ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2342 จะอยู่ต่อให้ได้
“ในเมื่อเจ้าบอกว่ามีประโยชน์ เช่นนั้นย่อมต้องเก็บเอาไว้ แม้ว่าความจริงแล้วอยากที่จะทำลายทิ้งไปเสีย แต่ก็ไม่อยากให้เจ้าต้องมาลงมือเอง และเพื่อประสบการณ์ในแดนนรกของข้า จะให้ขาดคนเช่นนี้ไปได้อย่างไร” มุมปากของมู่เฉียนซียกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
จื่อโยวผงะไปครู่หนึ่ง พลางกล่าวว่า “คนงามนี่เจ้ากำลังจะใช้พวกเขาเพื่อสร้างแรงกดดันให้ตนเองอย่างนั้นหรือ!”
“ใช่แล้ว!”
“ไปกันเถอะ! กลับไปเยี่ยมจิ่วเยี่ยกัน” มู่เฉียนซีกล่าว
ตอนนี้จิ่วเยี่ยยังไม่ตื่นขึ้นมา มู่เฉียนซีจึงกล่าวกับจื่อโยวว่า “ข้าคิดว่าหลังจากที่จัดการปัญหาที่เข้ามาไม่หยุดหย่อนนี้เรียบร้อยแล้ว จิ่วเยี่ยก็น่าจะฟื้นขึ้นมา”
จื่อโยวกล่าวว่า “คนงาม ความหมายของเจ้าคือ?”
“มีคนฉวยโอกาสตอนที่จิ่วเยี่ยไม่ได้สติบีบบังคับให้ข้าจากไป แต่ทว่ายิ่งต้องการให้ข้าจากไปมากเท่าไร ข้าก็จะไม่มีทางจากไปอย่างแน่นอน” มู่เฉียนซีกล่าว
มู่เฉียนซีรีบฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จื่อโยวได้บอกข้อมูลและความสามารถบางอย่างของหลานชายของเจ้าราชทินนามเฮยเทียนผู้นั้นกับมู่เฉียนซี และเวลาที่ต้องประลองกันก็มาถึงอย่างรวด ดเร็ว
นอกจากเหล่าราชทินนามที่อยู่ในตำหนักราตรีเมื่อเช้านี้เหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็ได้ลากราชทินนามคนอื่น ๆ มาดูการแสดงดี ๆ นี้ร่วมกันอีกด้วย
และข่าวนี้ ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองเทพสังหารอย่างรวดเร็ว
มีข่าวลือที่ว่าคู่หมั้นของท่านอ๋องจิ่วเยี่ยนั้น แม้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามจนน่าทึ่งก็ตาม แต่ความสามารถของนางกลับอ่อนแอเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ยังห่างจากระดับเจ้าครองดินแดนมากอีกด้วย ซึ่งนางก็เหมือนกับแจกันดอกไม้ที่นายท่านจำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี!
เป็นเพียงแจกันที่เปราะบางเช่นนี้ ท่านอ๋องจิ่วเยี่ยของพวกเขาเป็นบุคคลระดับใดกัน คิดไม่ถึงว่าจะมีพระชายาที่ไม่สามารถปกป้องตนเองในคุกโลหิตแห่งนี้ได้ แล้วคนที่มีความสามารถ ถเช่นนี้จะมีคุณสมบัติอยู่ในคุกโลหิตได้อย่างไร
ความคิดเห็นประชาชนของคุกโลหิต ได้ถูกควบคุมโดยคนที่ต้องการให้มู่เฉียนซีออกไปเหล่านั้นนั่นเอง
หลานชายของราชทินนามเฮยเทียนเป็นอัจฉริยะอายุน้อยคนแรกที่กลายเป็นเจ้าครองดินแดน และตอนนี้ก็กำลังจะมาประลองกับพระชายาของพวกเขาแล้ว
หากนางจัดการแม้แต่เจ้าครองดินแดนที่อ่อนแอที่สุดไม่ได้ เช่นนั้นนางก็จำเป็นที่จะต้องออกไปจากคุกโลหิตแห่งนี้
ซึ่งคนเหล่านี้พยายามเผยแพร่ข่าวสารอย่างป่าเถื่อน เนื่องจากพวกเขากลัวว่าหลังจากที่นางพ่ายแพ้แล้วจะไม่ยอมรับและอาศัยความโปรดปรานของท่านอ่องจิ่วเยี่ยนั่นเอง
ตอนนี้มีผู้คนมากมายล่วงรู้ข่าวนี้แล้ว ฉะนั้นเมื่อถึงตอนนั้นย่อมต้องไม่มีหน้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และจากไปอย่างเชื่อฟังแน่นอน
ภายในแววตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายเย็นยะเยือกออกมา “พวกเขาต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายนี้และต้องการหลักฐานอีกด้วย ซึ่งหลักฐานก็คือความพ่ายแพ้ของข้า แต่คนที่วางแผนทั้งหมดนี้ไ ไม่ธรรมดาเลย!”
