ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2371 กลัวจนขอความช่วยเหลือจากภายนอก
ตูมมม!
เจ้าเมืองแต่ละคนถูกบีบจนหมดหนทาง และทำได้เพียงรับการโจมตีเท่านั้น
มู่เฉียนซีเลือกตอบโต้หนึ่งในเจ้าเมืองเหล่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ก็ปล่อยให้พวกเฉี่ยอี้เอาไปเล่นแทนก็แล้วกัน!
“เจ้าคือสาวน้อยที่กล้าหาญมากที่สุดที่ข้าเคยเห็นเจอมาเลย แต่ข้าไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้แน่นอน! ตายซะเถอะ!” เจ้าเมืองผู้นี้พุ่งเข้าใส่มู่เฉียนซีอย่างดุเดือด และมู่เฉียนซีกับพวกเสี่ยวหง เสี่ยวโม่โม่รวมไปถึงอู๋ตี้ก็ร่วมกันรับมือการโจมตีนี้ด้วยกัน!
ตูมมมม!
การต่อสู้ระหว่างมู่เฉียนซีกับเจ้าเมืองผู้นี้เป็นไปอย่างดุเดือดเป็นอย่างมาก และพวกของเฉี่ยอี้ที่ถึงจะต่อสู้กันแบบหนึ่งต่อหลายคน แต่ก็ยังสามารถหยอกล้อพวกเขาเล่นได้อยู่ดี
หากบดขยี้พวกเขาในพริบตาเดียว มันก็จะน่าเบื่อเกินไป อย่างไรเสียเจ้าเมืองที่อยู่ทางด้านนั้นก็ยังไม่ถูกจัดการ ฉะนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าพวกมดปลวกเหล่านี้แทน
“เพลิงนภาพิฆาต!” พลังธาตุอัคคีระเบิดออกมาอย่างกะทันหัน
เจ้าเมืองผู้นั้นจ้องมองไปที่กระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณในมือของมู่เฉียนซีแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ช่างเป็นกระบี่ที่ดีจริง ๆ แต่ความสามารถของคนที่ใช้อ่อนแอเกินไป ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน!”
เขาเป็นผู้นำกองกำลังในการกระโจนเข้าใส่มู่เฉียนซี จากนั้นพลังแห่งความมืดก็เดือดพล่านขึ้นมาทันที!
เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว!
มู่เฉียนซีสามารถตอบสนอง และใช้พลังแห่งมิติได้อย่างคล่องแคล่ว นางแผ่ขยายพลังจิตวิญญาณเพื่อจับการเคลื่อนไหวของศัตรูได้ทุกย่างก้าว บวกกับยังมีความช่วยเหลือจากพวกของอู๋ตี้อีกด้วย
แม้ว่าศัตรูผู้นี้จะแข็งแกร่งกว่านางมาก แต่มู่เฉียนซีก็ยังสามารถจัดการกับอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย และไม่ทำให้ตนเองเสียเปรียบอีกด้วย
คนที่มีระดับไม่ถึงเจ้าครองดินแดนคนหนึ่ง แต่กลับสามารถต่อสู้กับเจ้าครองดินแดนได้นานขนาดนี้ นี่มันจะไม่แปลกประหลาดเกินไปหน่อยอย่างนั้นหรือ และมันก็ทำให้เจ้าเมืองผู้นี้โมโหจนกระอักเลือดออกมาเลยทีเดียว
ส่วนเจ้าเมืองคนอื่นนั้นอยากที่จะกระอักเลือดยิ่งกว่า เพราะทั้งสี่คนนี้ทำกับพวกเขาราวกับแมวหยอกหนูก็มิปาน ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขาต้องเดินไปสู่ความพังพินาศทีละก้าว
ความสามารถของพวกเขาแข็งแกร่งมากเพียงใดกันแน่ นี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถมองออกได้เลย แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือการยืดหยัด ยืนหยัดต่อไป…
ตูมมม โครมมม!
การต่อสู้ของมู่เฉียนซีดำเนินมาระยะหนึ่งแล้ว และการต่อสู้กับคนที่อยู่ในระดับเจ้าครองดินแดนที่เหนือกว่าความสามารถของนางมากครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ได้ทำให้ความสามารถของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับหกที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นมานั้นมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น
มู่เฉียนซีต่อสู้อย่างสนุกสนานเป็นอย่างมาก แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับน่าเวทนาเหลือเกิน
ความสามารถของอีกฝ่ายนั้นอ่อนแอกว่าเขามากอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้เริ่มลดน้อยลง แต่อีกฝ่ายกลับยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ
และเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว มันก็ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยจริง ๆ
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
ฟิ้ว!
