ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2085 ไม่สามารถให้อภัย
เมื่อพิจารณารูปลักษณ์ปัจจุบันของมู่เฉียนซีอย่างละเอียด สีหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากของมู่เฟิงหลิงก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที เนื่องจากเขาค้นพบว่าบนร่างกายของซีเอ๋อร์มีบาดแผลอยู่ไม่น้อยเลย
หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ผู้ใดเล่าจะกล้ามารังแกซีเอ๋อร์ ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจขององค์รัชทายาทเฟิงอวิ๋นแห่งราชวงศ์ตงหวงได้?
แต่ทว่าตอนนี้กลับมีสองกองกำลังระดับต่ำ ที่บังอาจมาไล่ฆ่าซีเอ๋อร์ของเขา อีกทั้งยังทำให้ซีเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย
ยิ่งคิดขึ้นมา มู่เฟิงหลิงก็ยิ่งรู้สึกโกรธ และแทบอยากจะพุ่งออกจากไปดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิต เพื่อไปทำลายล้างสำนักหลินเยว่และสำนักหมอทมิฬอะไรนั่นให้สิ้นซากเสียเดี๋ยวนี้เลย
มู่เฉียนซีได้ปลดการปลอมตัวของนางออก ทำให้เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางออกมา
นางกล่าวกับมู่เฟิงหลิงด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอารอง ในที่สุดข้าก็หาท่านเจอแล้ว ท่านคิดถึงข้าบ้างหรือไม่?”
ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความคิดถึง และความเกรี้ยวกราดก่อนหน้านี้ของเขาก็สงบลงไปอย่างรวดเร็ว
“อารองคิดถึงซีเอ๋อร์อยู่เสมอ คิดถึงอยู่ตลอดเลย!”
“หลังจากที่อารองไปแล้ว ก็มีเรื่องต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเลย พวกเราไปหาสถานที่เงียบสงบสักที่เถอะ แล้วข้าจะเล่าให้ท่านฟังเอง” มู่เฉียนซีก็พุ่งตัวเข้าไปจับแขนของมู่เฟิงหลิงเอาไว้
“ได้สิ!”
อาหลานทั้งสองอยากที่จะพูดคุยกันดี ๆ แต่ผลสุดท้ายกลับมีสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเข้ามาขวางทางเอาไว้
มู่เฟิงหลิงลงมือกับพวกมันอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย และเขาก็ทำลายพวกมันลงเพียงแค่ดาบเดียวเท่านั้น ผู้ใดกล้ามาขวางทาง ผู้นั้นต้องตาย!
ภายใต้ความสามารถที่แข็งแกร่งของมู่เฟิงหลิง ทำให้สัตว์ประหลาดผลึกโลหิตเหล่านั้นต่างก็ไม่กล้าก้าวล่วงเข้ามาใกล้อีกแล้ว
หลังจากนั้นพวกเขาก็เจอถ้ำผลึกโลหิตแห่งหนึ่ง ซึ่งภายในมีความงดงามเป็นอย่างมาก
มู่เฉียนซีนั่งลงด้านข้างของมู่เฟิงหลิงแล้วกล่าวว่า “อารอง หลังจากที่ท่านจากไปแล้ว ข้าก็ได้เจอท่านปู่กับท่านย่า”
มู่เฉียนซีรู้ดีว่า อารองจะต้องอยากรู้ข่าวคราวของพวกเขามากอย่างแน่นอน
และเป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อมู่เฟิงหลิงได้ยินคำพูดของมู่เฉียนซี ร่างของเขาก็สั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านแม่”
เขาให้ความสนใจกับผู้ที่เป็นมารดา แต่กลับไม่เรียกหาบิดาเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าอารองมีความเคียดแค้นต่อท่านปู่เป็นอย่างมาก
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ท่านปู่ก็เสียใจมากเช่นกัน เขากล่าวว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติของความเป็นพ่อ เขาอยากขอโทษท่านพ่อ อารองและอาเล็กด้วย แต่เขาก็มีเหตุผลที่ยากลำบาก...”
