ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2081 มีคนกำลังมา
การสกัดยาน้ำไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานเท่าไรนัก และหลังจากที่นางดื่มยาน้ำเข้าไปแล้ว พิษร้ายที่อันตรายถึงชีวิตที่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับหกทิ้งไว้ให้มู่เฉียนซีในตอนสู้จนตัวตายได้ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว
มู่เฉียนซีโบกมือพลางกล่าวว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
“ขอรับ!”
หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว ก็มีคนกลุ่มหนึ่งมายังสถานที่ที่มีการต่อสู้ก่อนหน้านี้
สถานที่แห่งนี้เหลือซากศพเพียงร่างเดียวเท่านั้น ส่วนอีกคนหนึ่งแม้แต่ซากศพก็ยังไม่เหลือเลยด้วยซ้ำ
“พวกไร้ประโยชน์! เป็นเช่นนี้คงจัดการมู่เฉินซีไม่ได้สินะ”
“ถึงจะไม่มีร่างของมู่เฉินซี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะยังปลอดภัยดี! นอกจากนี้ผู้อาวุโสเจียงก็ได้ระเบิดตนเองด้วยการใช้ทักษะพิเศษของเขา คาดว่ามู่เฉินซีน่าจะต้องโดนพิษของเขาแล้ว และน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานเป็นแน่”
“จำเป็นต้องเห็นศพของนางถึงจะได้! ไล่ตามไปซะ”
หญิงสาววัยกลางคนที่ยังคงทรงเสน่ห์คนหนึ่งพาหญิงสาวกลุ่มหนึ่งมาด้วยพลางกล่าวว่า “สำนักหมอทมิฬของพวกเจ้าแม้ว่าจะชิงลงมือก่อน แต่เหมือนจะไม่ได้เรื่องอะไรเลยสินะ! ถึงแม่สาวน้อยมู่เฉินซีผู้นั้นจะโดนยาพิษแต่ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้นางตายได้หรอก เพราะบนร่างกายของนางนั้นมีส่วนที่แปลกประหลาดมากมายนัก”
“ข้าคิดว่า บางทีพวกเราอาจจะร่วมมือกันได้! พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไรล่ะ!”
คนของสำนักหมอทมิฬเหล่านั้นยิ้มเยาะพลางกล่าว “เรื่องที่ศิษย์คนโตของพวกเจ้าตาย หรือว่าพวกเจ้าไม่ถือสาแล้วอย่างนั้นหรือ? และข้าก็ไม่อยากให้พวกเจ้ามาคอยเกะกะด้วย”
“เมื่อเทียบกับการฆ่ามู่เฉินซีแล้ว เรื่องที่เด็กไร้ประโยชน์คนนั้นตายไปก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สำนักหมอทมิฬของพวกเจ้าจะต้องเชื่อในความจริงใจของสำนักหลินเยว่ของพวกเราสิ”
ดวงตาที่งดงามคู่นั้นจ้องมองไปยังคนของสำนักหมอทมิฬเหล่านี้ ถึงอายุของผู้หญิงคนนี้จะไม่น้อยแล้ว แต่ทว่าเสน่ห์ของนางยังคงน่าดึงดูดมากอยู่ดี
“ตกลง! ข้าเชื่อในความจริงใจของสำนักหลินเยว่ของพวกเจ้า! เด็กสาวคนนั้น จำต้องถูกกำจัด” ดวงตาของคนจากสำนักหมอทมิฬเหล่านั้นเปล่งประกายแวววาว
ภายใต้การติดตามของสำนักหลินเยว่และสำนักหมอทมิฬ มู่เฉียนซีได้เดินทางมาถึงจุดหมายที่นางกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งก็คือหนึ่งในสามของดินแดนต้องห้ามขนาดใหญ่ทางทิศตะวันออกของราชวงศ์ตงหวง หรือก็คือดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตนั่นเอง
หลังจากที่เข้ามาในดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตแล้ว มู่เฉียนซีก็รู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงภายในนี้เปลี่ยนเป็นทรงพลังมากยิ่งขึ้น และความเร็วก็เปลี่ยนเป็นช้าลงเล็กน้อย นอกจากนี้ที่นี่ก็เป็นเพียงแค่รอบนอกเท่านั้นด้วย
คนของสำนักหมอทมิฬและสำนักหลินเยว่ได้มาถึงทางเข้าของดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตแล้ว และผู้อาวุโสเยว่ก็กล่าวว่า “พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าเด็กสาวผู้นั้นเข้าไปในดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตจริง ๆ น่ะ! ด้วยความสามารถของนางหากเข้าไปในดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิต ก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น”
“บางทีแม่สาวน้อยผู้นั้นคงรู้ตัวว่าถูกพวกเราไล่ล่า และคิดว่าตนเองมีชีวิตได้อีกไม่นานแล้ว ดังนั้นจึงเข้าไปตายอย่างบ้าระห่ำ! แต่หากปล่อยให้นางตายอยู่ในดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตอย่างง่ายดายเช่นนั้นมันก็ดูจะง่ายเกินไปสำหรับนาง” ผู้อาวุโสเหมาของสำนักหมอทมิฬกล่าว
“ความหมายของเจ้าก็คือ พวกเราจะต้องเข้าไปในดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตอย่างนั้นหรือ! นี่คือดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตเชียวนะ!” ผู้อาวุโสเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้นเล็กน้อย
“พวกเจ้าต่างก็เป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์กันทั้งนั้น มีอะไรให้ต้องกลัวกัน! หญิงสาวจากสำนักหลินเยว่อย่างพวกเจ้าดูเหมือนว่าจะมีความกล้าน้อยเกินไปหน่อยนะ!”