ในที่สุด มู่เฉียนซีก็ยุติการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยการใช้เข็มยาเพียงเข็มเดียว
เนื่องจากว่าอีกฝ่ายต่อสู้จนเหนื่อยล้า แต่เข็มยาเพียงเข็มเดียวของมู่เฉียนซีกลับยุ่งยากเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะเป็นถึงเจ้าครองดินแดนแต่ก็ไม่สามารถหลบหลีกได้อย่างสิ้นเชิง ฉะนั้นผิวหนังของเขาจึงถูกกรีดด้วยเข็มยาที่แหลมคมนี้
ตึง!
และในตอนที่เขาล้มลงเนื่องจากถูกยาพิษ ภายในใจของเขาก็รู้สึกโล่งใจอย่างไม่คาดคิด เพราะในสุดการต่อสู้ที่น่าอึดอัดใจนี้ก็ได้จบลงเสียที
เมื่อพวกของเฉี่ยอี้เห็นว่ามู่เฉียนซีจัดการเจ้าเมืองผู้นั้นได้แล้ว พวกเขาก็กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “การละเล่นจบลงแล้ว!”
พวกเขารู้สึกเพียงแค่ว่าสายตาพร่ามัว และดวงตาก็มืดลง หลังจากนั้นพวกเขาก็ล้มลงไปบนพื้น
นะ…นี่มันง่ายขนาดนี้เลยหรือ!
โม่อูที่ยืนอยู่บนกำแพง และกำลังมองการต่อสู้ของพวกเขาจากมุมสูง ก็ถึงกับตกใจจนพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
โชคดีที่ตอนแรกเขาเข้าใจสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี มิเช่นนั้นก็คงจะต้องน่าเวทนามากเช่นกันเป็นแน่
มู่เฉียนซียังมีเมืองอีกยี่สิบสี่เมืองที่ยังไม่ได้ยึดครอง และในตอนนี้เจ้าเมืองทั้งยี่สิบสี่เมืองก็ได้นอนอยู่บนกำแพงเมืองแห่งนี้แล้ว
ส่วนกองกำลังชั้นยอดที่พวกเขาพามาด้วยหลายแสนคนเหล่านั้น ในตอนที่เจ้าเมืองพ่ายแพ้จนถูกจับไปได้นั้น ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าทั้งหมดล้วนไม่มีประโยชน์นั่นเอง
ในเขตต้องห้ามใต้สุดแห่งนี้พวกเขาเคยพบเจอคนที่แข็งแกร่งมาไม่น้อย แต่คนที่พบเจอเหล่านั้นในตอนนี้เมื่อเทียบกับคนที่เจอในวันนี้ทั้งห้าคนนี้แล้ว ช่างไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงเอาเสียเลย
สีหน้าของคนเหล่านี้เต็มไปด้วยความเศร้าซึมในทันที จบแล้ว มันจบแล้ว
พวกเขาได้ยินมาว่าเจ้าเมืองที่พ่ายแพ้ให้กับนางทั้งสามคน นอกจากโม่อูที่ไม่หยิ่งในศักดิ์ศรีแล้ว คนอื่นอีกสองคนหากไม่ถูกฆ่าก็ถูกส่งไปยังเมืองหนามโลหิต
ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเส้นทางมรณะเหมือนกันทั้งสิ้น!
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “โม่อู พาเจ้าเมืองทุกท่านไปดื่มชาที่จวนเจ้าเมืองของเมืองโม่เสียสิ! มันไม่ง่ายเลยที่ทุกท่านจะมากันไกลถึงขนาดนี้ได้”
โม่อูกล่าวว่า “ขอรับ!”