เวลาใกล้จะถึงแล้ว แต่ทว่ามู่เฉียนซีก็ยังคงมาไม่ถึงเลย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนมากมายเริ่มพูดคุยกันขึ้นมาว่า “พระชายาคงจะไม่ชิ่งหนีไปหรอกนะ ไม่กล้ามาอย่างนั้นหรือ!?”
“หากหวาดกลัวการท้าทาย เช่นนั้นการมีอยู่ของผู้หญิงคนนั้นจะต้องทำให้นายท่านผู้ไร้พ่ายของพวกเราเสื่อมเสียเป็นแน่”
“……”
ตอนนี้มู่เฉียนซีกำลังอยู่เป็นเพื่อนจิ่วเยี่ย นางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หากข้ารู้ว่าอู๋หยาจงใจทำให้เจ้าไม่ตื่นขึ้นมา ข้าไม่สนใจหรอกนะ ว่าเขาจะเป็นร่างทรงอันดับหนึ่งของเผ่า าเทพอะไรนั่นหรือไม่? แต่ข้าจะไม่ปล่อยเขาไปแน่นอน!”
ดูเหมือนว่าจิ่วเยี่ยจะไม่สามารถตื่นขึ้นมาตอนนี้ได้แล้ว มู่เฉียนซีจึงกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะพลาดการประลองกับเจ้าครองดินแดนครั้งแรกในคุกโลหิตของข้าเสียแล้วล่ะ”
ร่างสีม่วงสว่างวาบขึ้น และมู่เฉียนซีก็หายไปจากตรงนั้นทันที
ร่างที่คุ้นเคยพุ่งทะยานเข้ามา ทุกคนต่างกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “เป็นพระชายานี่เอง พระชายามาแล้ว”
มู่เฉียนซีพุ่งตรงขึ้นไปยังสนามประลอง จากนั้นก็มองไปที่คนเหล่านั้นอย่างยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “ทุกท่านช่างให้เกียรติข้าจริง ๆ มันก็แค่การประลองเล็ก ๆ เท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว ว่าจะมีคนมาดูมากมายเช่นนี้”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว พระชายาเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่นายท่านชื่นชอบนี่ขอรับ” ราชทินนามเฮยเทียนกล่าวอย่างชมเชย
“ให้คู่ต่อสู้ในวันนี้ของข้าขึ้นมาเถอะ!” มู่เฉียนซีกล่าว
ร่างเงาสีดำร่างหนึ่งร่อนลงมาบนสนามประลอง เขาจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ท่านปู่พูดถูกแล้วจริง ๆ พระชายาผู้นี้เป็นสาวงามที่พบเจอได้ยากยิ่งจริง ๆ ด้วย
หากไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของนายท่าน เขาจะต้องหาทางเอานางมาเป็นของตัวเองให้ได้อย่างแน่นอน
แต่ในเมื่อเป็นที่ชื่นชอบของนายท่านแล้ว หากไม่ได้เป็นของนายท่านเพียงผู้เดียว ก็มีแต่ต้องถูกทำลายไปเท่านั้น ฉะนั้นนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต้องการได้เลย
เขากล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “พระชายา ท่านวางใจเถอะขอรับ ข้ามักจะถนอมสาวงามอยู่แล้ว และข้าก็ไม่โหดร้ายต่อสาวงามอีกด้วย ฉะนั้นท่านอย่าได้หวาดกลัวไปเลย”
เมื่อจื่อโยวได้ฟังคำพูดของเขาแล้ว สีหน้าของเขาก็เย็นชาขึ้นทันที
ไอ้หนูนี่ช่างแกว่งเท้าหาเสี้ยนยิ่งนัก
สีหน้าของมู่เฉียนซีนิ่งสงบเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “ตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าข้ากลัวกันแน่ หากตาไม่ดีก็ไปรักษาเสียเถอะ มีฐานะเป็นถึงหลานชายของราชทินนาม มเฮยเทียน ไม่น่าจะไม่มีเงินไปรักษาหรอกใช่หรือไม่?”
เฮยเฟิงยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวว่า “พระชายาช่างอารมณ์ขันเสียจริง ๆ”
แม้ว่าบนใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่มู่เฉียนซีกลับทำให้เขาโกรธขึ้นมาจริง ๆ แล้ว
ไม่กลัวอย่างนั้นหรือ รอก่อนเถอะ! เดี๋ยวใบหน้าที่แย้มยิ้มงดงามของเจ้าจะต้องเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาแน่นอน ซึ่งมันจะต้องงดงามมากเป็นพิเศษเลยล่ะ
เขาพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว และพลังแห่งความมืดอันน่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมา ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากที่ใหนสักแห่งบนสนามประลอง ซึ่งหลังจากนั้นก็กวาดตรงไปยังม มู่เฉียนซีที่อยู่ตรงกลางทันที
ทันทีที่เขาลงมือ ก็ไม่ได้ออมมือเลยแม้แต่น้อย
วิธีการโจมตีเช่นนี้ เขาไม่คิดที่จะปล่อยให้มู่เฉียนซีหลบหลีกไปได้ อีกทั้งยังต้องการที่จัดการมู่เฉียนซีให้ได้ภายในคราเดียวอีกด้วย
บรรยากาศที่อยู่บริเวณโดยรอบเย็นยะเยือกขึ้นมากะทันหัน มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “โล่วิญญาณน้ำแข็ง!”
