ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2086 การแสดงความสามารถของอารอง
“ข้า…” มู่เฟิงหลิงจ้องมองไปยังดวงตาสีดำสนิทที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่สามารถพูดสิ่งที่เขาต้องการจะพูดก่อนหน้านี้ออกมาได้
มู่เฉียนซีจึงเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาทันที และไม่ต้องการที่จะพูดหัวข้อนั้นอีกต่อไป
นางกล่าวถามว่า “อารองมาทำอะไรที่ดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตหรือเจ้าคะ? ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่เหมาะสมกับคนที่มีความสามารถอย่างอารองจะมาฝึกฝนหาประสบการณ์ได้เลย”
“ดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตมีสมุนไพรวิญญาณชนิดหนึ่ง เรียกว่าผลไม้จันทราโลหิตกิเลน มันคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงของดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิต จากความทรงจำที่สืบทอดกันมาในเผ่าของข้า ทำให้รู้ว่ามันสามารถใช้ยกระดับความสามารถได้หนึ่งขั้นโดยไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ เช่นนั้นข้าจึงได้มาตามหามัน”
สิ่งที่มู่เฉียนซีถาม มู่เฟิงหลิงก็ได้ตอบมู่เฉียนซีอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ทำให้ซีเอ๋อร์รู้สึกโกรธ ฉะนั้นตอนนี้เขาจึงไม่อยากทำให้นางต้องโกรธอีกแล้ว
ในเมื่อไม่มีข่าวคราวของพี่ใหญ่เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามยกระดับความแข็งแกร่งของตนเองอย่างสุดความสามารถ และเมื่อถึงเวลาที่พี่ใหญ่ต้องการจะทำอะไร เขาจะได้สามารถช่วยเหลือได้
มู่เฉียนซีพึมพำกล่าว “ผลไม้จันทราโลหิตกิเลนหรือ? มันเป็นหนึ่งในยาขั้นเทวะระดับต้น ๆ และมันก็ใช้ได้ผลกับอารองจริง ๆ เช่นนั้นข้าก็จะอยู่หาเป็นเพื่อนอารองที่ดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตนี่ก็แล้วกัน!”
“ตกลง!”
มู่เฟิงหลิงไม่ได้กล่าวปฏิเสธ ประการแรกเลยคือเขาไม่มีหนทางที่จะปฏิเสธได้
ประการที่สองคือเขาเพิ่งจะได้เจอกับซีเอ๋อร์เพียงไม่นาน และเขาก็ไม่อยากที่จะแยกทางกันเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้มู่เฉียนซีจึงได้ติดตามอารองของนางไป เพื่อค้นหาผลไม้จันทราโลหิตกิเลนในดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตแห่งนี้
แต่ทางด้านของสำนักใหญ่ทั้งสองของกองกำลังระดับสี่อย่างสำนักหลินเยว่และสำนักหมอทมิฬกลับถูกปกคลุมไปด้วยความอึมครึม คนที่พวกเขาส่งออกไปไล่ล่ามู่เฉินซี ล้วนตายจนหมดสิ้น
“นี่มันเป็นไปไม่ได้? มู่เฉินซีผู้นี้มีความสามารถอะไรกันแน่? ถึงสามารถฆ่าพวกเขาได้ มันจะต้องเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันบางอย่างขึ้นแน่นอน?”
“สถานที่สุดท้ายที่พวกเขาหายไปก็คือดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิต และพวกเราก็มั่นใจว่ามู่เฉินซีเข้าไปในดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิตแล้วเช่นกัน เช่นนั้นพวกเราไปซุ่มรอดูสถานการณ์อยู่ด้านนอกกันก่อนเถอะ”
“ในเมื่อผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับหกไม่สามารถฆ่ามู่เฉินซีได้ เช่นนั้นเราก็ส่งผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงไป! มาลองดูว่าคราวนี้ มู่เฉินซีนางจะตายหรือไม่ตายกันแน่?”
