ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2337 ต้องการให้นางเสียเลือด
ทั้งพวกของจื่อโยวและซิงเฉินต่างก็พากันวิ่งเข้ามากันหมด แต่กลับถูกพลังคำสาปแห่งความมืดโจมตีจนลอยกระเด็นออกไป
พลังนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวมากจริง ๆ เดิมทีพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเข้าใกล้ได้อยู่แล้ว
จื่อโยวผงะไปครู่หนึ่ง “เหตุใดถึงเร็วขนาดนี้ คนงามนาง…”
ถึงสถานการณ์คราวนี้ดูเหมือนว่าจะไม่อันตรายเท่าตอนที่ต้นไม้ปีศาจแห่งความตายออกมาก่อการจลาจลครั้งนั้น แต่ทว่าไม่มีไม้เทพแห่งชีวิตคอยช่วยเหลืออีกเป็นครั้งที่สองแล้ว ฉะนั้นในสถ ถานการณ์เช่นนี้คนงามจะควบคุมมันได้อย่างไรล่ะ?
ตอนนี้คนงามคงจะไม่ได้ถูกเยี่ยเคี้ยวเล่นจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแล้วหรอกนะ!
จื่อโยวกล่าวว่า “รีบไปเชิญท่านอู๋หยามา เร็วเข้า!”
หากคนงามไม่มีหนทางแล้วละก็ เขาก็ทำได้เพียงแค่หวังว่าอู๋หยาจะคิดหาหนทางออกได้
ถึงเขาจะมีส่วนที่ไม่ค่อยพอใจกับร่างทรงผู้นี้ แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธความสามารถและความรู้ของเขาได้เช่นกัน
“ขอรับ!” เป๋ยโต่วและซิงเฉินรีบไปเชิญเขามาทันที
อู๋หยาสวมชุดคลุมยาวสีขาวนวล ผมยาวของเขาเป็นสีขาวราวกับหิมะ และผิวพรรณของเขาก็ขาวซีดไร้สีเลือดเลยแม้เต่น้อย
เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และทำได้เพียงนั่งอยู่บนรถเข็นโดยให้คนอื่นเข็นมาเท่านั้น
สวรรค์นั้นมีความยุติธรรม ในฐานะที่เป็นเทพพยากรณ์คนแรก เขามีความสามารถที่แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเทพก็ไม่มี และในเวลาเดียวกันมันก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วย
ซึ่งราคาที่ต้องจ่ายนั้นก็คือร่างกายของเขานั่นเอง!
ตอนนี้เขาได้มาถึงแดนนรกที่ไม่มีพลังแห่งดวงดาวแล้ว ร่างกายของเขาก็ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ แต่เพื่อที่จะอยู่ข้างกายฝ่าบาท เขาจึงไม่เคยคิดที่จะจากไปเลย
เพราะในวันที่เขาจากไป จะต้องเป็นวันที่ฝ่าบาทบุกกลับไปยังแดนเทพเท่านั้น
จื่อโยวกล่าวว่า “อู๋หยา คำสาปของเยี่ยระเบิดขึ้นมากะทันหัน คนงามยังอยู่ข้างใน เจ้ารีบคิดหาทางเร็วเข้า”
“จื่อโยว เจ้าเข็นข้าเข้าไปหน่อย!” อู๋หยากล่าวพลางมองไปทางจื่อโยว
“ได้!”
คำสาปที่น่าสะพรึงกลัวก่อตัวขึ้นมาเป็นกำแพง และจื่อโยวก็เข็นอู๋หยาเดินเข้าไป
ทันใดนั้นแสงสว่างของดวงดาวดวงเล็ก ๆ ก็เข้าไปในกำแพงคำสาปและเปิดประตูบานนั้นออก และพวกเขาก็เดินเข้าไปได้โดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้นเอาไว้ได้
จื่อโยวมองเห็นจิ่วเยี่ยแล้ว และตอนนี้เขาก็กำลังรังแกคนงามอยู่! เขารังแกคนงามจนไม่กลัวว่าจะหนีไปเลยอย่างนั้นสินะ
เมื่อมู่เฉียนซีสังเกตเห็นแล้วว่ามีคนเข้ามาใกล้ นางเห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของจื่อโยว และยังมีคนที่ดูล่องลอยราวกับเทพเซียนแต่กลับดูป่วยอย่างเห็นได้ชัดอีกคนหนึ่งอีกด้วย
คนผู้นี้ ก็คือร่างทรงอู๋หยาคนนั้นอย่างนั้นสินะ!
พลังที่ลึกลับนั้นระเบิดออกมา และทั่วทั้งห้องก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งตอนนี้มู่เฉียนซีก็รู้สึกว่านางกับจิ่วเยี่ยในเวลานี้กำลังลอยขึ้นไปกลางอากาศก็มิปาน
จากนั้นพลังแห่งดวงดาวก็สะกดพลังแห่งคำสาปแห่งความมืดให้กลับเข้าไปในร่างกายของจิ่วเยี่ยทีละน้อย แต่ทว่าจิ่วเยี่ยกลับกอดมู่เฉียนซีเอาไว้ และโจมตีคนที่ขวางหูขวางตาทั้งสองค คนที่อยู่ภายในห้องนี้ให้ลอยกระเด็นออกไป
โครมมม!
จื่อโยวและอู๋หยาถูกโจมตีจนลอยละลิ่วออกมา และสีหน้าของคนที่อยู่ข้างนอกก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ซึ่งมีคนตะโกนว่า “ท่านอู๋หยา!”
“ท่านอู๋หยาระวังขอรับ!”
จื่อโยวเองก็ได้รับบาดเจ็บภายในเช่นกัน ตอนนี้เขาก็น่าเวทนามากเหมือนกันนะ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าพวกเหลือขอเหล่านี้จะไม่สนใจเขาเลย! บัดซบเอ้ย!
จื่อโยวคาดว่าสิ่งที่อู๋หยาไม่น่าพอใจเล็กน้อยก็คือ การที่อู๋หยาผู้นี้ดูเป็นคนดี และร่างกายก็อ่อนแอ ซึ่งมันก็ทำให้คนอื่นสงสารเป็นพิเศษ!
จิ่วเยี่ยตกอยู่ในอาการไม่ได้สติ มู่เฉียนซีเคยตรวจสอบมาก่อน ร่างกายของจิ่วเยี่ยไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเลย
นางนึกถึงวิธีการใช้พลังแห่งดวงดาวที่อู๋หยาเคยใช้ก่อนหน้านี้ สมกับที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเผ่าเทพ ช่างแข็งแกร่งมากจริง ๆ!
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้มาเจอเขาในสถานการณ์เช่นนี้
เสื้อผ้าบนร่างกายของนางถูกจิ่วเยี่ยถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ มู่เฉียนซีจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกไป
“คารวะพระชายา!”
“คารวะพระชายา!”
คนอื่นต่างโค้งคำนับนาง มีเพียงจื่อโยวและอู๋หยาที่ไม่ทำการใด ๆ เลย
มู่เฉียนซีมองไปทางอู๋หยาพลางกล่าวว่า “วันนี้ที่คำสาปของจิ่วเยี่ยปะทุขึ้นมา ข้าต้องขอบคุณท่านอู๋หยาที่ช่วยออกโรง ขอบคุณท่านมากจริง ๆ”
ผู้หญิงตรงหน้าทำตัวนิ่งสงบมาก อีกทั้งยังให้บรรยากาศที่ดูสูงส่ง และพูดจาด้วยความเหมาะสมอีกด้วย ราวกับว่านางคือนายหญิงของพระราชวังแห่งนี้อย่างไรอย่างนั้น
แววตาของอู๋หยามืดมนลงทันที เขากล่าวว่า “ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว นี่คือเรื่องที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก แต่ทว่า สถานการณ์ของฝ่าบาทยังไม่ดีขึ้นอย ย่างสมบูรณ์!”
“อะไรนะ?” สีหน้าของมู่เฉียนซีเปลี่ยนไปทันที
อู๋หยากล่าวว่า “ตอนนี้พลังแห่งชีวิตที่สะกดพลังคำสาปในร่างกายของฝ่าบาทมีไม่เพียงพอ ฉะนั้นข้าจึงต้องการใช่เลือดของท่านมาทำผนึกใหม่ได้หรือไม่?”
มู่เฉียนซีมองไปทางอู๋หยาแล้วกล่าวว่า “ต้องใช้เลือดทั้งหมดเท่าไร?”
“เก้าถ้วย!”
“อะไรนะ?” จื่อโยวผงะไปทันที
อย่าว่าแต่เก้าถ้วยเลย แม้จะเป็นเพียงแค่ถ้วยเล็ก ๆ หนึ่งถ้วยจิ่วเยี่ยก็ปวดใจจะตายแล้ว เขาจึงกล่าวว่า “เอาเลือดของคนอื่นไม่ได้อย่างนั้นหรือ? จะใช้เลือดของคนงามไม่ได้”
อู๋หยากล่าวตอบว่า “หากเจ้าสามารถตามหาคนที่เข้าใจเส้นทางแห่งชีวิตคนอื่นได้ก็สามารถทำได้เช่นกัน”
บนโลกใบนี้จะมีคนที่มีจิตวิญญาณของเส้นทางแห่งชีวิตกี่คนกัน? แต่พวกเขาคงไม่มีหนทางในการหาคนที่สองได้ในเวลาอันสั่นอย่างแน่นอน
“จื่อโยว ฝ่าบาทเป็นเจ้านายของเจ้านะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าอยากจะรักหยกถนอมบุปผาหรอกนะ สิ่งสำคัญที่สุดคือการช่วยฝ่าบาทต่างหาก” อู๋หยากล่าวอย่างนิ่งสงบ
ดวงตาที่ราวกับคนตายคู่นั้นของเขาจ้องมองไปที่มู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “หากเจ้ากลัวละก็ จะไปตอนนี้เลยก็ได้ ท่านเองก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่าหลังจากที่คำสาปของฝ่าบาทระเบิดขึ้น คน นที่ตกอยู่ในอันตรายมากที่สุดก็คือท่าน”
มู่เฉียนซีตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “กลัวรึ! ไม่มีวันหรอก นับตั้งแต่ที่ข้าเลือกรักษาจิ่วเยี่ย ข้าก็ไม่เคยกลัวอาการป่วยของจิ่วเยี่ยอีกเลย หากข้ากลัวข้าก็คงไม่มาที่แดนนรกห หรอก อยากได้เลือดก็ได้ ข้าจะให้!”
สิ่งที่อู๋หยาใช้น่าจะเป็นผนึกของเผ่าเทพ ซึ่งนางไม่เข้าใจมันเลยแม้แต่น้อย แต่นางรู้ว่านางไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ถึงอู๋หยาจะมีนิสัยที่แปลกประหลาด แต่เขากลับมีความภักดีต่อจิ่วเยี่ย และไม่มีทางทำเรื่องที่เป็นอันตรายต่อจิ่วเยี่ยแน่นอน
“คนงาม…เยี่ยจะต้องคลั่งแน่เลย!” ทั่วทั้งแดนนรก คนอื่น ๆ ไม่เข้าใจความรู้สึกที่จิ่วเยี่ยมีต่อมู่เฉียนซี
แต่อาจารย์ที่แนะนำให้จิ่วเยี่ยตามจีบมู่เฉียนซีมาเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานอย่างจื่อโยว ย่อมเข้าใจความรู้สึกระหว่างพวกเขาเป็นอย่างมากอยู่แล้ว
“อย่ากังวลไปเลย ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”
อู๋หยาตั้งใจที่จะกลั่นแกล้งมู่เฉียนซีโดยเฉพาะ ฉะนั้นเขาจึงได้หยิบถ้วยที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษออกมา แต่แค่ถ้วยหยกธรรมดานี้ก็มีความจุมากแล้ว
เนื่องจากว่านางเสียเลือดมากเกินไป ถึงคนที่โลกนี้จะฝึกฝนจิตวิญญาณ และมีร่างกายที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่ควรที่จะเสียเลือดสด ๆ มากเกินไปอยู่ดี
ทว่ามู่เฉียนซีกลับให้เลือดนางอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังบรรจุไปเต็มถ้วยหยกอีกด้วย
หลังจากที่เสียเลือดไปแล้วก็รู้สึกแย่เป็นอย่างมาก ร่างของมู่เฉียนซีโซเซเล็กน้อย นอกจากนี้ยังรู้สึกแขนขาอ่อนแรงอีกด้วย
มู่เฉียนซีคว้าจื่อโยวเอาไว้แล้วกล่าวว่า “จื่อโยว คุ้มกันจิ่วเยี่ยเอาไว้ให้ดี อย่างปล่อยให้อู๋หยาคนนั้น…”
ก่อนที่มู่เฉียนซีจะวิงเวียนจนเกือบที่จะล้มลงไป นางก็ได้ให้พวกเสี่ยวหง อู๋ตี้และเสียวโม่โม่ออกมา พลางกล่าวว่า “ไปส่งข้าที่ห้องโถงด้านข้างหน่อย”
“นายท่าน!” เจ้าเด็กน้อยทั้งสามต่างเป็นกังวลอย่างยิ่ง
เสี่ยวโม่โม่ถลึงตาใส่อู๋หยาที่รูปร่างคล้ายกับเทพเซียนก็มิปานผู้นั้นพลางกล่าวว่า “คนเลว!”
จื่อโยวกล่าวว่า “สามารถผนึกคำสาปของจิ่วเยี่ยได้แล้วใช่หรือไม่?”
อู๋หยาพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “อื้ม!”
มู่เฉียนซีกำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องโถงด้านข้าง และหลังจากที่นางฉีดยาเข้าไปหลายเข็มในที่สุดก็รู้สึกสบายขึ้นมาบ้างแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวว่า “คุ้มกันให้ดี ข้าพักผ่อนสักหน่อยก็ ไม่เป็นไรแล้ว”
อู๋ตี้กล่าวว่า “เทพพยากรณ์คนแรกของเผ่าเทพอะไรนั่น ข้าว่าเจ้าหมอนั่นต้องไม่ใช่คนดีแน่นอน มีที่ไหนต้องการใช้เลือดมากมายขนาดนี้”
สัตว์ประหลาดทั้งสามตัวนี้ปวดใจจนจะตายอยู่แล้ว มู่เฉียนซีกล่าวว่า “หากมันได้ผลแล้วละก็ ก็ให้เขาไปเถอะ แค่เสียเลือดมากเกินไปหน่อยทำอะไรหมอปีศาจอย่างข้าไม่ได้หรอก”
“การระเบิดของคำสาปคราวนี้มันไม่มีการเตือนล่วงหน้าเกินไปหน่อย หากข้าไม่ทันสังเกตเห็นก็ไม่เท่าไรหรอก แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่จิ่วเยี่ยก็ไม่ทันสังเกตเห็นเช่นนี้ หรือว่ารูปแบบผน นึกของพลังแห่งความตายและพลังแห่งชีวิตปิดกั้นการรับรู้พลังแห่งคำสาปของจิ่วเยี่ยอย่างนั้นหรือ”