายแล้วสองพี่น้องก็ถูกคนของสำนักหลินเยว่จับเอาไว้ได้อยู่ดี
อย่างมากที่สุดพวกนางก็แค่ตกรอบ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าคนของสำนักหลินเยว่จะใช้วิธีบางอย่าง ทำให้พวกเขาไร้พลังไปอย่างสิ้นเชิง และไม่สามารถทำให้ตนเองออกไปจากสถานที่แห่งได้
“เจ้า…พวกเจ้า…”
“คิดจะออกไปจากที่นี่หรือ ข้าจะบอกให้ ว่ามันเป็นเพียงแค่ความคิดเพ้อเจ้อของพวกเจ้าเท่านั้นแหละ!” ศิษย์พี่หญิงที่เป็นผู้นำของสำนักหลินเยว่คนนั้น จ้องมองไปทางพวกเขาอย่างมาดร้าย
.
.