“ผู้ใดบอกว่าพวกข้ากลัวกันล่ะ! จะเข้าก็เข้าไปเลยสิ!” ผู้อาวุโสเยว่พุ่งทะยานเข้าไปคนแรก
ในตอนที่แรงโน้มถ่วงที่อยู่ภายในนี้สูงขึ้นเรื่อย ๆ มู่เฉียนซีก็รู้สึกได้ว่าเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นบนพื้น และมีอะไรบางอย่างทะลุออกมาจากรอยแยกของพื้นดินนั่น
ครืนนน!
จากนั้นมีเสียงดังกึกก้องไปทั่ว และสัตว์ขนาดใหญ่มหึมาสีแดงเลือดตัวหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของมู่เฉียนซี
และนี่ก็คือสัตว์ประหลาดยักษ์ที่สร้างด้วยผลึกสีแดงตัวหนึ่ง อีกทั้งมันยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตแห่งนี้อีกด้วย
พลังในการป้องกันของพวกมันแข็งแกร่งมาก อีกทั้งพวกมันยังไม่ถูกจำกัดด้วยแรงโน้มถ่วงของดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตแห่งนี้อีกด้วย ฉะนั้นมันจึงมีความเร็วที่รวดเร็วมากเลยทีเดียว
นี่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากมากอย่างแน่นอน แต่ทว่ามู่เฉียนซีกลับต้องการคู่ต่อสู้เช่นนี้เป็นอย่างมากเช่นกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู พลังในการป้องกันทางกายภาพและความรวดเร็วของนางนั้นมีข้อได้เปรียบมากมาย แต่ทว่าเมื่อได้ต่อสู้กับศัตรูที่มีข้อได้เปรียบเหมือนกัน ยิ่งทำให้นางสามารถยกระดับความแข็งแกร่งในการต่อสู้และฝึกใช้ทักษะวิญญาณให้คุ้นเคยได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นไปอีก
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เข้ามาสิ!”
ทันใดนั้นพัดวิหคเฟิงหลิงก็กางออก และมู่เฉียนซีก็เริ่มเปิดฉากการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตนั้นทันที
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
ในตอนที่มันถูกโจมตี สัตว์ประหลาดผลึกโลหิตตัวนี้ก็ได้กลายร่างเป็นสายฟ้าสีแดงเลือด และทำการหลบหลีกไปได้อย่างง่ายดาย
เจ้าตัวนี้เป็นตัวที่จัดการได้ยากจริง ๆ ด้วย
กรงเล็บของสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตตัวนี้เปลี่ยนเป็นแหลมคมมากยิ่งขึ้น และจากนั้นมันก็พุ่งเข้าไปหมายจะจับมู่เฉียนซีเอาไว้
มู่เฉียนซีหลบหลีกด้วยความรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าความเร็วของนางในตอนนี้จะไม่เร็วเท่ากับตอนที่อยู่ข้างนอกนั่น ซึ่งมันก็ทำให้เสื้อผ้าของมู่เฉียนซีถูกเกี่ยวจนฉีกออกจากกันในทันที
แกร่ก! แกร่ก!
ผลึกสีแดงที่อยู่บนพื้นแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และหากมู่เฉียนซีหลบหลีกช้ากว่านี้เล็กน้อย มันจะต้องกลายเป็นหายนะอย่างแน่นอน
“พลังวายุทำลาย จันทราหนาวเหน็บ!”
มู่เฉียนซีลงมืออีกครั้งเพื่อที่จะทดสอบความสามารถของเจ้าสิ่งนี้ จากนั้นร่างสีม่วงนั้นก็เหาะขึ้นไปกลางอากาศ และระเบิดพลังวิญญาณธาตุวายุออกมา
ปัง ปัง ปัง!
การโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าของนางทำได้เพียงแค่ทิ้งรอยแผลไว้บนร่างกายของมันเท่านั้น แต่กลับไม่สามารถทำให้มันได้รับบาดเจ็บสาหัสได้
และความเร็วของมันก็เปลี่ยนเป็นเร็วมากขึ้นไปอีก อีกทั้งมันยังเข้ามาพัวพันกับมู่เฉียนซีได้ด้วย!
ตูมมมม!
มู่เฉียนซีถูกมันตบเข้าอย่างจัง จนทำให้ร่างของนางลอยกระเด็นออกไป
พรวด!