มู่เฉียนซีเล่าเรื่องมากมายภายในอึดใจเดียว และตอนที่ได้ยินว่าท่านแม่ถูกทรมานเพราะคำสาปของเผ่าคำสาป เบ้าตาของเทพสงครามเลือดเหล็กผู้แข็งแกร่งก็พลันแดงก่ำขึ้นมาทันที
ตั้งแต่เล็กจนโตเขาถูกเลี้ยงดูมาโดยพี่ใหญ่ และมีความทรงจำเกี่ยวกับแม่ของตนเองเพียงคลุมเครือเท่านั้น แต่ทว่าความรู้สึกที่มีต่อท่านแม่นั้นกลับฝังลึกอยู่ในกระดูกจริง ๆ
มู่เฟิงหลิงเอนตัวพิงไปที่มู่เฉียนซีแล้วกล่าวด้วยเสียงที่แหบพร่าว่า “ข้ายังไม่สามารถให้อภัยเขาได้ เว้นแต่ว่าพี่ใหญ่จะให้อภัยเขา”
“ตอนที่พี่ใหญ่กำลังปกป้องพวกเราจากพวกเสือสิงห์กระทิงแรดเหล่านั้น เขาไม่อยู่!”
“ตอนที่พี่ใหญ่ถูกใส่ร้าย ฝูงชนทั้งหมดต่างต่อต้านเขา ญาติมิตรต่างหลีกหนี ผ่านความเป็นความตายมามากมายนับไม่ถ้วน เขาก็ไม่อยู่”
“ตอนที่พี่ใหญ่ต้องสูญเสียพี่สะใภ้ไปอย่างเจ็บปวดรวดร้าวราวกับตายทั้งเป็น เขาก็ไม่อยู่อีก!”
“เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาคือพ่อของพวกเรา แต่ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพี่ใหญ่ที่คอยช่วยเหลืออย่างยากลำบาก พวกเราก็รักท่านแม่เหมือนกัน และไม่อยากให้ท่านแม่เป็นอะไรไปด้วย แต่ข้าก็รักพี่ใหญ่ด้วยเช่นกัน ดังนั้น…”
มู่เฟิงหลิงกำหมัดแน่น จนเส้นเส้นเลือดเต้นตุบ ๆ อยู่บนฝ่ามือ
“ถึงอย่างไรตอนนี้ ข้าก็ไม่สามารถให้อภัยได้แน่!”
มู่เฉียนซีจับไปที่กำปั้นอารองของตนเอง นางรู้ว่าภายในหัวใจของอารองตอนนี้มีความสับสนเป็นอย่างมาก และสิ่งที่นางทำได้ก็เพียงอย่างเดียวก็คือการนั่งอยู่เป็นเพื่อนเขาไปเงียบ ๆนั่นเอง
“ตอนนี้พวกของท่านแม่อยู่ที่ใดอย่างนั้นหรือ?”
“พวกเขาก็มาที่แดนซวนเทียนแล้วเจ้าค่ะ แต่เนื่องจากท่านย่าถูกคนของเผ่าคำสาปคอยจับตามอง ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปรากฏตัวออกมาได้! แต่อารองโปรดวางใจ เพราะท่านย่าเป็นถึงสัตว์เทพกิเลน และท่านทรงพลังมากเลยเจ้าค่ะ” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนว่าข้าไม่ได้เป็นห่วงท่านแม่อยู่แล้ว เพียงแต่กังวลว่าเขาจะคอยเป็นตัวถ่วงของท่านแม่เท่านั้น”
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ‘ท่านปู่ ท่านคงจะต้องช่วยเหลือตนเองมาหน่อยแล้วล่ะ!
แม้ว่าอารองจะรู้ความจริงแล้ว แต่ตอนนี้เขาก็ยังคงเกลียดท่านมากอยู่ดี ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ท่านคงจะต้องเร่งมือทำให้อาเล็ก อารองและท่านพ่อให้อภัยท่านให้ได้โดยเร็ว มิเช่นนั้นแล้วละก็ท่านต้องถูกท่านย่าระเบิดลงอย่างแน่นอน!’
