ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2369 ทัพใหญ่ใกล้เข้ามา
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว เจ้าไปทำตามความต้องการของข้าก็พอแล้ว”
โม่อูกล่าวตอบกลับด้วยความเคารพว่า “ขอรับ! ข้าน้อยพูดมากเกินไปแล้ว”
มู่เฉียนซีได้ยื่นคำขาดไปให้กับเมืองที่ไร้เจ้าเมืองต่าง ๆ ในเขตต้องห้ามใต้สุดอย่างหยิ่งผยอง และมันก็ทำให้เมืองต่าง ๆ ทั่วทั้งเขตต้องห้ามใต้สุดไม่สงบอีกต่อไปแล้ว
เหล่าเจ้าเมืองของเมืองที่มีเจ้าเมืองอยู่แล้วก็เตรียมตัวที่จะดูการแสดงดี ๆ เช่นกัน “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีบุคคลที่กล้าหาญเช่นนี้มายังเขตต้องห้ามใต้สุดแห่งนี้ด้วย นางคิดที่จะก กลืนกินเข้าไปมากมายภายในพริบตาแบบนี้ ไม่กลัวสำลักตายบ้างหรืออย่างไรกัน”
“ข้าได้ยินข่าวมาว่าเจ้าเมืองผู้นั้นมาจากเมืองเทพสังหาร คนที่มาจากคุกโลหิตย่อมไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าคนของเขตต้องห้ามนั้นอันตรายมากเพียงใด”
สีหน้าเจ้าเมืองของเมืองไร้เจ้าเมืองที่ได้มาโดยมิชอบเหล่านั้นเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ “ได้ยินมาว่าเป็นเพียงสาวน้อยที่อายุน้อยมากคนหนึ่งเท่านั้น นางนี่ช่างเป็นเหมือนลูกวัวเพ พิ่งเกิดที่ไม่กลัวเสือเสียจริง ๆ!”
“คิดจริง ๆ หรือว่าหากสามารถจัดการเมืองทั้งสามเมืองแล้วจะมาท้าทายพวกเราได้น่ะ นางช่างไร้เดียงสาเสียจริง ๆ”
เรื่องที่มู่เฉียนซีสามารถจัดการเมืองทั้งสามเมืองได้ไม่ใช่เรื่องโกหก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าโจมตีมู่เฉียนซีอย่างบุ่มบ่ามเพียงลำพัง และมันก็ทำให้เหล่าผู้มีอิทธิพลของเมืองไร้เจ้ าเมืองทั้งยี่สิบกว่าเมืองจึงตัดสินใจที่จะร่วมมือกัน เพื่อกำจัดคนหยิ่งผยองที่มาจากภายนอกผู้นี้ด้วยกัน
“การที่พวกเราร่วมมือกันนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว! ได้ยินมาว่านางได้โยนคนทุกคนที่พ่ายแพ้ไปตายที่เมืองหนามโลหิต นั่นคือเมืองหนามโลหิตเชียวนะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่น่าสะพรึ งกลัวมากที่สุดในเขตต้องห้ามแห่งนี้แล้ว ฉะนั้นพวกเราจะแพ้ไม่ได้!”
“ใช่แล้ว! เจ้าพูดถูกต้อง และเพื่อรักษาผลประโยชน์เอาไว้ให้ได้ พวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องหายอดฝีมือระดับราชทินนามมารักษาการณ์เสีย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีให้เวลาพวกเขาเป็นเวลาสามวัน เพื่อให้พวกเขามีเวลาปรึกษาเรื่องการร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน และหายอดฝีมือระดับราชทินนามมาค่อยช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างเพียงพอ
เมื่อเห็นว่าเวลาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว โม่อูแห่งเมืองโม่ก็อกสั่นขวัญแขวนมากขึ้นไปอีก แต่ทว่าท่านเจ้าเมืองของเมืองโม่ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ผู้นี้ กลับยังคงนั่งดื่มชาอย่ างผ่อนคลาย ทั้งยังหยอกล้อกับแมว เล่นกับหมู และแปรงขนหงส์ของนางให้เรียบร้อนอยู่เลย
และไม่มีความรู้สึกร้อนใจที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจำนวนมากเลยแม้แต่น้อย
“ท่าน…เจ้าเมือง ท่านโม่แย่แล้วขอรับ!” ในเวลานี้ มีคนวิ่งเข้ามาในจวนเจ้าเมืองอย่างร้อนร้น
กองทัพขนาดใหญ่กำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมันก็ทำให้โม่อูตื่นตกใจเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า “มาเร็วขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรือ? กองทัพของอีกฝ่ายเป็นเช่นไรบ้าง?”
