ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2075 สู้นางไม่ได้
ทว่าในเวลานี้ กลิ่นอายรอบตัวของมู่เฉียนซีก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมาแล้วเช่นกัน
นางเลื่อนขั้นแล้ว เวลานี้นางเลื่อนขั้นได้แล้ว!
เพียงแค่การเลื่อนขั้นจากผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับแปดมาเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าเท่านั้น แต่มันกลับทำให้คนรู้สึกว่าได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นเสียแล้ว
เฮยฮั่นสัมผัสได้ถึงอันตราย และแทบรอไม่ไหวที่จะใช้กระบวนท่าสังหารในทันที!
“ทะเลพิษไร้ขอบเขต!”
คราวนี้ มู่เฉินซีต้องหลบไม่พ้นแน่นอน
ภายใต้แรงกดดันจากการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าของเฮยฮั่น ก็ได้ทำให้นางสามารถบรรลุได้ในที่สุด
เพื่อที่จะขอบคุณเขา เช่นนั้นนางจะต้องให้เขาได้ลองพลังของการร่ายทักษะวิญญาณธาตุวายุของนางหลังจากที่บรรลุผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้ามาแล้วอย่างแน่นอน
พลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าได้ปะทุออกมา และพัดวิหคเฟิงหลิงที่ถูกพลังวิญญาณของนางห่อหุ้มอยู่ ก็กางออกทันที!
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
เฮยฮั่นยิ้มเยาะ เพิ่งจะบรรลุมาแค่ระดับหนึ่ง แต่คิดว่าตนเองได้กลายเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าแล้วอย่างนั้นหรือ? คิดไม่ถึงเลยว่ายังจะกล้ามาสู้กับเขาตัวต่อตัวเช่นนี้ ช่างรนหาที่ตายจริง ๆ!
ตูมมม!
พลังอันน่าสะพรึงกลัวได้ระเบิดออกมา และไม่คาดคิดเลยว่ามันจะสามารถสกัดกั้นพลังส่วนใหญ่ของเขาไว้ได้
“นะ…นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
พลันนั้นร่างสีม่วงก็เข้าไปใกล้เฮยฮั่นราวกับภูตผีปีศาจอย่างไรอย่างนั้น
“ทักษะซิวหลัว!”
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
“ตอนนี้ข้าบรรลุแล้ว และการโจมตีก่อนหน้านี้ของเจ้า ข้าก็จะส่งคืนกลับไปให้เจ้าอย่างดีเลยเชียวล่ะ!”
ปัง ปัง ปัง!
การโจมตีของมู่เฉียนซีนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง กระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่า พุ่งเข้าโจมตีจนเขารับมือไม่ทันเลยทีเดียว
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
และคราวนี้ คนที่ต้องเอาแต่หลบหลีกผู้นั้นก็ได้กลายเป็นเฮยฮั่นแทนเสียแล้ว
เขาจ้องมองไปที่มู่เฉียนซีด้วยความตื่นตะลึง นี่เป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าคนหนึ่งเท่านั้น แค่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าเองนะ ทั้ง ๆ ที่ความสามารถของเขานั้นเหนือกว่านางตั้งหนึ่งขั้น แต่กลับถูกนางบีบจนจนตรอกขนาดนี้เชียวหรือ?
“พลังวายุทำลาย จันทราหนาวเหน็บ!”
เนื่องด้วยพลังวิญญาณที่มีมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้มู่เฉียนซีสามารถร่ายทักษะวิญญาณต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
ถึงก่อนหน้านี้เฮยฮั่นจะสูญเสียพลังวิญญาณไปค่อนข้างมาก แต่นายน้อยของสำนักหมอทมิฬก็ไม่กลัวว่าจะไม่มียาไว้เพิ่มพลังวิญญาณของเขาอยู่แล้ว
หลังจากนั้นนอกจากการแข่งขันกันในเรื่องของทักษะวิญญาณ พลังในการต่อสู้ และประสบการณ์ในการต่อสู้แล้ว ก็ยังมีการแข่งขันกันในเรื่องของยาลูกกลอนอีกด้วย!
การต่อสู้ในครั้งนี้ กินเวลานานมาก และมันก็ทำให้คนที่อยู่ด้านนอกเฝ้ารออย่างใจจดจ่อมากเลยทีเดียว
“พวกเขายังไม่ได้เผชิญหน้ากันหรือเกิดอะไรกันแน่? นานขนาดนี้แล้วยังไม่มีใครออกมาสักคนเลย ยังไม่ได้ผลแพ้ชนะอีกอย่างนั้นหรือ?”
“ท่านพี่!” อวี้เกอรู้ดีว่าพวกเขาได้เผชิญหน้ากันแล้ว และในตอนที่พวกเขาเหลือกันอยู่แค่สองคน ก็คาดว่าน่าจะเริ่มปะทะกันแล้วด้วย
ทว่าในการต่อสู้กันคราวนี้ ใช้เวลานานมากเกินไปแล้ว! และนางก็เป็นห่วงแม่นางมู่มากเลยทีเดียว
อวี้เซิงกล่าวว่า “เจ้าก็ได้เห็นความสามารถของนางแล้ว ฉะนั้นอย่ากังวลไปเลย!”
“ใช่แล้ว! หากจะเป็นห่วงก็เป็นห่วงนายน้อยจากสำนักหมอทมิฬนั่นเถอะ เพราะลูกพี่ของพวกข้าไม่มีทางแพ้แน่นอนอยู่แล้ว” คนของสำนักเซิ่งหลินมีความเชื่อมั่นต่อมู่เฉียนซีโดยไม่มีความเคลือบแคลงใจเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงตอนสุดท้ายของการต่อสู้ สิ่งที่ทำให้เฮยฮั่นยากที่จะเชื่อเลยก็คือ การแข่งขันกันเรื่องยาลูกกลอน เขาไม่สามารถที่จะเอาชนะมู่เฉินซีได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหรือว่าคุณภาพของยาลูกกลอน ต่างก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด!
เขาจ้องมองไปที่มู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “จะ…เจ้าเป็นใครกันแน่?”
เจ้าหอของหอหมอปีศาจต่อสู้กับนายน้อยของสำนักหมอทมิฬ หากยาลูกกลอนของเฮยฮั่นสามารถเอาชนะนางได้ก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดแล้ว
“ได้สิ!” สำหรับคำถามของเฮยฮั่น คิดไม่ถึงว่ามู่เฉียนซีจะยอมรับปากตอบเขา
ในขณะที่เฮยฮั่นกำลังรอคำพูดต่อไป ทว่ามู่เฉียนซีกลับกล่าวอย่างหยอกล้อว่า “ไว้เจ้าตายแล้ว ข้าจะบอกกับศพของเจ้าว่าข้าเป็นใคร? ดีหรือไม่?”
เฮยฮั่นกล่าวด้วยความเดือดดาลว่า “บัดซบเอ้ย เจ้าหลอกข้า!”
“ข้าไม่เพียงแต่หลอกเจ้าเท่านั้น แต่ยังจะฆ่าเจ้าด้วย!”
พัดวิหคเฟิงหลิงแยกออกจากกัน ซึ่งแต่ละชิ้นต่างก็พุ่งโจมตีเข้าที่จุดตายของเขาทั้งสิ้น และหนึ่งในใบพัดนั้นก็เฉือนลงไปที่คอหอยของเขาด้วยความรวดเร็ว
สีหน้าของเฮยฮั่นเปลี่ยนเป็นซีดเผือด และในที่สุดเกล็ดสีดำก็ได้ปะทุขึ้นมาและห่อหุ้มร่างกายทั้งหมดของเขาเอาไว้
เขากล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า “เจ้าอยากจะฆ่าข้าหรือ ฝันไปเถอะ! ข้าเป็นถึงนายน้อยของสำนักหมอทมิฬเชียวนะ!”
“เจ้าคอยดูเถอะ นายน้อยอย่างข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”
ปัง ปัง ปัง!
ถึงใบพัดจะไม่สามารถทำร้ายเฮยฮั่นได้ แต่ทว่าการป้องกันนี้ของเฮยฮั่นก็ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้นานเท่าไรนัก และถ้าเกาะป้องกันนี้หายไป คนที่โชคร้ายต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน!
ดังนั้นเฮยฮั่นจึงเลือกที่จะยอมแพ้อย่างไม่เต็มใจ และรีบถอยออกมาทันที!
“ดูสิ! ศิลาโบราณแผ่นนั้นมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว”
“ชะ…ชื่อของนายน้อยสำนักหมอทมิฬนั้นหายไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าไม่ได้ตาฝาดไปหรอกนะ! ชื่อของนายน้อยสำนักหมอทมิฬจะหายไปได้อย่างไร”
“ชื่อของมู่เฉินซีใหญ่ขนาดนั้น ข้าจะมองไม่ชัดได้อย่างไรกันล่ะ มันเป็นชื่อนายน้อยจริง ๆ”
หลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่ง ชื่อของเฮยฮั่นก็หายไปจริง ๆ และคนที่ปรากฏตัวออกมาในสถานที่แห่งนี้ก็คือเฮยฮั่นที่สีหน้าซีดเซียวราวกับไม่มีเลือดเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมากนั่นเอง
“รีบพานายน้อยกลับไปรักษาเร็วเข้า!”
“เร็วเข้า!”
“นายน้อย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
และคนอื่น ๆ ต่างก็เหลือบมองไปที่ชื่อเพียงชื่อเดียวที่เหลืออยู่บนศิลาแผ่นนั้น นั่นก็คือมู่เฉินซี เป็นมู่เฉินซีจริง ๆ!
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับอัจฉริยะที่ไม่ได้อยู่ในอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ตงหวงอย่างมู่เฉินซีมาก่อน และคิดไม่ถึงว่านางจะมีความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ ซึ่งแม้แต่นายน้อยของสำนักหมอทมิฬก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลย
มู่เฉียนซีรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในสุสานโบราณ ในเมื่อทำให้สำนักหลินเยว่และสำนักหมอทมิฬขุ่นเคืองใจเช่นนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเมื่อออกไปจะต้องเจอกับปัญหาอะไรบ้าง ฉะนั้นจึงรักษาตนเองให้หายดีก่อนค่อยว่ากัน
ชื่อของมู่เฉินซีนั้นยังคงอยู่ และเป็นเวลานานมากแล้วแต่ก็ยังไม่ออกมาเสียที
“เหตุใดมู่เฉินซีถึงยังไม่ออกมาอีกล่ะ สุสานโบราณแห่งนั้นมีอะไรดีอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าว่ามู่เฉินซีไม่กล้าออกมามากกว่า! ในเมื่อเอาชนะนายน้อยสำนักหมอทมิฬได้แล้ว ก็คงกลัวว่าสำนักหมอทมิฬจะไม่ยอมปล่อยนางไปน่ะสิ”
“……”
ในตอนที่อาการบาดเจ็บของมู่เฉียนซีดีขึ้นมากแล้ว เกาะป้องกันของสถานที่อันปลอดภัยที่สุดท้ายของสุสานโบราณก็ได้พังทลายลง พลังวิญญาณของมู่เฉียนซีแผ่กระจายออกไป และค้นพบว่าสัตว์วิญญาณโบราณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังพุ่งตรงมาทางนาง
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เพิ่งจะบรรลุผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้ามาได้! แน่นอนว่าการฝึกฝนกับเฮยฮั่นเพียงคนเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ ฉะนั้นพวกเจ้าจงมาเป็นคู่ฝึกซ้อมของข้าอีกครั้งเถอะ!”
อันที่จริงแล้วจำนวนของสัตว์วิญญาณโบราณนั้นมีมากเกินกว่าที่นางจะต่อต้านไหว และเมื่อมู่เฉียนซีฝึกฝนได้พอประมาณแล้ว นางก็เลือกที่จะออกมา
ตัวอักษรบนศิลาโบราณนั้นได้ระเบิดออกเป็นลำแสงสีเงิน และภายในลำแสงนั้นก็มีร่างสีม่วงร่างหนึ่งปรากฏตัวออกมา ฝูงชนต่างอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “เป็นมู่เฉินซี! มู่เฉินซีออกมาแล้ว”
“ในที่สุดนางก็ออกมาแล้ว!”
ผู้คนต่างจ้องมองไปทางมู่เฉียนซีด้วยแววตาที่ทั้งอิจฉาทั้งริษยา และแน่นอนว่ามีความเกลียดชังรวมอยู่ด้วย!
ชายชราที่คอยดูแลศิลาโบราณได้กล่าวขึ้นมาว่า “แม่นางน้อย ยินดีด้วย ยินดีด้วย! เจ้ามีความสามารถึงเพียงนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคตต้องไร้ขีดจำกัดเป็นแน่ ข้าชอบเจ้าจริง ๆ เลย!”
ต่อมา ศิลาก็ได้เปลี่ยนรูปร่างไป และหลังจากนั้นก็ได้แสดงอันดับอัจฉริยะของงานชุมนุมอัจฉริยะแห่งดินแดนทางทิศตะวันออกในครั้งนี้
ชื่อของมู่เฉินซีอยู่ในอันดับที่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อมาก็คือเฮยฮั่นจากสำนักหมอทมิฬ และยังมีผู้ติดตามของเฮยฮั่นผู้นั้น จากนั้น…
ลูกศิษย์ของสำนักเซิ่งหลินก็มีคนหนึ่งที่ได้รับอันดับที่ไม่เลวนัก นี่คือคะแนนที่ดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และคาดว่าเจ้าสำนักของพวกเขาคงจะยิ้มไปด้วยขณะนอนหลับเป็นแน่
อวี้เซิงและอวี้เกอก็กลายเป็นผู้บำเพ็ญอิสระสองคนที่ได้รับอันดับดีที่สุด ที่นอกเหนือจากมู่เฉินซีเช่นกัน
มู่เฉียนซีที่ได้รับอันดับที่หนึ่ง ยังไม่ทันที่จะได้เฉลิมฉลองกับเพื่อน ๆ ของนาง ก็มีคนสองกลุ่มพุ่งเข้ามาทางนางอย่างดุดันและมันก็ทำให้คนอื่น ๆ ล่าถอยไปอย่างตื่นตกใจ
ไม่จำเป็นให้พวกเขารายงานว่าตนเองมาจากที่ใด มู่เฉียนซีก็สามารถคาดเดาได้แล้วว่าทั้งสองกลุ่มนี้คือคนของผู้ใดกันแน่!
มู่เฉียนซีกวาดตามองไปที่พวกเขาแล้วกล่าวว่า “สำนักหลินเยว่และสำนักหมอทมิฬทุกท่าน มาหาข้าเพราะเรื่องอะไรล่ะ? หรือเป็นเพราะเรื่องที่ความสามารถของเด็กในกองกำลังระดับสี่ของพวกเจ้าไม่แข็งแกร่งเท่าข้า อีกทั้งยังสู้ข้าไม่ได้ ฉะนั้นเหล่าผู้อาวุโสในสำนักอย่างพวกเจ้าเลยมาแก้แค้นให้พวกเขาอย่างนั้นหรือ?”
.