ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2247 คำสาปทั้งคู่ปะทุขึ้น
“เขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นอกจากนี้ยังช่วยเหลือคนผู้นั้นด้วย? ที่จริงแล้วระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่?”
วิธีการอันบ้าเลือดของท่านอ๋องจิ่วเยี่ยทำให้ผู้คนหวาดกลัวอย่างสุดขีด และพวกเขาก็ไม่อยากที่จะต้องตายไปเช่นนั้น
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพยายามคิดหาทางหนีอย่างสุดกำลัง แต่ทว่าพื้นที่โดยรอบกลับถูกจิ่วเยี่ยผนึกเอาไว้หมดแล้ว
และด้วยจิตสังหารเช่นนี้ คนเหล่านี้หนีไปไม่รอดอย่างแน่นอน
พวกเขาแต่ละคนได้มุ่งหน้าไปสู่ความตายและความพินาศ จนไม่เหลือร่องรอยใด ๆ ทิ้งไว้บนโลกนี้เลยแม้แต่น้อย
กองกำลังสังหารที่ทำให้พวกเขารู้สึกรับมือได้ยากกลุ่มหนึ่งได้ถูกท่านอ๋องจิ่วเยี่ยทำลายล้างจนหมดสิ้นไปทั้งอย่างนั้น ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขาตื่นตกใจเป็นอย่างมาก จนหลังของพวกเขามีเหงื่อเย็นผุดออกมาเต็มไปหมด
จิตสังหารนั้นน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน และตอนนี้กองกำลังสังหารเหล่านั้นก็ได้ถูกจัดการไปทั้งหมดแล้ว
พวกเขากลัวจริง ๆ ว่าต่อไปพวกเขาอาจจะกลายเป็นวิญญาณด้วยน้ำมือของท่านอ๋องจิ่วเยี่ยด้วยเช่นกัน และเมื่อถึงตอนนี้ก็คงไม่อาจปกป้องนายท่านได้อีกแล้ว
แต่ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับจิตสังหารที่กระหายเลือดเช่นนั้น มู่เฉียนซีกลับเดินเข้าไปหาเขาอย่างนิ่งสงบมาก “มู่…”
พวกเขาอยากจะร้องเรียก แต่กลับไม่กล้าที่จะเสียงดังมากเกินไปนัก เพราะหากพวกเขาทำให้ท่านอ๋องจิ่วเยี่ยโกรธเคือง คงจะต้องประสบกับหายนะอย่างแน่นอน
“แม่หนู! มานี่!” ในเวลานี้ ม่านของรถม้าได้ถูกเปิดออก และเขาที่มีเหงื่อผุดออกมาเต็มหน้าผาก ก็ตะโกนออกไปอย่างสุดกำลัง
คอของเขาในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บ จนมีความเสี่ยงที่อาจจะกลายเป็นใบ้ได้
มู่เฉียนซีหันหน้ากลับมากล่าวว่า “ท่านไม่ต้องเป็นกังวล! ไม่เป็นอะไรหรอก”
“อะไรที่เรียกว่าไม่ต้องเป็นกังวลกัน เจ้าไม่รู้หรือว่าตอนนี้เขาน่ากลัวมากแค่ไหน? พลังคำสาปสูญเสียการควบคุมไปแล้ว หากเขาไม่ระวัง เจ้าอาจจะกลายเป็นเถ้ากระดูกไปเลยก็ได้นะ” เขากล่าวอย่างเป็นกังวล
มู่เฉียนซีมองไปทางเขาพลางกล่าวว่า “ข้าเคยเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้มาแล้ว และจิ่วเยี่ยก็ไม่เคยทำร้ายข้าจนเป็นอันตรายถึงชีวิตจริง ๆ เลยสักครั้ง”
มู่เฉียนซีรู้ดีว่าทางด้านของจิ่วเยี่ยรอไม่ได้อีกแล้ว ฉะนั้นจึงได้พุ่งตรงเข้าไป และกระโจนเข้าหาจิ่วเยี่ยที่กำลังต้องการจะลงมือทำลายล้างคนที่กำลังพูดอยู่ผู้นั้น
“เจ้าเด็กโง่นี่!” สายตาที่เป็นห่วงของเขาจ้องมองไปยังทางที่มู่เฉียนซีจากไป
มู่เฉียนซีกอดคอของเขาเอาไว้ ส่วนจิ่วเยี่ยก็ไม่ได้สลัดนางออกไปแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่ได้ใช้พลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้มู่เฉียนซีหายไปอีกด้วย แต่กลับโลภความอบอุ่มที่อยู่บนตัวของนางมากกว่า
ก่อนมู่เฉียนซีจะปิดริมฝีปากที่สมบูรณ์แบบของเขา นางได้กล่าวว่า “จิ่วเยี่ย คราวนี้เจ้าก็อย่าพ่ายแพ้ให้กับคำสาปสารเลวนั่น! ข้าได้รับคัมภีร์หมื่นคำสาปมาแล้ว พวกเราไม่ต้องกลัวมันอีกแล้วล่ะ”
ในที่สุดจิ่วเยี่ยถูกมู่เฉียนซีทำให้สงบลงได้แล้ว อีกทั้งยังมอบยาให้กับจิ่วเยี่ยได้สำเร็จแล้วด้วย นางทั้งต้องจุมพิตไปด้วยและฝังเข็มให้เขาไปด้วย แต่จิ่วเยี่ยก็ไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นเปลวเพลิงก็ระเบิดออกมา มันไม่ได้โจมตีใส่จิ่วเยี่ย แต่กลับจัดการกับกลิ่นคราวเลือดของซากศพ เพื่อไม่ให้กลิ่นเลือดนั้นมากระตุ้นจิ่วเยี่ยอีก
ท่ามกลางเปลวเพลิงที่กำลังแผดเผา พวกเขาทั้งสองก็ยังคงไม่ได้แยกออกจากกัน
เมื่อจิ่วเยี่ยสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ดวงตาที่กระหายเลือดอย่างบ้าคลั่งนั้นในที่สุดก็เปลี่ยนกลับมาเป็นปกติได้แล้ว และปลายนิ้วของเขาก็ลากไปบนริมฝีปากที่ถูกเขากัดพลางกล่าวว่า “ทำให้ซีต้องเป็นกังวลแล้ว”
“โชคดีที่การตอบสนองของเจ้ารวดเร็วจนคว้าตัวเจ้าหมอนั่นออกมาได้ มิเช่นนั้นสถานการณ์คงจะอันตรายยิ่งขึ้นกว่านี้แล้วล่ะ” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในเวลานี้เอง อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังออกมา
“นายท่าน! นายท่าน!”
“แย่แล้ว!” สีหน้าของมู่เฉียนซีเปลี่ยนไปมากทันที ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้สถานการณ์ทางด้านของจิ่วเยี่ยสงบลงได้ แต่ตอนนี้อีกด้านหนึ่งก็ได้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาแล้ว
คำสาปของอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่าคำสาปของจิ่วเยี่ยเลย เนื่องจากว่าคำสาปของจิ่วเยี่ยทำให้มนุษย์เสียการควบคุมทั้งหมดไป ทั้งยังรู้เพียงแต่การเข่นฆ่าและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้น!
พูดได้ว่าคำสาปของจิ่วเยี่ยนั้นเป็นการทำลายผู้อื่น แต่ทว่าอีกคำสาปหนึ่งกลับเป็นการทำลายตนเอง และทุกครั้งที่คำสาประเบิดออกมาก็เท่ากับกำลังเดินไปยังประตูยมโลกก็มิปาน
มู่เฉียนซีประคองเขาขึ้นไปบนรถม้าเพื่อให้เขานอนอย่างสบายที่สุด แต่นางกลับไม่กล้าที่จะรับมือกับคำสาป ถึงนางจะเตรียมยาน้ำที่ย่อยและดูดซึมได้ง่ายแต่ก็ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
ร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่สามารถดูดซับยาลูกกลอนได้ มันจึงทำให้เหล่านักปรุงยารู้สึกกังวลมากเช่นกัน
“คนผู้นั้นล่ะ! คนที่มีพลังแห่งชีวิตผู้นั้นไปไหนเสียแล้วล่ะ?” พวกเขากล่าวถาม
“ชิงอิ่ง เขาจากไปแล้ว”
“อะไรนะ?” สีหน้าของพวกเขาซีดเผือดมากยิ่งขึ้นไปอีก
“เช่นนั้นนายท่านเขา…” ฟางเส้นสุดท้ายที่สามารถช่วยชีวิตได้ก็ไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นพวกเขาควรทำเช่นไรกันดี?
“ก่อนหน้านี้เมื่อมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น พวกท่านจัดการกันอย่างไรหรือ?”
“ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าอย่างพวกเราก็เป็นเพียงแค่ของประดับ ที่อาศัยเพียงพลังใจอันมุ่งมั่นของนายท่านถึงผ่านพ้นมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น แต่ทว่าตอนนี้สถานการณ์ของนายท่านแย่ลงเรื่อย ๆ อีกทั้งยังอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย ข้ากลัวว่าคราวนี้… ”
ไม่มีพลังวิญญาณ ไม่มีพลังทางจิตวิญญาณใด ๆ เลย แต่กลับอาศัยพลังใจอันมุ่งมั่นของตนเองในการผ่านพ้นพลังคำสาปอันน่าสะพรึงกลัวของเผ่าคำสาปที่กัดกินชีวิตของเขามาได้ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างนั้นหรือ
เขาโอบกอดความเชื่อแบบใดอยู่กันแน่ ถึงสามารถยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้?