หลังจากที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของท่านปู่กับท่านย่าเรียบร้อยแล้ว อารองก็มีความสนใจในเรื่องของนางมากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้มู่เฉียนซีจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนซวนเทียนก่อน
เมื่อเขาได้ฟังเส้นทางการเติบโตของหลานสาวตนเอง ภายในใจของมู่เฟิงหลิงก็ภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
เนื่องจากบนเส้นทางการเติบโตของซีเอ๋อร์ เขาได้พลาดอะไรไปมากมาย อีกทั้งยังไม่มีโอกาสที่จะได้อยู่เคียงข้างนางอีกด้วย
เมื่อฟังไปฟังมาเขาก็รู้สึกทึ่งกับสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างมาก และตอนนี้เขาก็ไม่รู้สึกโมโหบิดาที่ไร้ความรับผิดชอบผู้นั้นอีกต่อไปแล้ว
หลังจากที่เล่าเรื่องของดินแดนทั้งสี่ทิศจบแล้ว มู่เฉียนซีก็กล่าวว่า “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อฝึกฝนจนถึงระดับวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นสูงสุดแล้วข้าจะถูกส่งมายังแดนซวนเทียนแห่งนี้ และหลังจากที่มาถึงแดนซวนเทียนแล้วข้าก็คิดหาหนทางตามหาท่านพ่อมาโดยตลอด อารอง ท่านมีข่าวคราวของท่านพ่อบ้างหรือไม่?”
มู่เฟิงหลิงส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “พี่ใหญ่ไม่ต้องการให้ใครตามหาเจอ ฉะนั้นหากต้องการจะหาเขาให้เจอก็คงเป็นเรื่องที่ยากมาก! ส่วนข้าเองก็ไม่อาจป่าวประกาศได้ว่าตนเองคือมู่เฟิงหลิง เพราะข้ากลัวว่ายังไม่ทันที่จะหาพี่ใหญ่เจอ แต่อาจจะถูกตามล่าโดยเจ้าพวกสุนัขรับใช้เหล่านั้นเสียก่อน”
“แต่ข้าเชื่อว่า พี่ใหญ่จะต้องไม่เป็นอะไรแน่ เขาคงจะอยู่ที่ใดสักแห่งในแดนซวนเทียนแห่งนี้ และคงจะกำลังคิดหาทางเอาทุกอย่างของเขากลับคืนมาแน่นอน”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เจ้าค่ะ! ข้าเองก็เชื่อเช่นนั้น”
“เมื่อมาถึงแดนซวนเทียนซีเอ๋อร์ก็ต้องแปลงโฉม เช่นนั้นที่คนเหล่านั้นที่เรียกเจ้าว่ามู่เฉินซี?” มู่เฟิงหลิงกล่าว
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เจ้าค่ะ! มู่เฉินซี เมื่อชื่อของข้ากับท่านพี่รวมกันไม่ใช่ว่าเป็นคำว่าเฉินซีหรอกหรือเจ้าคะ? ตอนนี้ข้าได้กลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้และยังเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศตะวันออกแห่งราชวงศ์ตงหวงแล้ว ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านพ่อจะสังเกตเห็นมันหรือไม่ และพอเห็นชื่อนี้แล้วจะทำให้เขานึกขึ้นมาได้บ้างหรือเปล่า!”