มู่เฉียนซีกระอักเลือดสด ๆ ออกมา จากนั้นจึงกล่าวว่า “การโจมตีของสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตตัวนี้ สามารถผ่าเกาะป้องกันที่ข้าใช้สกัดกั้นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ได้จริง ๆ ด้วย”
“เข้ามาอีกสิ! ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก”
หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ มู่เฉียนซีก็กินยาเข้าไปและเริ่มต่อสู้อีกครั้ง
พลังในการต่อสู้ของเจ้าตัวนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุดเลยทีเดียว แต่เมื่อรวมความเร็วและพลังในการป้องกันของมันขึ้นมาแล้ว ดูเหมือนว่าจะจัดการได้ง่ายกว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำเสียอีก
โชคยังดีที่มันไม่ได้มีสติปัญญาเหมือนมนุษย์ มิเช่นนั้นอย่าว่าแต่จะจัดการมันได้เลย แม้แต่จะล่าถอยก็คงจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากเลยทีเดียว
ตูมมมมม!
มู่เฉียนซีต่อสู้กับสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตที่เจอเป็นตัวแรกหลายร้อยรอบ จนในที่สุดก็สามารถโจมตีมันจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ได้ด้วยการใช้พลังธาตุวายุเท่านั้น
แกนผลึกสีแดงเลือดเม็ดหนึ่งได้ถูกสกัดออกมาจากร่างกายของมัน ภายในนั้นก็มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และมันก็เหมาะสมกับผู้ฝึกฝนที่ใช้เส้นทางอันสุดขั้วเหล่านั้น ซึ่งคนเหล่านั้นก็ชอบมาที่นี่เพื่อล่าสัตว์อีกด้วย
แต่มันกลับไม่ใช่การฝึกฝนของนาง
และในตอนนี้เองอู๋ตี้ก็กล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “นายท่าน เอาสิ่งนั้นมาให้ข้ากินเถอะ! เอาให้ข้ากิน”
มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง “อู๋ตี้ เจ้ากินแค่แกนวิญญาณของสัตว์วิญญาณมาตลอดไม่ใช่หรือ? เจ้ากินสิ่งนี้ได้ด้วยหรือไง”
“วางใจเถอะ! ข้าบอกว่าได้ก็คือได้!”
เสี่ยวหงกล่าวว่า “นายท่าน หากว่าเจ้าแมวโง่นี่กินของส่งเดชจนต้องท้องเสีย ท่านก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรมเถอะ! อย่าได้เปลืองแรงไปช่วยเหลือมันเด็ดขาดเลย”
ในเมื่ออู๋ตี้บอกว่าไม่มีปัญหา เช่นนั้นมู่เฉียนซีก็จะเชื่อมัน!
อู๋ตี้ถือแกนผลึกเม็ดนั้นเอาไว้พลางคลี่ยิ้มจนตาหยี “เจ้าหมูขี้เกียจ เจ้ารอก่อนเถอะ! ท่านอู๋ตี้อย่างข้าจะบรรลุเป็นสัตว์เทพระดับสองในไม่ช้านี้แล้ว! ข้าจะทำให้เจ้าร้องไห้แน่”
ในดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตแห่งนี้ มีโอกาสที่จะได้เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตมีมากมายนัก และเมื่อไรก็ตามที่เจ้าตัวยักษ์เหล่านี้โผ่ลออกมาจากพื้นดิน มู่เฉียนซีก็จะอยู่ในความพร้อมตลอดเวลา
หลังจากที่ต่อสู้อย่างเข้มข้นมาสามวัน กลุ่มคนของสำนักหลินเยว่และสำนักหมอทมิฬทั้งสองกลุ่มที่ร่วมมือกัน ก็สามารถจัดการเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ไปได้อย่างง่ายดาย
แต่ทว่าการที่ยังหามู่เฉินซีไม่เจอ ทำให้พวกเขาเริ่มเดือดดาลขึ้นมาแล้ว
“คงไม่ใช่ว่าตายแบบไม่เหลือซากไปแล้วนะ! นั่นมันง่ายเกินไปสำหรับนาง”
“หาต่อไป! ข้าไม่เชื่อว่าจะหานางไม่เจอหรอก”
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!” ในเวลานี้มู่เฉียนซีกำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตอยู่ที่มุมหนึ่งของดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิต และทักษะวิญญาณพลังธาตุวายุก็ได้ทำให้ร่างกายของสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตตัวนั้นพังทลายลง
ร่างเงาสีขาวสว่างวาบผ่านไป และอู๋ตี้ก็ถือแกนผลึกนั้นไว้ด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างมาก
“จัดการได้อีกตัวแล้ว นายท่านสู้ ๆ!” แน่นอนว่า มันก็ไม่ลืมที่จะเอาใจเจ้านายของตนเองด้วยเช่นกัน
ทว่าในเวลานี้ สีหน้าของมู่เฉียนซีกลับแสดงท่าทีที่จริงจังออกมา นางอุ้มอู๋ตี้ขึ้นมาพลางกล่าวว่า “มีคนกำลังมา!”
.