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าหัวใจของตนเองนั้นเจ็บปวดจนไม่อาจควบคุมได้ อีกทั้งยังชื่นชมเขามากยิ่งขึ้นไปอีก
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ดูแลเขาให้ดี ข้าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
“ซี!” มู่เฉียนซีพุ่งทะยานเข้าไปในบริเวณที่ล้อมรอบไปด้วยป่า และจิ่วเยี่ยก็ตามนางไปทันที
มู่เฉียนซีกล่าวกับจิ่วเยี่ยว่า “จิ่วเยี่ย ข้าอยากที่จะคลายผนึกของคัมภีร์หมื่นคำสาป แต่ก็กลัวว่าอาจจะส่งผลกระทบกับเจ้า แต่ข้าอยากช่วยเหลือเขา ข้าอยากช่วยเขามากจริง ๆ!”
“หากปล่อยให้เขาตายไปต่อหน้าข้าจริง ๆ ขะ…ข้าก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างตื่นตระหนก
เห็นอยู่ว่าพวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานเท่าไรนัก แต่ภายในใจของนางกลับรู้สึกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางไม่อยากให้เขาต้องตายอยู่ดี!
จิ่วเยี่ยกล่าวตอบว่า “หากซีต้องการที่จะทำก็ไปทำเถิด! ก่อนหน้านี้ตอนที่มันยังไม่ถูกผนึก ข้ายังสามารถผ่านมันมาได้เลย ตอนนี้เจ้าของสิ่งนั้นเป็นของซีแล้ว ฉะนั้นปัญหาก็ไม่น่าจะใหญ่นัก หากมันกล้าทำอะไรส่งเดช ข้าจะทำให้มันหายสาปสูญไปเอง อย่างไรเสียมันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายอยู่แล้ว”
“ตกลง!” มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว
นางได้ทำการย่อยคำสาปทั้งหมดของคัมภีร์หมื่นคำสาปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังรู้ถึงวิธีการถอนคำสาปบนร่างกายของจิ่วเยี่ยแล้วด้วย และหากคัมภีร์หมื่นคำสาปอยู่ไม่สุขแล้วละก็ นางจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายมันอย่างแน่นอน
“อู๋ตี้ เสี่ยวหง เสี่ยวโม่โม่! ปกป้องข้าด้วย!” มู่เฉียนซีกล่าว
“ขอรับ! นายท่าน ท่านต้องระวังด้วย เจ้าคัมภีร์หมื่นคำสาปนั่นค่อนข้างชั่วร้ายเลยทีเดียว” อู๋ตี้กล่าว
มู่เฉียนซีได้คลายผนึกที่ยังคงมีอยู่ของคัมภีร์หมื่นคำสาปออก หลังจากนั้นพลังคำสาปอันน่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมาอย่างกะทันหัน และจิ่วเยี่ยก็ได้แต่กำหมัดเอาไว้แน่น เพื่อตรึงพลังคำสาปที่ไม่อาจควบคุมได้นั้นเอาไว้
“นายท่าน! นายท่าน...” และสถานการณ์ของทางด้านนี้ยิ่งเลวร้ายมากกว่าเดิม
“เจ้าเป็นคนเริ่มปลุกข้าขึ้นมาเองหรือนี่ ข้าคิดว่าเจ้าจะหลีกเลี่ยงข้าอย่างโหดร้ายเสียอีก” เสียงของคัมภีร์หมื่นคำสาปดังออกมา
พลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์ และพลังจิตวิญญาณเช่นนี้ก็ทำให้คัมภีร์หมื่นคำสาปรู้สึกปวดหัวมาเช่นกัน
มันกล่าวว่า “ทันทีที่ข้าตื่นขึ้นมา เจ้าก็วางอำนาจบาตรใหญ่ใส่ข้าเลยหรือ ช่างไร้เหตุผลเสียจริง ๆ ที่มารังแกข้าเช่นนี้ ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะกล้ารังแกมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เหล่านั้นเลย นี่เจ้ากำลังเลือกปฏิบัติกับข้าสินะ”
“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว ทางนั้นมีคนโดนวิชาคำสาปอยู่ เจ้ารู้สึกได้หรือไม่?” มู่เฉียนซีถามอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้ามนุษย์นั้นแปลกประหลาดจริง ๆ เป็นขนาดนั้นแล้วยังไม่ตายอีก มันจะแปลกเกินไปหน่อยแล้ว นอกจากนี้วิชาคำสาปนั้นเป็นเพียงวิชาคำสาปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง หากเจ้าต้องการจะแก้ก็น่าจะไม่ยากนี่นา! ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นเจ้านายของข้า แม้แต่คำสาปเล็กน้อยแค่นี้เจ้าก็ไม่สามารถถอนได้อย่างนั้นหรือ”
มู่เฉียนซีกล่าวถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากสามารถถอนได้ ข้าก็คงถอนคำสาปนั้นไปนานแล้ว เพราะพลังที่อยู่ภายในร่างกายของเขาขัดขวางข้าเอาไว้ หากข้าเริ่มถอนคำสาปก็จะถูกมันสะท้อนกลับ! ข้าไม่กลัวการสะท้อนกลับของพลังนั้นหรอก แต่ร่างกายเขาไม่อาจทนรับมันไหว! ฉะนั้นเจ้าพอมีหนทางอื่นอีกหรือไม่?”