“เกือบทุกเมือง ได้ส่งกองกำลังชั้นยอดมานับหมื่นคน และตอนนี้พวกเขาก็กำลังมุ่งหน้ามาที่เมืองนี้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้…พวกเราได้ถูกล้อมเอาไว้หมดแล้วขอรับ” คนที่มาส่งข่าวก็หวา าดกลัวมากเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้โม่อูจึงไปรายงานต่อมู่เฉียนซีด้วยตัวที่สั่นเทา เขากล่าวว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมืองขอรับ ท่านไม่ควรส่งกำลังคนของเมืองโม่ทั้งหมดไปตายที่เมืองหนามโลหิตเลย! ตอนนี ทั่วทั้งเมืองโม่ ไม่เหลือคนที่มีประโยชน์อยู่แล้ว! แต่อีกฝ่ายมีกำลังพลชั้นยอดนับสองแสนคน แม้ว่าลูกน้องของท่านเจ้าเมืองจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เกรงว่ามันก็ยากที่จะรับมือกับ คนมากมายเช่นนี้ได้อยู่ดีนะขอรับ!”
ตอนนี้สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤตมากแล้ว แต่ทว่าท่านเจ้าเมืองคนใหม่ของเขากลับยังคงนิ่งสงบอย่างผิดปกติ
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เหตุใดพวกเราต้องไปต่อสู้กับกองกำลังชั้นยอดนับสองแสนคนนั้นให้วุ่นวายด้วยล่ะ? ไม่เคยได้ยินกลยุทธ์จับโจรเอาหัวโจกอย่างนั้นหรือ? ขอเพียงแค่จับเจ้าเมืองของ พวกเขาได้ ทีนี้เจ้ายังต้องกลัวกองกำลังชั้นยอดนับสองแสนคนที่รับมือได้ยากนั่นอยู่อีกหรือไม่”
“จับตัวผู้นำของพวกเขาท่ามกลางจำนวนกองกำลังนับสองแสนคน นะ…นั่นมันจะไปทำได้อย่างไรกัน?”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ไปที่กำแพงเมือง และไปเตรียมพร้อมรับมือการต่อสู้เถอะ!”
มู่เฉียนซีปรากฏตัวขึ้นบนกำแพงของเมืองโม่ จากนั้นก็มองไปยังกองกำลังชั้นยอดที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นับสองแสนคนเหล่านั้น
นางเอ่ยปากกล่าวว่า “ที่ท่านเจ้าเมืองทั้งหลายนำกองกำลังชั้นยอดมามากมายเช่นนี้ ก็เพื่อที่จะมามอบตัวต่อข้าใช่หรือไม่?”
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองไปยังสาวน้อยในชุดสีม่วงที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองผู้นั้นอย่างพร้อมเพียงกัน แม้ว่ากองกำลังใหญ่กำลังบุกประชิดพรมแดนนางก็ยังคงนิ่งสงบเป็นอย่างมากอยู่ ดี
ดวงตาที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวก็มิปานคู่นั้นกวาดมองไปยังพวกเขาอย่างนิ่งสงบ ได้ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของนาง
“เจ้าได้ยึดครองเมืองโยว เมืองเยว่ซาง และเมืองโม่ไปแล้ว แต่ยังคิดที่จะมาแย่งเป็นเจ้าเมืองของเมืองอื่น ๆ ของพวกเราอีกอย่างนั้นหรือ” มีน้ำเสียงที่ก้าวร้าวเสียงหนึ่งดังขึ้นม มา
“แย่งอะไรกัน! เมืองเหล่านี้ เดิมทีมันก็เป็นของของข้าอยู่แล้วนะ? พวกเจ้ายึดครองไปอย่างผิด ๆ ต่างหาก คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้ายังจะทำเป็นมีเหตุผลอีก!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เหตุผลหรือ ในแดนคุกโลหิตแห่งนี้ ใช้กำปั้นเป็นเหตุผลเท่านั้น! ที่ที่เจ้าอยู่คือเขตต้องห้ามใต้สุด อย่าคิดว่าแค่ถือกระดาษขาด ๆ มาเพียงไม่กี่แผ่นแล้วจะมีคนยอมใ ให้เจ้าเป็นเจ้าเมือง นั่นมันเป็นไปไม่ได้หรอก!”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ดูเหมือนว่าวันนี้พวกเจ้าจะไม่ได้มาเพื่อยอมแพ้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงทำได้เพียงเอาชนะพวกเจ้าเท่านั้นแล้ว”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เอาชนะหรือ อาศัยแค่พวกเจ้าเพียงไม่กี่คนเนี่ยนะ?” เบื้องหลังของเจ้าเมืองเหล่านี้มีกองกำลังเป็นหมื่น ๆ พัน ๆ แต่ทางด้านของมู่เฉียนซีแตกต่างจากพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด ด เพราะมีคนอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น และข้างกายยังมีองครักษ์คอยติดตามอยู่เพียงสองสามคนอีกด้วย
“ข้าว่าคนอื่นคงหวาดกลัวจนหนีไปหมดแล้วสินะ! พวกเขาช่างโชคร้ายจริง ๆ ที่ได้มาให้มาติดตามเจ้าเมืองที่ไม่รู้จักเจียมตนเช่นนี้ ”
หลังจากนั้นเหล่าเจ้าเมืองของเมืองใหญ่ต่าง ๆ ก็เริ่มล้อเลียนกันขึ้นมาทันที
โม่อูพยายามลดการมีอยู่ของตนเองให้มากที่สุด พวกท่านกำลังทำผิดพลาดแล้ว อย่ารวมข้าเข้าไปในนั้นด้วยก็พอ
กองกำลังกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้ บุกเข้ามาด้วยแรงกดดันอันมหาศาส ซึ่งตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าตนเองจะครึกโครมเกินไปแล้ว
เพียงแค่ต่อสู้กับคนไม่กี่คนเหล่านี้ คิดไม่ถึงว่าจะเคลื่อนกำลังพลมามากมายเช่นนี้ มันช่างเปลืองแรงเสียจริง ๆ
และตอนนี้เฉี่ยอี้ก็ทนฟังไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขากล่าวว่า “ท่านเจ้าเมือง ตอนนี้พวกเราสามารถปลดปล่อยจิตสังหารได้หรือยังขอรับ?”
