ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2092 นำคำพูดกลับไป
“จะ…เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้อย่างแน่นอน!”
เขาพุ่งเข้าจู่โจมมู่เฉียนซีอีกครั้ง แต่ทว่าเขาที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ในตอนนี้ไม่สามารถไล่ตามความเร็วของมู่เฉียนซีได้ทัน
มู่เฉียนซีถือพัดวิหคเฟิงหลิงเอาไว้ในมือ จากนั้นพลังวิญญาณธาตุวายุก็ระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์
ฉัวะ!
มีเสียงหนึ่งดังขึ้น และเลือดสด ๆ ก็กระเซ็นออกมาจากต้นคอของคนผู้นั้น จากนั้นศีรษะของเขาก็ตกลงมาจากกลางอากาศ
หลังจากที่จัดการไปได้หนึ่งคน แน่นอนว่ายังมีคนอื่นที่คิดจะฆ่านางอยู่อีก ฉับพลันร่างของมู่เฉียนซีก็สว่างวาบขึ้น และหายวับไปจากตรงนั้นทันที
“เจ้าคนไร้ประโยชน์! แม้แต่สาวน้อยคนเดียวก็จัดการไม่ได้!”
ตูมมม โครมมมม!
มู่เฉียนซีจัดการกับพวกปลาซิวปลาสร้อยเหล่านี้ และมู่เฟิงหลิงในขณะนี้ก็กำลังต่อสู้อยู่กับผู้อาวุโสของกองกำลังระดับสี่ทั้งสองสำนักที่มีความสามารถเป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าขั้นสูงสุดอยู่
อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าเท่านั้น และกลิ่นอายก็ยังดูเหมือนว่าเพิ่งจะบรรลุมาได้ไม่นานเท่าไร ฉะนั้นมันยังห่างไกลจากระดับเก้าขั้นสูงสุดมากมายนัก
แต่ทว่าในตอนนี้การต่อสู้นั้นดุดันเป็นอย่างยิ่ง และความแข็งแกร่งในการต่อสู้อย่างก้าวกระโดดก็ค่อย ๆ ยกระดับมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นคนที่รับมือได้ยากเป็นอย่างยิ่งคนหนึ่ง
ผู้อาวุโสจากสำนักหมอทมิฬคนนั้นกล่าวขึ้นมาอย่างเคร่งขรึมว่า “ไม่สามารถชักช้าได้อีกต่อไปแล้ว ไปตายซะเถอะ!”
ขณะเดียวกันนั้นมู่เฟิงหลิงก็โบกสบัดดาบหนักของเขา และโต้ตอบกลับไปอย่างดุเดือด
ตูมมม โครมมม!
พลังของดาบเล่มนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นอายของสัตว์เทพกิเลน และคิดไม่ถึงว่าจะทำให้ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าขั้นสูงสุดไม่สามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้!
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!
ร่างของชายชราจากสำนักหมอทมิฬลอยตกลงมาจากกลางอากาศ และหน้าท้องของเขาก็มีโพรงขนาดใหญ่หลงเหลืออยู่
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
เขาร้องตะโกนออกมาว่า “เจ้าหนูนี่มีพลังสายเลือดที่พิเศษมาก ระวังด้วย”
สมกับที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าขั้นสูงสุด แม้ว่าจะมีบาดแผลขนาดใหญ่บนร่างกาย แต่เขาก็ยังสามารถให้ความร่วมมือกับผู้อาวุโสจากสำนักหลินเยว่ผู้นั้นเพื่อโจมตีมู่เฟิงหลิงต่อไปได้
ปัง ปัง ปัง!
การถูกทั้งสองคนล้อมโจมตี ก็ทำให้ร่างกายของมู่เฟิงหลิงได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ทว่ามันเป็นแค่การบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น และเมื่อเทียบกับอีกสองคนแล้วก็ถือว่าดีกว่ามากนัก
“เข้ามาสิ!” มู่เฟิงหลิงกล่าวอย่างเย็นชา
เขายกดาบยักษ์เล่มนั้นขึ้น จากนั้นก็กระโจนไปทางผู้อาวุโสจากสำนักหลินเยว่ผู้นั้นด้วยความรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้ารับดาบเล่มนี้เอาไว้ไม่ไหวหรอก!”
ฉัวะ!
สกัดกั้นก็ไม่อยู่ หลบก็ไม่พ้น สุดท้ายผู้อาวุโสของสำนักหลินเยว่ผู้นั้นก็โดนดาบฟัน จนนอนจมอยู่ในกองเลือดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ผู้อาวุโสของสำนักหมอทมิฬผู้นั้นเกิดความกลัวขึ้นมา เขากล่าวด้วยสีหน้าอันขาวซีดว่า “เจ้า…คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าฆ่า…”
“เป็นเพียงแค่เศษสวะของกองกำลังระดับสี่เท่านั้น ทำไมข้าถึงไม่กล้าฆ่าด้วยล่ะ!”
“ต่อไป ก็คือเจ้า! รับดาบของข้าซะเถอะ!”
ดาบหนักส่องแสงประกายเจิดจ้า ด้วยความทรงพลังเป็นอย่างยิ่งของมัน ได้ทำให้ผู้อาวุโสของสำนักหมอทมิฬคนนี้หวาดกลัวจนลมแทบจับไปเลยทีเดียว
“คิดจะฆ่าข้า มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
เขาได้สละสมบัติที่มีทั้งหมดออกมาเพื่อปกป้องร่างกาย แต่สมบัติที่อยู่ใต้ดาบเล่มนี้ทั้งหมด ต่างก็ถูกทำลายไปจนสิ้น
ตอนนี้เขาได้รับรู้แล้วว่า ทั้งความสามารถ สายเลือด ทักษะวิญญาณ รวมไปถึงดาบเล่มนี้ของชายผู้นี้ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าทั่วไปจะสามารถเทียบเคียงได้
ตูมมม!
เมื่อดาบฟาดลงมา ร่างของเขาก็แหลกสลาย และตายลงในทันที
“โอ้ สวรรค์! ท่านผู้อาวุโสใหญ่!”
“ท่านผู้อาวุโสใหญ่!”
คนออกคำสั่งที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าขั้นสูงสุดทั้งสองคนต่างก็ตายกันหมดแล้ว และคนที่อยู่ระดับล่างเหล่านั้นก็ถูกทำให้หวาดกลัว จนทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว
“หนีเร็ว!”
คนเพียงคนเดียวของอีกฝ่ายสามารถกำจัดผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าขั้นสูงสุดได้ถึงสองคน เช่นนั้นก็หมายความว่า เพียงแค่เขาเหวี่ยงดาบอย่างไม่ได้ตั้งใจ พวกเขาก็จะโดนสังหารหมู่ในทันที
อู๋ตี้ยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “พวกเจ้าอยากจะหนีหรือ! ฝันไปเถอะ!”
“เดี๋ยวข้าจัดการพวกมันที่เหลือทั้งหมดเอง เพลิงคลั่งชางเหลียน!” เสี่ยวหงร้องคำราม
เสี่ยวโม่โม่ปิดล้อมกลางอากาศเอาไว้ หากมีคนที่ต้องการหนีขึ้นไปบนอากาศ ก็จะต้องโดนเพลิงหงส์อมตะแห่งความมืดนั้นโจมตีอย่างแน่นอน
หลังจากที่จัดการสองคนนั้นไปแล้ว มู่เฟิงหลิงก็เริ่มทำการเก็บกวาดคนอื่นต่อไป และคนเหล่านี้ไม่มีพลังในการต่อต้านมากพอที่จะเผชิญหน้ากับมู่เฟิงหลิงได้เลย ฉะนั้นจึงทำได้เพียงแค่ยอมรับชะตากรรมเท่านั้น!
ปัง ปัง ปัง!
คนของสำนักหลินเยว่และสำนักหมอทมิฬที่พ่ายแพ้ ต่างล้มฟุบลงไปกองกับพื้นทีละคน
และคนที่เหลืออยู่ในตอนนี้ที่มีจำนวนไม่ถึงหนึ่งในสิบ พวกเขาต่างก็ยืนหยัดกันต่อไปอีกไม่ไหวอีกแล้ว
สู้ก็ไม่ได้ หนีก็ไม่พ้น เช่นนั้นก็เหลือเพียงหนทางสุดท้ายแล้ว
สวบ สวบ สวบ!
ขาทั้งสองข้างของพวกเขาอ่อนลง และคุกเข่าลงกับพื้นโดยตรง
“นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย!”
“แม่นางมู่โปรดไว้ชีวิตด้วย! พวกเราเพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น”
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกยกขึ้นเล็กน้อย “ให้ไว้ชีวิตคนที่ต้องการจะฆ่าข้า พวกเจ้าคิดว่าข้าจะมีความเมตตาขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของพวกเขาขาวซีดราวกับกระดาษ ภารกิจล้มเหลว และยากที่จะหนีรอดไปจากความตายได้
มู่เฉียนซีโยนยาลูกกลอนออกไปสองขวด โดยที่แยกออกเป็นของคนจากสำนักหมอทมิฬและสำนักหลินเยว่
“ยาที่อยู่ในสองขวดนี้ แต่ละขวดจะมีทั้งยาพิษกับไร้พิษ หากโชคดีแล้วละก็ อาจจะมีคนรอดชีวิตถึงสองคนเลยล่ะ! ฉะนั้นก็กินมันซะ! ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะลงมือกับพวกเจ้าแล้ว”
หลังจากที่เอายาลูกกลอนโยนไปไว้ตรงหน้าของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่กล้าที่จะหยิบมันขึ้นมา
“เป็นอะไรไป? ไม่ได้ยินคำพูดของซีเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ?” มู่เฟิงหลิงกวาดสายตามองไปทางพวกเขาอย่างไม่พอใจ แรงกดดันของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าทำให้พวกเขาสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่อยากจะตายด้วยการกินยาพิษ เช่นนั้นข้าจะแผดเผาพวกเจ้าให้ตายไปซะ!” เสี่ยวหงยืนอยู่ข้างหน้าของมู่เฉียนซี
“เสี่ยวโม่โม่ก็สามารถช่วยเผาได้นะ!”
เงาสีดำขนาดมหึมาได้ปกคลุมพวกเขาเอาไว้ ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว
ในที่สุดพวกเขาก็กลืนยาพิษลงไป หลังจากที่กลืนยาพิษแล้ว คนจำนวนมากก็ล้มฟุบลงไปบนพื้นโดยตรง
แต่ทว่าสำนักหมอทมิฬและสำนักหลินเยว่ต่างก็มีคนที่รอดชีวิตมาได้ถึงสองคน พวกเขารู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย นี่มู่เฉินซีพูดเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?
“ที่ไว้ชีวิตพวกเจ้าก็เป็นเพราะต้องการให้พวกเจ้านำคำพูดของข้ากลับไป ซึ่งมันก็ค่อนข้างพอดีสำหรับข้า ฉะนั้นจะต้องเอาคำพูดของข้าไปบอกเจ้าสำนักของพวกเจ้าทุกคำอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่คำเดียว” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา
“เริ่มที่สำนักหลินเยว่ก่อนแล้วกัน!”
“สำนักหลินเยว่ของพวกเจ้ารีบมาฆ่าข้าเข้าล่ะ! บัลลังก์ของอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งแดนซวนเทียนของใครบางคนใกล้จะที่รักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าสำนักหลินเยว่ก็คงจะน่าสังเวชมาก โดยที่ข้าไม่จำเป็นต้องลงมือใด ๆ เลย”
ลูกศิษย์สาวที่จนตรอกคนนั้นจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยความตื่นตกใจ เดิมทีคิดว่านางจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อเตือนสำนักหลินเยว่ แต่คาดไม่ถึงเลยว่านางจะส่งเสริมให้สำนักหลินเยว่มาฆ่านางเช่นนี้
“ได้ยินไม่ชัดอย่างนั้นหรือ? หากได้ยินชัดแล้ว เจ้าก็ไสหัวไปซะ”
“ข้าได้ยินชัดแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
นางตะเกียกตะกายขึ้นมา จากนั้นก็รีบร้อนออกไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด ราวกับว่ามีวิญญาณพยาบาทกำลังไล่หลังนางไปก็มิปาน
มู่เฉียนซีก้มหน้าลงและมองไปยังคนของสำนักหมอทมิฬ จากนั้นก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่ได้มีความแค้นกับสำนักหมอทมิฬของพวกเจ้ามากนัก แค่เอาชนะนายน้อยของพวกเจ้าได้เท่านั้น และเพียงแค่คนรุ่นหลังแข่งขันกันถึงกับต้องให้ทั้งสำนักตามมาแก้แค้นข้า นั่นมันจะทำให้กองกำลังหลักต่าง ๆ แห่งแดนซวนเทียนต้องหัวเราะเยาะเอาเสียเปล่า ๆ”
“แต่หากพวกเจ้าชอบที่จะมีจิตใจคับแคบก็ไม่เป็นไร เพราะข้ามีอารองอยู่ด้วย และไม่ว่ายอดฝีมือของสำนักหมอทมิฬของพวกเจ้าจะถูกส่งมามากเท่าไร อารองของข้าก็จะฆ่ามากเท่านั้น! เมื่อฆ่าจนถึงสุดท้ายแล้ว และสำนักหมอทมิฬของพวกเจ้าก็จะไม่หลงเหลือยอดฝีมืออีก พวกเจ้าก็จะถูกลดไปเป็นกองกำลังระดับสามเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็อย่าร้องไห้เสียล่ะ!”
มุมปากของมู่เฉียนซีคลี่ยิ้มออกมาอย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งสีหน้าที่เต็มไปด้วยการยั่วยุ
คนของสำนักหมอทมิฬผู้นั้นกำหมัดแน่น นางสาวน้อยผู้นี้ช่างกำเริบเสิบสานเสียจริง ๆ ถึงชายคนนั้นจะเก่งกาจเพียงใดแต่ก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะกล้ายั่วยุทั้งสองสำนักเช่นนี้
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “สำนักหมอทมิฬถือได้ว่าเป็นกองกำลังระดับสี่ครึ่ง เนื่องจากเพิ่มมาอีกครึ่งข้าจึงพูดมากกว่าสองสามประโยค แต่เจ้าน่าจะได้ยินชัดเจนดีใช่หรือไม่?”
“ได้ยินชัดเจนแล้วขอรับ!”
“เช่นนั้น อารองพวกเราไปกันเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าวพลางมองไปทางมู่เฟิงหลิง
“อื้ม!”
เมื่อรอให้พวกเขาหายไปแล้ว คนผู้นี้ก็รีบร้อนกลับไปที่สำนักหมอทมิฬทันที
มีซากศพมากมายอยู่ที่ทางออกของดินแดนต้องห้ามจันทราโลหิต และนกอินทรีก็ได้มารวมตัวกันเพื่อกินซากศพเหล่านั้น
คราวนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องทำลายซากศพหรือร่องรอยใด ๆ เพราะนางต้องการที่จะเตือนสำนักหมอทมิฬและสำนักหลินเยว่นั่นเอง
.
.