ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2361 มาหาซีแล้ว
ในเมื่อท่านอ๋องจิ่วเยี่ยอยากที่จะไปดูคู่หมั้นของตนเอง ก็รีบตรงไปทันที นอกจากนี้ยังไปโดยไม่ได้ใช้ความสามารถของสุ่ยจิงอิ๋งอีกด้วย
เพราะอย่างไรเสียตอนนี้มู่เฉียนซีก็อยู่ในแดนนรก และไม่ได้อยู่ในสถานที่อื่น ฉะนั้นเขาจึงสามารถไปถึงนางได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่จิ่วเยี่ยมาถึงเมืองหนามโลหิตแล้ว ก็ค้นพบว่าพืชกลายพันธุ์ที่ดุร้ายอยู่ร่วมกันกับมนุษย์อย่างสงบสุขภายในเมืองแห่งนี้อย่างไม่คาดคิด และขอเพียงรดน้ำให้พวกมันตามเวลา ก็ได้แล้ว
และยาน้ำที่รดให้กับพืชกลายพันธุ์เหล่านั้น จิ่วเยี่ยต้องค้นพบกลิ่นอายที่คุ้นเคยแน่นอนอยู่แล้ว เพราะมันคือยาน้ำที่ซีกลั่นออกมานั่นเอง
เมื่อคิดไปถึงตอนที่ครั้งหนึ่งซีเคยรดน้ำไม้เทพแห่งชีวิตที่กำลังจะเหี่ยวเฉาตาย จิ่วเยี่ยจึงไม่แปลกใจเลยเมื่อเห็นว่านางใช้ยาน้ำรดพืชกลายพันธุ์เช่นกัน
เมืองแห่งนี้ได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี และสิ่งปลูกสร้างที่สูงตระหง่านที่สุดเมื่อมองจากระยะไกลก็คือหอหมอปีศาจที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างนั่นเอง
จิ่วเยี่ยไม่ได้เปิดเผยกลิ่นอายออกมา และเขาก็เดินเข้าไปภายในเมืองที่เป็นของซีแห่งนี้อย่างเชื่องช้า
เนื่องจากว่าเมืองหนามโลหิตไม่มีคนใหม่เข้ามาเลย ฉะนั้นในตอนที่มีกลิ่นอายของคนแปลกหน้าปรากฏขึ้นมาในเมือง หนามโลหิตที่อยู่ภายในเมืองเหล่านั้นจึงสามารถรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าพวกมันก็สามารถรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่ากลิ่นอายของคนผู้นี้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก และด้วยเหตุนี้มันจึงไปแจ้งกับลูกพี่ใหญ่ของพวกมันทันที!
“มีคนบุกเข้ามาในเมืองหนามโลหิตของพวกเราอย่างนั้นหรือ คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะไม่ทันสังเกตเห็นมันน่ะ”
เฉี่ยอี้รีบตรงไปที่นั่นด้วยตนเอง จากนั้นเขาก็ค้นพบร่างเงาที่ผอมเพรียวสีดำร่างหนึ่ง ซึ่งใบหน้าของคนผู้นี้ถูกปกปิดด้วยหน้ากากสีดำ และดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกคู่นั้นก็ทำให้ร รู้สึกหนาวเหน็บราวกับน้ำแข็งที่ไม่เคยละลายมานับหมื่นปีอย่างไรอย่างนั้นเลย
นี่คือผู้ชายที่อันตรายที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปยั่วยุ แม้ว่าเขาจะมีความสามารถเทียบเท่ากับใต้เท้าระดับบน แต่สัญชาตญาณของเขากลับบอกว่า เขาคงจะต้องหายไปก่อนที่จะได้ต่อสู้กับช ชายผู้นี้ถึงสามกระบวนท่าอย่างแน่นอน
และเนื่องจากว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาฆ่า ฉะนั้นถึงจะเข้าเมืองมาก็ไม่ได้ก่อความวุ่นวายใด ๆ เลย
เฉี่ยอี้รู้สึกว่าเขาควรจะไปรายงานเจ้าเมืองของพวกเขาโดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำที่บุ่มบ่ามของพวกเขาเอง และไปยั่วยุคนที่ไม่ควรจะเข้าไปยั่วยุเข้า
ส่วนมู่เฉียนซีที่เพิ่งจะจัดการยาน้ำที่กลั่นออกมาใหม่เหล่านั้นเสร็จ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูของใครบางคน
“ใครน่ะ?” มู่เฉียนซีเปิดประตูออก หลังจากนั้นก็คนพบร่างของคนที่คุ้นเคยเป็นอย่างมากคนหนึ่งยืนอยู่
ปึก!
และนางก็ถูกดึงเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนที่คุ้นเคยนั้น
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จิ่วเยี่ย เจ้ามาแล้วหรือ ยินดีต้อนรับเจ้าสู่เมืองของข้านะ”
และในตอนที่เฉี่ยอี้มาถึง ก็ค้นพบว่าท่านเจ้าเมืองของพวกเขาถูกมนุษย์คนหนึ่งจับตัวเอาไว้
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปที่หอหมอปีศาจ แล้วเหตุใดเขาถึงมาโผล่ที่จวนท่านเจ้าเมืองได้กันล่ะ?
“ปล่อยท่านเจ้าเมืองของพวกเราเดี๋ยวนี้นะ!” เฉี่ยอี้กล่าวอย่างร้อนรน
จะปล่อยให้ท่านเจ้าเมืองเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาไม่อยากมีคืนวันที่ต้องหิวโหยอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิตก็จะต้องปกป้องท่านเจ้าเมืองให้ปลอดภัยให้ได้
แต่ผลปรากฏว่าเขาถูกเมินเฉยไปอย่างสมบูรณ์ จากนั้นจิ่วเยี่ยก็มองไปทางผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าพลางกล่าวว่า “เมืองของซี นี่ดีจริง ๆ!”
เฉี่ยอี้ผงะไปครู่หนึ่ง คนผู้นี้รู้จักท่านเจ้าเมืองอย่างนั้นหรือ?
มู่เฉียนซีมองไปทางเฉี่ยอี้ที่กำลังร้อนรนพลางกล่าวว่า “นี่คือว่าที่ ‘ฮูหยิน’ ในอนาคตของพวกเจ้า อย่าเป็นกังวัลนักเลย!”
ทั้งแดนนรก คนที่กล้าหยอกล้อท่านอ๋องจิ่วเยี่ยเช่นนี้ ก็คงจะมีมู่เฉียนซีเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ใช่แล้ว! ‘ฮูหยิน’!” น้ำเสียงที่นุ่มลึกเต็มไปด้วยแรงดึงดูดดูมีความอันตรายขึ้นมาทันที
และจิ่วเยี่ยก็ไม่ค่อยพอใจคำคำนี้อย่างสิ้นเชิง หากเปลี่ยนเป็นอีกคำหนึ่งละก็ มันคงจะดีไม่น้อยเลย
เฉี่ยอี้มองตาปริบ ๆ นะ…นี่ผู้ชายของท่านเจ้าเมืองมาเยี่ยมเยือนเมืองหนามโลหิตอย่างนั้นหรือ
เฉี่ยอี้กล่าวว่า “ข้าน้อยเฉี่ยอี้ เป็นพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาว คารวะนายท่าน! ท่านเจ้าเมือง เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนขอรับ”
พวกเขากอดกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความสัมผัสที่ดีเช่นนี้ ทำให้เฉี่ยอี้ที่มีในฐานะเป็นพืชกลายพันธุ์ที่ยังโสดรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นส่วนเกิน และไม่ควรที่จะอยู่เป ป็นก้างขวางคอที่นี่อีกแล้ว
ส่วน ‘ฮูหยิน’ ของท่านเจ้าเมือง เขาก็ไม่มีความกล้าที่จะตะโกนใส่อีกแล้วเช่นกัน!