“ไม่จำเป็นต้องเข่นฆ่าครั้งใหญ่อีกแล้ว สิ่งที่ข้าต้องการคือการจับเจ้าเมืองของพวกเขามาทั้งเป็นเท่านั้น!” มู่เฉียนซีกล่าว
เฉี่ยเอ้อร์กล่าวว่า “เฉี่ยอี้ เช่นนั้นเจ้ากับข้าและน้องชายของข้ามาแข่งกันว่าใครจะจับเจ้าเมืองได้มากกว่ากันดีหรือไม่? หากเจ้าพ่ายแพ้ เจ้าจะต้องแบ่งอาหารของเจ้าครึ่งหนึ่งให้ข ข้า”
“ข้าจะไปโง่แข่งกับพวกเจ้าสองพี่น้องไปทำไมกัน ไม่มีทางหรอก! เจ้ายอมแพ้เสียเถอะ!”
สถานการณ์ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่นี้ ไม่ได้สร้างแรงกดดันให้เลยแม้แต่น้อย
และท่ามกลางสถานที่ที่มีกองกำลังนับแสนคนในตอนนี้ การจับผู้นำของพวกเขาก็เป็นเหมือนการละเล่นที่ไม่มีนัยสำคัญก็มิปาน
โม่อูเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขาแล้วกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมือง ขะ…ความสามารถของข้าค่อนข้างต่ำ เกรงว่าจะช่วยเหลือท่านไม่ได้ ดังนั้น…”
ดังนั้นอย่าส่งเขาไปทำภารกิจที่โหดร้ายเช่นนี้เลย! เขา…เขาทำมันไม่ได้จริง ๆ
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องทำหรอก เจ้ารออยู่ที่นี่ก็พอ เมื่อถึงเวลานั้นคอยนับจำนวนคนให้ข้า และตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่ได้พลาดเจ้าเมืองคนใดไป”
พวกเขายังไม่ทันที่จะลงมือ แต่ก็มั่นใจไปก่อนแล้วว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน ซึ่งนี่จะเป็นความหลงระเริงหรือเชื่อมั่นในตนเองมากกันแน่! แต่ทว่าตอนนี้โม่อูก็ได้แต่เบ บิกตากว้างมองพวกเขาอย่างตกตะลึง
“ทำลายเมืองนั้นซะ!” มีเสียงที่โกรธเคืองร้องคำรามออกมาจากกลางกองกำลังใหญ่นั้น จากนั้นเปลวเพลิงของจิตวิญญาณแห่งการต่อสู่ก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
คนเหล่านั้นเริ่มเคลื่อนไหว และเตรียมที่จะบุกเข้าไปในเมือง เพื่อที่จะจับมู่เฉียนซีที่มีเพียงหนังสือกรรมสิทธิ์แต่กลับเป็นเจ้าเมืองที่ไม่มีความสามารถพอที่จะควบคุมเมืองไว้ในกำมือ ของนางได้
ในตอนที่พวกเขากำลังจะโจมตีเมืองนั้น ท้องฟ้าก็มืดลงอย่างกะทันหัน และหงส์สีดำตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศ จากนั้นมู่เฉียนซีก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนหลังของเสี่ยวโม่โม่
เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว!
ร่างทั้งสี่พุ่งลงมากจากำแพงเมืองราวกับภูตวิญญาณก็มิปาน
พวกเขาได้พุ่งตรงไปยังเจ้าเมืองที่มีการคุ้มกันเป็นอย่างดี ซึ่งพวกเขาก็สามารถทะลุผ่านการป้องกันของกองกำลังนับหมื่นไปได้ ราวกับอยู่ในบริเวณที่ไร้ผู้คนอย่างไรอย่างนั้นเลย
ปัง ปัง ปัง!
และเนื่องจากว่ามีคนที่กล้าเข้ามาขัดขวางพวกเขา จึงทำให้พวกเขาทั้งหมดถูกสังหารไปในทันที
อะไรน่ะ? ถึงเจ้าจะมีข้อได้เปรียบทางด้านจำนวนคนเช่นนี้ แต่สำหรับพวกเขาแล้วมันไม่ได้อยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ!