ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2231 ใกล้ชิดอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อมู่เฉียนซีเปิดประตูออกมา ก็เห็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
“เจ้าเป็นใคร?” นางกล่าวถาม
“นายท่านของพวกข้าได้รู้มาว่ามีแม่นางน้อยผู้มากพรสวรรค์คนหนึ่งมาพักอยู่ข้าง ๆ ดังนั้นจึงให้ข้ามาเชิญท่านไปดื่มชาด้วยกัน ไม่ทราบว่าแม่นางน้อยจะยอมตอบรับหรือไม่?” คนผู้นี้กล่าวด้วยความสุภาพเป็นอย่างมาก
“ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลานหมายเลขหนึ่งนั้นมีขนาดใหญ่กว่าลานหมายเลขสองของนางเสียอีก และที่นี่ยังมีการกางค่ายกลเอาไว้หลากหลายชนิดอีกด้วย
นอกจากนี้ยังปลูกพืชที่เป็นประโยชน์มากมายหลากหลายชนิดเอาไว้ ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นว่าคนที่อยู่ข้างในนั้น มีค่ามากเพียงใด
ทันทีที่ก้าวเข้ามาข้างในประตู มู่เฉียนซีก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันของพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งที่พัดโหมกระหน่ำเข้ามา
นี่คือการแสดงอำนาจอย่างนั้นหรือ?
แม้ว่านางจะมาขอร้องคนอื่น แต่มู่เฉียนซีก็ไม่ได้คิดที่จะแสดงด้านที่อ่อนแอออกมาเช่นกัน ดังนั้นนางจึงได้แผ่พลังวิญญาณออกไปโดยไม่เกรงใจ เพื่อที่จะกดดันกลับไปบ้าง
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปภายในสวนที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้อย่างมั่นคง ดอกไม้ที่ปลูกอยู่ภายในไม่ได้เป็นเพียงไม้ประดับทั่วไปเท่านั้น แต่ดอกไม้เหล่านี้ยังเต็มไปด้วยพลังในการรักษาอันแข็งแกร่งอีกด้วย ซึ่งมันก็พบเห็นได้ยากมากเลยทีเดียว
นอกจากนี้มูลค่าของกลีบดอกไม้เพียงกลีบเดียวก็สามารถซื้อเมืองได้เมืองหนึ่งแล้ว แต่ที่นี่กลับปลูกไว้มากมายถึงเพียงนี้
เดิมทีคิดว่าตระกูลมู่ของนาง และหมอปีศาจอย่างนางจะร่ำรวยมากที่สุดแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนร่ำรวยถึงเพียงนี้ซ่อนอยู่ในเมืองอันเงียบสงบแห่งนี้ด้วย
หยกสีดำสนิทที่ถูกแกะสลักเอาไว้อย่างวิจิตรบรรจงและตั้งตระหง่านอยู่กลางสวนดอกไม้แห่งนี้ ก็ยิ่งช่วยทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่พิเศษมากขึ้นไปอีก และในทิวทัศน์ที่งดงามนี้ก็มีชายคนหนึ่งกำลังนั่งรอนางอยู่กลางศาลา
แม้จะเห็นเพียงแค่ภาพเงาที่เลือนลาง แต่กลับรู้สึกได้ถึงเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังสามารถดึดดูดความสนใจของผู้คนได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
และเมื่อมู่เฉียนซีเดินตรงไปข้างหน้า ก็สามารถมองเห็นคนผู้นั้นได้ชัดมากยิ่งขึ้นไปอีก
ในเวลานี้ ขณะที่เขาหันหน้ากลับมา เมื่อดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมองไปยังมู่เฉียนซีก็ไร้ร่องรอยของความสั่นไหวใด ๆ
เขานั่งอยู่บนรถเข็นที่งดงาม บนตัวของเขามีเสื้อผ้าหนา ๆ ปกปิดอยู่ ซึ่งมันก็ทำให้คนอื่นดูไม่ออกว่ารูปร่างของเขานั้นอ้วนหรือผอมกันแน่
อีกทั้งบนใบหน้าของเขาก็สวมหน้ากากเอาไว้ ซึ่งเป็นวัสดุที่คล้ายกับของที่พวกชิงหลงใส่กัน และดูเหมือนว่ามันจะถูกทำออกมาโดยช่างฝีมือคนเดียวกัน
บนหน้ากากของพวกชิงหลงนั้นมีลวดลาย แต่ทว่าบนหน้ากากของชายผู้นี้กลับเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซีได้ลองตรวจสอบคนผู้นี้ดู หลังจากนั้นนางก็ค้นพบว่า พลังวิญญาณของคนผู้นี้เท่ากับศูนย์ และแม้แต่พลังจิตวิญญาณยังว่างเปล่าอีกด้วย
นางรู้สึกตื่นตกใจเป็นอย่างมาก นะ…นี่มันจะเป็นได้ไปอย่างไร?
“มู่เฉินซี!” ริมฝีปากบางขาวซีดของเขาเปิดออกเล็กน้อย จากนั้นก็พ่นเสียงที่แหบแห้งราวกับขาดสติออกมา ทว่าเขาก็ได้แต่แอบซ่อนความประหลาดใจเอาภายใน
เมื่อได้เห็นเด็กน้อยผู้นี้ ภายในใจของเขาก็ไม่อาจสงบลงได้เลย อายุของแม่นางน้อยผู้นี้ทำให้เขานึกถึงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนเองยิ่งนัก และมันก็ทำให้เขาคิดถึงนางอย่างควบคุมไม่ได้
มู่เฉียนซีเดินเข้าไปใกล้แล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าคือมู่เฉินซี”
ชายผู้นี้ไม่ทำให้นางรู้สึกได้ถึงการคุกคามใด ๆ เลย แต่นางก็รู้ดีว่าไม่ควรดูถูกชายผู้นี้อยู่ดี
ในสภาพแบบนี้เขายังสามารถสร้างกองกำลังเช่นนี้ออกมาได้ อีกทั้งยังบ่มเพาะเยาวชนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมแต่ละคนออกมาเช่นนี้ได้ ซึ่งคนเช่นนี้ไม่ควรมองข้าม
มู่เฉียนซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้ายินดีเป็นอย่างมากที่ได้พบท่าน”
“แม่นางน้อยพูดจริงอย่างนั้นหรือ?” ถึงเสียงของเขาแหบแห้งเป็นอย่างมาก แต่ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น จนทำให้คนฟังไม่รู้สึกระคายหูเลยแม้แต่น้อย
“เป็นเรื่องจริง เพี่อที่ข้าจะได้พบท่านสักครั้ง ข้าต้องเปลืองแรงไปไม่น้อย ไม่ใช่ว่าท่านจะไม่รู้เสียหน่อย” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถึงคนที่อยู่ตรงหน้านางผู้นี้จะไม่อาจหยั่งถึงได้ แต่ทว่าภายในใจของนางกลับไม่ได้ป้องกันใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าอยากหามู่เฟิงอวิ๋นให้เจอถึงขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ?” เขากล่าวถาม
“แน่นอนว่า ข้าต้องการเช่นนั้นมากจริง ๆ!”
“เพราะเหตุใด?”
เพราะว่าเขาก็คือท่านพ่อที่ไร้ความรับผิดชอบของข้า ทั้งยังเป็นเสือนอนกินอีกด้วยอย่างไรเล่า! ขณะนั้นแววตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ได้พูดความในใจออกไปอยู่ดี
มีรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นมาบนมุมปากของเขา พลางกล่าวว่า “ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงเปิดเผยข้อมูลเล็กน้อยที่เกี่ยวกับเขาให้เจ้าได้ฟังเท่านั้น เจ้าอยากรู้อะไรล่ะ?”
สีหน้าของมู่เฉียนซีก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อสามารถรับรู้ข่าวคราวของท่านพ่อได้ และถึงแม้จะเป็นข่าวคราวเพียงเล็กน้อยก็ตาม
เด็กสาวผู้นี้เป็นคนชาญฉลาดที่รู้จักซ่อนอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง แต่ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้านางในเวลานี้กลับสามารถมองความคิดของนางออกได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่านางค่อนข้างมีความสุข ภายในใจของเขาก็ไม่รังเกียจที่จะทำให้นางมีความสุขมากขึ้นไปอีกสักหน่อย
“เช่นนั้นข้าอนุญาตให้เจ้าถามได้สามคำถาม!” เดิมทีแล้วอยากจะตอบนางเพียงแค่คำถามเดียวเท่านั้น แต่ทว่าตอนนี้เขาได้เพิ่มให้นางถึงสามเท่าเลยทีเดียว
มู่เฉียนซีมองไปที่ดวงตาคู่นั้นของเขาแล้วกล่าวถามว่า “ข้าอยากรู้ว่า องค์รัชทายาทเฟิงอวิ๋นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
นางเชื่อว่าท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่ แต่หากสามารถยืนยันข้อมูลนั้นได้ นางก็จะยิ่งวางใจมากขึ้นไปอีก
“เขายังมีชีวิตอยู่!” เขากล่าวตอบ
เมื่อเห็นว่าหลังจากที่แม่นางน้อยผู้นี้ได้ยินคำตอบของเขาแล้ว ดวงตาคู่นั้นของนางก็ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้นอีกหลายส่วน ราวกับดวงดาวที่สุกสกาวมากที่สุดบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว
เขาเคยเห็นดวงตาที่งดงามเช่นนี้มาก่อน แต่ทว่าตอนนี้กลับ…
“ยังเหลืออีกสองข้อ?” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด
“เขายังสบายดีอยู่หรือไม่?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“ศัตรูของเขามีมากมาย อีกทั้งยังมีคนที่คิดจะจัดการเขาอยู่อีกมาก ดังนั้นเขาจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย ราวกับเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบาง ๆ เท่านั้น ซึ่งถือว่าค่อนข้างแย่เลยทีเดียว! เพียงแต่ว่าไม่ต้องกังวล เขาไม่มีทางยอมรับชะตากรรมแน่นอน”
เดิมทีเขาอยากจะตอบกลับเพียงสั้น ๆ เท่านั้น แต่สุดท้ายเมื่อเริ่มเอ่ยปากเขากลับพูดออกมาเสียมากมาย
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง และอารมณ์ที่ดูสงบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน แต่กลับไม่ได้ให้อารมณ์ที่ไม่เข้ากันแต่อย่างใด
นางกล่าวถามต่อว่า “ข้อที่สาม ท่านเป็นคนของเขาใช่หรือไม่?”
เขาคลี่ยิ้มขึ้นมาทันที “ที่แท้แม่นางน้อยก็จงใจที่จะถามคำถามทั้งสองข้อก่อนหน้านี้ เพื่อทำให้ข้าสะเพร่านี่เอง และคำถามนี้ก็คือสิ่งที่เจ้าต้องการจะถามจริง ๆ อย่างนั้นสินะ? ดูเหมือนว่าข้าไม่ควรเพิ่มคำถามสองข้อนั้นให้เจ้าเลย เพราะมันทำให้ตัวข้าในตอนนี้เจอคำถามที่ยากจะตอบได้เข้าเสียแล้ว”
“หากท่านรู้สึกว่ามันตอบยาก ก็ไม่ต้องตอบก็ได้” นางไม่ได้มีความคิดที่จะเป็นศัตรูกับคนผู้นี้ นอกจากนี้ยังรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกอีกด้วย
ความรู้สึกใกล้ชิดเช่นนี้นั้นเหมือนกับอาเล็กและอารองเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นนางจึงอาศัยสัญชาตญาณของตัวเองถามคำถามนี้ออกไป
“ก็ไม่ได้ถือว่ายากหรอก เช่นนั้นก็ถือเสียว่าข้าเป็นคนของเขาก็แล้วกัน! สำหรับคำตอบนี้ แม่นางน้อยยังพอใจอยู่หรือไม่?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “องค์รัชทายาทเฟิงอวิ๋นเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง และผู้มีอำนาจเช่นท่านก็สามารถทำงานให้เขาได้ ข่าวลือที่เคยล้ำลือกันในแดนซวนเทียนแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องโกหกอยู่แล้ว”
เขาสัมผัสได้ถึงความเคราพและความนับถือจากก้นบึ้งในหัวใจของแม่นางน้อยผู้นี้ เขาส่ายศรีษะพลางกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ข้าเป็นเพียงแค่คนพิการคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ก็มีเพียงแค่สมองที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ และไม่สามารถทำเรื่องอื่น ๆ ได้เลย ฉะนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจอะไรนักหรอก!”
สามารถสร้างกองกำลังเช่นนี้ได้ด้วยร่างกายแบบนี้ ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าสติปัญญาของคนผู้นี้จะน่าทึ่งมากเพียงใด
“มีแค่สมองที่ใช้ได้อะไรกัน ข้าว่าสติปัญญาของท่านจะต้องเหนือมนุษย์เป็นแน่ มิเช่นนั้นคงไม่สามารถบ่มเพาะพวกเขาเหล่านั้นออกมาได้หรอก” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
นางจ้องมองไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วกล่าวว่า “หากข้าสามารถรักษาร่างกายของท่านได้ละก็ ท่านจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าองค์รัชทายาทเฟิงอวิ๋นอยู่ที่ใด?”
“หากว่าเขายินยอมละก็ ย่อมได้อยู่แล้ว” เขากล่าวพร้อมคลี่ยิ้มบาง ๆ เขายกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อจะลิ้มรสชา แต่ทว่ามือของเขากลับมีแรงไม่มากนัก มู่เฉียนซีจึงรีบยกถ้วยชาให้เขาถ้วยหนึ่งด้วยความคล่องแคล่วว่องไว
“ข้าทำเอง!”
ร่างกายนี้อ่อนแอจนไม่สามารถถือได้แม้แต่ถ้วยชาเลยอย่างนั้นหรือ? ภายในใจของมู่เฉียนซีอดที่จะรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้
“เพราะร่างกายของข้าเป็นเช่นนี้ แม้แต่นักปรุงยาขั้นเทวะก็ยังไม่อาจรักษาข้าให้หายได้ เกรงว่าคงจะทำให้แม่นางน้อยต้องผิดหวังเสียแล้วล่ะ”
.
.