แกร่ก!
“เกราะป้องกันนี่จะอ่อนแอเกินไปแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า! นี่ช่างเป็นเกราะป้องกันที่อ่อนแอที่สุดที่ข้าเคยเห็นมาเลย” และทันใดนั้นเฮยเฟิงหัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ถึงเศษน้ำแข็งจะแตกละเอียด แต่มู่เฉียนซีกลับไม่ได้กางเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่งขึ้นมาอยู่ดี “วิญญาณจันทร์สะพรั่ง!”
ปัง ปัง ปัง!
เกราะป้องกันที่แข็งเกร่งของมู่เฉียนซีความจริงแล้วไม่ใช่ทักษะวิญญาณเหล่านี้เลย แต่เป็นความสามารถของตัวนางเองต่างหาก
ปัง ปัง ปัง!
พลังแห่งความมืดนั้นพุ่งเข้าโจมตีร่างของมู่เฉียนซี และหลังจากที่ปลดปล่อยพลังอย่างหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้ร่างของมู่เฉียนซีก็ราวกับว่าถูกเย้าแหย่เล่นอย่างไรอย่างนั้นเลย
รอยยิ้มประชดประชันปรากฏขึ้นมาบนมุมปากของมู่เฉียนซี จากนั้นนางก็กล่าวอย่างเหน็บแนมว่า “การโจมตีของขยะเช่นเจ้า ก็อ่อนแอมากเหมือนกันนี่!”
เฮยเฟิงผงะไปครู่หนึ่ง คนผู้นี้มาจากแดนซวนเทียน ซึ่งดูแล้วก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงบอบบางเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการป้องกันทางกายภาพจะยอดเยี่ยมเพียงนี้
เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าประเมินท่านต่ำเกินไป เข้ามาอีกสิ!”
เขาออกกระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง พลังธาตุแห่งความมืดแผ่กระจายออกไป และมู่เฉียนซีก็สามารถหลบหลีกได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเขาก็ไล่ตามอย่างไม่ลดละ!
เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ในคราวนี้ หลานชายของราชทินนามเฮยเทียนมีข้อได้เปรียบแน่นอน
ราชทินนามเฮยเทียนกล่าวขึ้นมาอย่างมีความสุขว่า “พระชายาถูกกำหนดให้พ่ายแพ้ เนื่องจากความสามารถแตกต่างกันมากเกินไป และนางก็ไม่รู้จักประมาณตนอีกด้วย ก็เห็นอยู่ว่าความสามารถขอ องตนเองไม่เพียงพอที่จะเอาชนะได้ ยังยอมรับการประลองนี้อีก ช่างหาเรื่องใส่ตัวจริง ๆ รีบออกไปตั้งแต่แรกก็จบแล้วมิใช่หรือ?”
“ราชทินนามเฮยเทียน หลานชายของท่านคนนี้ถูกท่านอบรมสั่งสอนมาอย่างดีจริง ๆ! ฝึกฝนยังไม่ทันถึงร้อยปีแต่ก็มีความสามารถถึงขนาดนี้แล้ว ไม่เลวเลย ไม่เลว!”
“อย่างไรเสียก็เป็นหญิงสาวที่นายท่านชื่นชอบ หากนางยอมแพ้ไปโดยเร็วก็คงดี จะได้หลีกเลี่ยงการได้รับบาดเจ็บจนทำให้พวกเราต้องมารู้สึกไม่ดี!”
พวกเขารู้สึกไม่มีความสงสัยในการประลองครั้งนี้อีกแล้ว
มู่เฉียนซีเองก็เข้าใจความสามารถของระดับเจ้าครองดินแดนแล้ว ถ้าเป็นคนระดับที่ต่ำกว่าเจ้าครองดินแดนนางสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าหากมีระดับมากกว่าเจ้าครองดินแดน นาง งก็จำเป็นที่จะต้องใช้ไผ่ต่ายเหล่านั้น
ตัวอย่างเช่น…
การโจมตีของอีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ทุกคนต่างก็รู้ว่าหากการโจมตีคราวนี้โดนร่างของมู่เฉียนซีเข้า ไม่ว่ามู่เฉียนซีจะมีความสามารถในการป้องกันทางกายภาพสูงเพียงใด ก็จะต้อง ได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน!
“อะแฮ่ม! เฮยเฟิง อย่างไรเสียนางก็คือพระชายานะ เจ้าลงมือได้โหดร้ายเกินไป เจ้าจะทำให้เกินไปแล้ว!” ราชทินนามเฮยเทียนเห็นว่าชัยชนะของหลานชายตนเองอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น จึงกล่า าวขึ้นมาอย่างเสแสร้ง