เมื่อพลังธาตุวายุระเบิดออก มู่เฉียนซีก็ได้ระเบิดสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตแตกออกจนเป็นเสี่ยง ๆ
มู่เฟิงหลิงประหลาดใจเล็กน้อย และคิดไม่ถึงว่าซีเอ๋อร์จะมีความเชี่ยวชาญในพลังธาตุชนิดหนึ่งมากถึงเพียงนี้แล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “ยังไม่หมดแค่นี้หรอกเจ้าค่ะ!”
“เพลิงนภาพิฆาต!”
และในตอนที่สัตว์ประหลาดผลึกโลหิตอีกตัวกำลังเข้ามาใกล้ พลังธาตุอัคคีที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมา
จากนั้นความปั่นป่วนของพลังธาตุวารีก็แผ่กระจายออกไป และมังกรวารีตัวหนึ่งก็พุ่งทะยานลงมาจากกลางอากาศ สุดท้ายสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตตัวที่สามก็แตกละเอียดเป็นผุยผง
ผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวายุ อัคคี และยังมีวารี หลานสาวของเขาได้กลายเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวิญญาณสามธาตุไปแล้ว ซึ่งนี่ก็ทำให้มู่เฟิงหลิงตื่นตกใจมากทีเดียว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “อารอง หลานสาวของท่านเก่งกาจมาก! ใช่หรือไม่?”
“แต่ว่าเผ่าคำสาป มีวิธีการที่แปลกประหลาด ข้ากลัวว่า…”
“เหอะ! หากเผ่าคำสาปกล้ามาตามล่าท่านจริง ๆ ข้าจะให้พวกมันได้ลิ้มรสวิธีการของข้า”
หลังจากที่รวบรวมคัมภีร์หมื่นคำสาปมาได้แล้ว มู่เฉียนซีก็แทบที่จะไม่ได้ใช้พลังของเคล็ดวิชาคำสาปเลย
และตอนนี้เพื่อทำให้อารองวางใจ มู่เฉียนซีจึงได้ระเบิดพลังคำสาปที่ทรงพลังออกมาทันที
มู่เฟิงหลิงประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง บางทีความสามารถของซีเอ๋อร์อาจจะไม่สูงพอในสายตาของผู้แข็งแกร่งบางคน แต่ดูเหมือนว่าพลังคำสาปนี้จะยอดเยี่ยมกว่านักเล่นคาถาอาคมของเผ่าคำสาปที่กำลังไล่ล่าเขาอยู่เสียอีก
มู่เฉียนซีดึงพลังกลับคืนมา จากนั้นนางก็กล่าวว่า “คราวที่แล้วเนื่องจากพื้นที่ที่จำกัด ทำให้ข้าไม่อาจรั้งท่านไว้ได้ แต่คราวนี้ท่านอย่าคิดว่าจะหนีได้เลย!”
“ฮึ ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อ ท่านพี่และอาเล็กต่างก็พากันหนีออกไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกลทีละคน และทิ้งตระกูลมู่ไว้ให้ข้าเพียงคนเดียว ข้าไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ แล้วจะให้ข้าทำอะไรกับท่านไม่ได้อีกคนอย่างนั้นหรือ!?”
เมื่อมองไปที่หลานสาวผู้กล้าหาญ มู่เฟิงหลิงก็ได้แต่กล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ซีเอ๋อร์ เจ้าอย่าเลือกรังแกคนที่อ่อนแอกว่าสิ! เดี๋ยวนี้รู้จักรังแกอารองแล้วหรือ?”
มุมปากของมู่เฉียนซียกโค้งขึ้นพลางกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจหรอก และแน่นอนว่าอารองจะต้องอยู่กับข้า! เจ้าพวกสำนักหลินเยว่กับสำนักหมอทมิฬที่ไล่ล่าข้ายังไม่ได้ถูกจัดการเลย หากอารองชิงหนีไป แล้วพวกมันตามมารังแกข้าจะทำเช่นไรกันล่ะ?”
แม้จะไม่มีอารองอยู่ด้วย นางก็ไม่มีทางกลัวพวกสำนักหลินเยว่และสำนักหมอทมิฬอยู่แล้ว แต่เพื่อทำให้อารองไม่ชิงหนีไป แน่นอนว่านางจำเป็นต้องพูดให้ดูน่าสงสารสักหน่อยดีกว่า!
มู่เฟิงหลิงได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเองตามที่คาดเอาไว้ และกล่าวอย่างปวดใจว่า “พวกเราไม่ดีเอง และอารองก็แย่ยิ่งกว่า เพราะคิดจะปล่อยให้ซีเอ๋อร์ต้องได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นสำนักหลินเยว่ สำนักหมอทมิฬหรืออะไรก็ตาม อารองจะอยู่ทำลายพวกมันไปพร้อมกับเจ้าเอง จะไม่ไปไหนแล้วแน่นอน”
เมื่อได้รับคำสัญญาจากอารองแล้ว มู่เฉียนซีก็กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “นี่แหละใช่เลย! อารองดีที่สุดแล้ว”
เมื่อมู่เฟิงหลิงได้เห็นรอยยิ้มของมู่เฉียนซีก็ผงะไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าหากสามารถได้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของซีเอ๋อร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรมันก็คุ้มค่าแล้ว
หลังจากที่มู่เฉียนซีมีความสุขมากขึ้นแล้ว แน่นอนว่านางก็ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตอย่างกล้าหาญมากขึ้นเช่นกัน
แต่เมื่อไรที่มีสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตที่มีความสามารถสูงกว่ามู่เฉียนซีเข้ามา ก็จะเป็นหน้าที่ของมู่เฟิงหลิงที่ต้องเป็นคนลงมือเอง แต่ทว่าโอกาสที่จะได้ลงมือกลับมีไม่มากนัก
ฉะนั้นมู่เฟิงหลิงจึงลอบถอนหายใจ ‘ยังแสดงความสามารถต่อหน้าซีเอ๋อร์ได้ไม่มากเท่าไรเลย เมื่อไรจะมีสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตที่แข็งแกร่งโผล่ออกมาอีกหลาย ๆ ตัวกันนะ’
ตูมมมม!
ในตอนที่มู่เฟิงหลิงกำลังคิดเช่นนั้น ก็ได้มีเสียงต่อสู้ดังขึ้นมาจากเบื้องหน้า
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “มีคนด้วย!”
มีใครบางคนกำลังต่อสู้อยู่กับสัตว์ประหลาดผลึกโลหิต และร่างกายของเจ้าสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตตัวนั้นก็ใหญ่โตมากเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีความสามารถสูงกว่าผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงอีกด้วย
ความสามารถสูงสุดของคนเหล่านี้มีเพียงแค่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับหกเท่านั้น ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาเช่นนี้ จึงทำให้การต่อสู้นี้น่าเวทนาเป็นอย่างมาก
“พวกเจ้าทั้งหมด รีบไปซะ! ข้าจะขวางพวกมันเอาไว้เอง”
“พี่ใหญ่ ไม่ได้นะ! พวกเราพี่น้องหากจะตายก็ต้องตายด้วยกันที่นี่” คนอื่นอีกสองสามคนร้องตะโกนออกมา
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “อารอง ดูเหมือนว่าตลอดทั้งทาง ท่านจะมีคู่ต่อสู้ไม่มากนักจนทำให้ต้องอึดอัด ทำไมท่านไม่ลองดูหน่อยล่ะ! อู๋ตี้ของข้าชอบผลึกโลหิตของสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตระดับนี้มากเลยเจ้าค่ะ”
มู่เฟิงหลิงตอบรับ “ได้เลย!”
ร่างสีแดงเข้มพุ่งทะยานออกไป และดาบหนักเล่มนั้นก็แทงทะลุร่างของสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตตัวนั้นจนเป็นโพรงโลหิตโพลงหนึ่งขึ้นมา
แต่มันก็ยังไม่สามารถคร่าชีวิตของมันได้ ดังนั้นจึงทำให้สัตว์ประหลาดผลึกโลหิตที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสตัวนี้โกรธเป็นอย่างมาก มันจึงตามหาศัตรูของมันอย่างบ้าคลั่ง จนมาพบกับร่างสีแดงเข้มร่างหนึ่ง
ครั้นเมื่อดาบวนกลับมาอยู่ในมือของมู่เฟิงหลิงอีกครั้ง เขาก็กวัดแกว่งดาบออกไปอย่างรุนแรงในทันที
ตูมมม โครมมม!
หลังจากนั้นมู่เฟิงหลิงและสัตว์ประหลาดผลึกโลหิตก็เริ่มต่อสู้กัน
คนที่กำลังจนตรอกสองสามคนนั้นก็จ้องมองไปที่พวกเขาอย่างตกตะลึงพลางกล่าวว่า “พวกเรารอดแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ผู้ชายคนนั้นดูจะอายุน้อยมาก คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะดุดันขนาดนี้”
ในเวลานี้ ร่างสีม่วงร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานออกมา แล้วกล่าวว่า “พวกเจ้ารอดแล้วล่ะ ในเมื่อได้รับการช่วยชีวิตแล้ว พวกเจ้าเตรียมตัวที่จะตอบแทนอย่างไรบ้างล่ะ?”
พวกเขามองไปยังสาวน้อยที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหัน เมื่อมองดูแล้วก็รู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก และทันใดนั้นเขาก็กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าคือ? เจ้าคือมู่เฉินซีอย่างนั้นหรือ?”
“พวกเจ้ารู้จักข้าด้วยอย่างนั้นหรือ?” มู่เฉียนซีกวาดสายตามองพวกเขาอย่างระวังตัว
พวกเขาตอบกลับไปว่า “แน่นอนว่าต้องรู้จักอยู่แล้ว หลังจากงานชุมนุมอัจฉริยะของดินแดนทางทิศตะวังออกคราวนี้ หลานชายของข้ายังเอาภาพเหมือนของเจ้าแขวนไว้ทั่วทุกหนทุกแห่ง และมองเจ้าราวกับเทพธิดาเลยล่ะ!”
“เป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้และดินแดนทางทิศตะวันออกเช่นนี้ ต้องมีคนรู้จักมากมายอยู่แล้ว”
“อะแฮ่ม ๆ! พี่ใหญ่!” พี่ใหญ่ของพวกเขากล่าวอย่างตื่นเต้น จนคนที่อยู่ข้างกายของเขาต้องรั้งเอาไว้
“แม่นางมู่ แล้วใต้เท้าท่านนั้นคือ?” พวกเขามองไปยังมู่เฟิงหลิงแล้วกล่าวถาม
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งว่า “นั่นคืออารองของข้าเอง เขายอดเยี่ยมมากเลยใช่ไหมล่ะ? นับถือเลยล่ะสิ?”
ยอดเยี่ยมมาก ช่างยอดเยี่ยมมากเหลือเกิน
พวกเขาถูกโจมตีจนเกือบตาย และถึงพวกเขาจะมีสถานะเป็นอาของเหล่าเด็ก ๆ เหมือนกัน แต่ทว่าความสามารถของพวกเขากลับยังห่างชั้นกับท่านผู้นี้มากมายนัก
ไม่แปลกใจเลยที่หลานของพวกเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉินซีอย่างสมบูรณ์ เพราะทั้งตระกูลดูจะมีความกล้าหาญที่ไม่เหมือนมนุษย์กันทั้งนั้น! แล้วจะให้พวกเขาไปเทียบได้อย่างไรล่ะ?
.