“หากยังไม่เพียงพอ ข้าคงต้องพยายามมากขึ้น และคงต้องเอาชนะมู่หลินหลางเพื่อที่จะได้กลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งแดนซวนเทียน บางทีท่านพ่ออาจจะสังเกตเห็นบ้าง ฉะนั้นนี่จึงเป็นแผนการแรกของข้าเจ้าค่ะ”
มู่เฟิงหลิงกล่าวว่า “ซีเอ๋อร์ฉลาดมาก เหตุใดอารองถึงคิดวิธีการเช่นนี้ไม่ได้กันนะ?”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้มีหลานสาวของท่านออกความคิดให้ท่านแล้ว เช่นนั้นอารองก็ใช้ชื่อปลอมในการก่อเรื่องเถอะ ให้ข้าคิดก่อนว่าจะเอาชื่ออะไรดี! มู่อวู่เฟิง มู่อวู่หลิง มู่ซวงเฟิง มู่…”
“พรืดด!” มู่เฉียนซีอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ และรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย
“ชื่อทั้งหมดที่ซีเอ๋อร์คิดให้ข้าล้วนน่าฟังทั้งสิ้น แต่ชื่อที่สองของข้าจะใช้เป็น มู่อวู่เฟิง เพราะชื่อของพวกเราทั้งสามพี่น้องต่างก็รวมอยู่ในนี้” มู่เฟิงหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าการทำเช่นนี้ มีความน่าจะเป็นที่จะถูกนึกถึงไม่มากนัก แต่มู่เฟิงหลิงก็รู้สึกว่าวิธีการที่หลานสาวของตนเองคิดขึ้นมานั้นถือได้ว่าเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
เนื่องจากทั้งสองอาหลานไม่ได้เจอกันเป็นเวลานาน จึงดูเหมือนว่าจะคุยเท่าไรก็คุยไม่จบเสียที และเวลาที่ผ่านไปก็รวดเร็วมากเลยทีเดียว
“อารองเมื่อตอนที่ท่านมาถึงแดนซวนเทียนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือเจ้าคะ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“มันไม่ได้ผ่านไปอย่างน่าตื่นเต้นเหมือนซีเอ๋อร์หรอก อารองทำแค่ประมานสามเรื่องเท่านั้น คือสอบถามข่าวคราวของพี่ใหญ่ ฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้น จากนั้นก็ถูกไล่ล่า!”
“ผู้ใดกล้าไล่ล่าอารอง ข้าจะฆ่ามัน!” เช่นเดียวกับตอนที่มู่เฟิงหลิงได้รู้ว่ามู่เฉียนซีถูกไล่ล่า เมื่อมู่เฉียนซีได้รู้ว่าอารองถูกไล่ล่านางก็รู้สึกโกรธมากเช่นกัน
และนางก็แทบอยากที่จะเอายาพิษทั้งหมดของหอฉงโหลวบนเมฆาไปทรมานคนที่ไล่ล่ามู่เฟิงหลิงให้ตายทั้งเป็นไปเสียเดี๋ยวนี้เลยจริง ๆ
“คนเหล่านั้นลึกลับมาก ซ้ำยังมีพลังที่แปลกประหลาดมากด้วย ที่สำคัญพวกเขามีพลังของคำสาป! หลังจากที่ได้รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านแม่แล้ว ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่าเป็นคนของเผ่าคำสาปแน่นอน” มู่เฟิงหลิงกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง นางได้รับคัมภีร์หมื่นคำสาปทั้งหมดมาแล้ว แต่คนของเผ่าคำสาปยังไม่รู้ ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงค้นหาต่อไป
ก่อนหน้านี้อารองไม่มีทางตกเป็นเป้าหมายของพวกเขาแน่นอน แต่หลังจากสามารถปลุกสายเลือดของกิเลนได้แล้วมันก็จะแตกต่างออกไป
วิธีการของเผ่าคำสาปนั้นมีมากมาย ฉะนั้นก็ไม่แปลกเลยที่สามารถค้นพบอารองได้
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำกว่า “เผ่าคำสาปชั่วนี่ ช่างหลอกหลอนเสียจริง ๆ เลย”
มู่เฟิงหลิงมองไปทางมู่เฉียนซีอย่างอาลัยอาวรณ์พลางกล่าวว่า “ดังนั้น ซีเอ๋อร์…”
มู่เฉียนซีถลึงตามองเขาด้วยความโกรธ จากนั้นก็พูดตัดบทเขาว่า “ดังนั้นอะไรเจ้าคะ?”
.
.