เมื่อตัวเกะกะไปแล้ว ดวงตาของจิ่วเยี่ยที่มองไปยังมู่เฉียนซียิ่งร้อนแรงมากขึ้นไปอีก
ดวงตาคู่นั้นเหมือนจะกำลังบอกว่า ไม่เจอกันมาตั้งนานขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยว่านางจะไม่แสดงอาการอะไรเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าพาเจ้าไปเยี่ยมชมเมืองของข้าสักหน่อยดีกว่า”
“ไม่!”
“เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมงานต้อนรับให้เจ้า จากนั้นค่อยแนะนำให้พลเมืองที่อยู่ในเมืองของข้าให้รู้จักเจ้า”
“สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่สิ่งเหล่านี้!”
จิ่วเยี่ยกอดนางเอาไว้แน่น จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปจุมพิตนาง
เขาไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านั้นเลย และดูเหมือนว่าจะมีเพียงการกระทำที่ตรงไปตรงมา ที่จะสามารถทำให้ซีเข้าใจความคิดของเขาได้
จูบของเขาได้ดูดเอาอากาศออกไปจากนางจนหมด มู่เฉียนซีถูกเขากอดอย่างแนบแน่น และดูเหมือนว่ากำลังจะถูกจิ่วเยี่ยทำให้หลอมละลายเข้าไปในเลือดเนื้อของเขาก็มิปาน ซึ่งตอนนี้ทั้งสอง ก็กอดกันแน่นจนไม่เหลือช่องว่างอยู่เลย
ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะแยกจากกันได้ไม่นาน แต่ทำราวกับว่าแยกกันมาหลายปีแล้วอย่างไรอย่างนั้นเลย
เมื่อผู้ชายของตนเองมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ท่านเจ้าเมืองที่ขยันกลั่นยาของพวกเขาก็หยุดงานทันที
ในฐานะเจ้าเมืองของเมืองหนามโลหิต แม้ว่านางจะโกรธท่านอ๋องผู้นี้ที่มาลวนลามนางอย่างเปิดเผย แต่ก็ยังคงทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขากินด้วยตนเองอยู่ดี
จิ่วเยี่ยได้ดึงมู่เฉียนซีเข้ามาในอ้อมกอดพลางกล่าวว่า “ในเมื่อซีทำอาหารแล้ว เช่นนั้นข้าจะป้อนเจ้าเอง…”
ใบหน้าของมู่เฉียนซีแดงระเรื่อขึ้นมาทันที “ข้ากินเองได้!”
“แต่ข้าอยากทำเช่นนี้นี่!”
อย่างไรเสียตั้งแต่ท่านอ๋องจิ่วเยี่ยมาถึง ทั้งสองก็เริ่มแสดงความรักในที่สาธารณะกันไม่หยุดหย่อน ซึ่งความเจิดจ้านั้นทำให้ดวงตาของมนุษย์และพืชที่อยู่ในเมืองต่างมืดบอด และยังท ทำให้รู้สึกว่าเมืองที่เคยมืดมน ตอนนี้ล้วนมีฟองสบู่อยู่เต็มไปหมด
ในเวลานี้ ได้มีคนแปลกหน้าอีกคนหนึ่งมายังเมืองหนามโลหิตของพวกเขา
แต่ความสามารถของคนแปลกหน้าผู้นี้ไม่น่ากลัวเท่ากับผู้ชายของท่านเจ้าเมืองของพวกเขาแม้แต่น้อย และเพื่อไม่ให้ไปรบกวนช่วยเวลาแห่งความรักของเขาทั้งสอง
เฉี่ยอี้จึงคิดว่าจะไม่ไปรายงานท่านเจ้าเมือง และมอบหน้าที่ให้เฉี่ยเอ้อร์กับเฉี่ยซานเป็นคนลงมือทันที
จื่อโยวมาเพื่อจับเจ้านายที่โดดงานมาของเขา แต่ทว่าทันทีที่เข้าใกล้เมืองหนามโลหิต เขากลับถูกหนามโลหิตจำนวนมากเหล่านั้นโจมตี
เจ้าพวกนี้เป็นเพียงหนามโลหิตระดับต่ำเท่านั้น ฉะนั้นจะสามารถขวางทางเขาได้อย่างไร?
จื่อโยวเดินเข้ามาในเมืองได้อย่างง่ายดาย แต่สุดท้ายก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังจะเข้ามา
พรวด!
การโจมตีของหนามโลหิตที่แข็งแกร่งราวกับเหล็กก็มิปานพุ่งทะยานเข้ามา!
เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว!
จากนั้นหนามที่แหลมคมก็ร่วงลงมาจากอากาศราวกับห่าฝนก็มิปาน
จื่อโยวเองก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน และเขาก็สามารถหลบการโจมตีที่รุนแรงทั้งหมดนั้นได้ ซึ่งเขาก็ค้นพบแล้วว่าศัตรูคือใคร?
ซึ่งมันก็คือคนที่มีผมและดวงตาสีแดงทั้งสามคนนั้น!
ไม่ควรจะเรียกว่าพวกเขาคือมนุษย์ เพราะพวกเขาคือพืชกลายพันธุ์ อีกทั้งยังเป็นพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดที่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อีกด้วย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก จริง ๆ
จื่อโยวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้าถอยออกไปเดี๋ยวนี้”
เฉี่ยอี้กล่าวว่า “ไม่มีทางหรอก!”
“เช่นนั้นก็มาสู้กันสักยกเถอะ! หากพวกเจ้าคือพืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะข้าก็คงจะกลัวอยู่หรอก แต่นี่แค่ระดับเจ็ดเท่านั้น! คิดว่าข้าจะสู้พวกเจ้าไม่ได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
ตูมมม โครมมม!
และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งสี่คนต่อสู้กันขึ้นมาทันที
จื่อโยวเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ไม่ใช่ว่าคนงามสร้างเมืองได้สำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ? เหตุใดเจ้าสิ่งอันตรายที่อยู่ในเมืองเหล่านี้ยังไม่ถูกกำจัดอีก
จากนั้นการต่อสู้ครั้งใหญ่ก็ปะทุขึ้นในเมือง และเจ้าเมืองอย่างมู่เฉียนซีก็ต้องสังเกตเห็นมันแน่นอนอยู่แล้ว ในตอนที่มู่เฉียนซีกำลังจะไปดู ก็ถูกจิ่วเยี่ยดึงเข้ามาในอ้อมแขนเสีย ก่อน
เขากล่าวว่า “ไม่ต้องสนใจหรอก”
“มีคนมาสร้างความวุ่นวายในเมืองของข้า แล้วจะให้ข้าไม่สนใจได้อย่างไร?” มู่เฉียนซีกล่าว
หลังจากนั้นจิ่วเยี่ยก็กล่าวขึ้นมาว่า “เป็นจื่อโยว”
“จื่อโยวมาแล้วอย่างนั้นหรือ!” ดูเหมือนว่าจื่อโยวจะมาแล้ว นอกจากนี้ยังปะทะกับพวกของเฉี่ยอี้อีกด้วย
“ปล่อยให้จื่อโยวฝึกฝนความสามารถกับลูกน้องของซีหน่อยเถอะ ยังไม่ต้องไปสนใจตอนนี้หรอก”
แล้วพวกเขาควรจะทำเช่นไรล่ะ?
หากจื่อโยวรู้ว่าจิ่วเยี่ยรู้ถึงการมาถึงของเขาแต่กลับไม่สนใจ คาดว่าเขาน่าจะต้องโศกเศร้ามากอย่างแน่นอน
แต่ทว่าการต่อสู้นั้นกลับยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และมู่เฉียนซีก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาทำลายเมืองได้อีกต่อไปแล้ว
นางดึงจิ่วเยี่ยพลางกล่าวว่า “นี่คือเมืองของข้า แล้วเจ้าจะให้ข้าใจเย็นอยู่ได้อย่างไร ข้าจำเป็นต้องไปหยุดพวกจอมทำลายล้างนั่น”