ในตอนที่พวกเขากำลังจะหันกลับไปเพื่อออกไปจากกำแพงเมือง ทันใดนั้นก็มีพลังอันแข็งแกร่งโจมตีเข้ามา และหนึ่งในเจ้าเมืองก็กล่าวขึ้นมาอย่างประหลาดใจว่า “ท่านลุง! ในที่สุดท่านลุงก็มาแล้ว ช่วยข้าด้วย! ข้าไม่อยากถูกคนแปลกประหลาดกลุ่มนี้ฆ่าตาย”
คนที่ร้องตะโกนคนนั้นคือเจ้าเมืองของเมืองหาน และบนสีหน้าของเจ้าเมืองคนอื่นก็แสดงออกมาว่ากำลังดีใจอยู่เช่นกัน
เจ้าเมืองของเมืองหานเคยเผยกับพวกเขามาก่อนว่า เขาสามารถหาผู้แข็งแกร่งระดับราชทินนามมานั่งบัญชาการได้ และผู้แข็งแกร่งระดับราชทินนามผู้นั้นก็คือญาติของเขาเอง
เดิมทีคิดว่าคนผู้นั้นจะไม่มาแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาจริง ๆ
แม้ว่าทั้งห้าคนนี้จะวิปลาสมากเพียงใด แต่พวกเขาไม่เชื่อหรอกว่าราชทินนามของพวกเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนเหล่านี้
แม้ว่าจะเป็นเพียงใต้เท้าระดับล่าง แต่เมื่อเทียบกับระดับเจ้าครองดินแดนแล้วก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวอยู่ดี
คนเหล่านี้ต้องตายแน่นอน เพราะพวกเขามีคนมาช่วยแล้ว!
น้ำเสียงของชายชราดังมาจากกลางอากาศ “ช่างกล้าหาญเสียจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าทำร้ายแม้แต่คนที่ข้าต้องการจะปกป้อง ช่างรนหาที่ตายนัก!”
ชายชราผู้นั้นพุ่งจากกลางอากาศไปยังกำแพงเมือง จากนั้นดาบก็วาดผ่านอากาศไปทางที่พวกของมู่เฉียนซียืนอยู่
ในตอนที่ชายชราคนนั้นกำลังเข้าใกล้ร่างสีแดงเลือดเหล่านั้น ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะหยุดดาบนั้นด้วยมือเปล่า
พวกเขาตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง “นะ…เจ้านี่มันคนโง่หรือเปล่า! คิดไม่ถึงว่าจะรับดาบด้วยมือเปล่าเช่นนี้”
“ดาบเล่มนั้นไม่ถึงว่าเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพ แต่มันก็ใกล้เคียงกับมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพอยู่ดี อย่างไรเสียมันก็เป็นถึงอาวุธวิญญาณของคนที่มีความสามารถระดับใต้เท้าเชียวนะ!”
โม่อูกล่าวด้วยความตื่นตระหนกว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านเฉี่ยอี้กำลังตกอยู่ในอันตรายขอรับ”
แต่ทว่ามู่เฉียนซีกลับไม่แสดงท่าทางที่เป็นกังวลใด ๆ ออกมาเลย และเฉี่ยเอ้อร์ก็ยังคงบ่นอีกว่า “เจ้าเฉี่ยอี้นี่จะเจ้าเล่ห์เกินไปหน่อยแล้ว! คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่ให้โอกาสเช่นนี้กับข้าบ้างเลย”
เฉี่ยซานกล่าวอย่างอ่อนแอว่า “พี่สาว ต้องสง่างามเข้าไว้สิ! การแทนตนเองเช่นนี้มันจะดูเป็นหญิงแกร่งเกินไปแล้วนะ”
แววตาของเฉี่ยเอ้อร์เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาทันที นางมองไปที่เจ้าเมืองหานแล้วกล่าวว่า “เจ้า…พวกเจ้ายังเรียกผู้แข็งแกร่งระดับใต้เท้าคนอื่นมาอีกหรือไม่! พอดีว่าสาวน้อยอย่างข้าอยากจะรู้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับใต้เท้าจะยอดเยี่ยมสักแค่ไหนกันน่ะ?”
ด้วยดวงตาที่หวานฉ่ำคู่นั้น เมื่อจ้องมองไปทางพวกเขาด้วยความอ่อนโยน มันก็ทำให้พวกเขาขนลุกขนพองขึ้นมาทันที
ล้อเล่นหรืออย่างไร พวกเขาเป็นเพียงเจ้าเมืองของเมืองเล็ก ๆ เท่านั้น อีกอย่างผู้แข็งแกร่งระดับใต้เท้าก็ไม่ใช่ว่าจะพบเห็นได้ทั่วไปเสียหน่อย ฉะนั้นจะจ้างมามากมายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?
พวกเขาคิดว่าเป็นเพราะคนผู้นั้นมีความสัมพันธ์เป็นญาติของท่านเจ้าเมืองหานถึงได้ยอมมาในคราวนี้ มิเช่นนั้นคนอื่นไม่มีทางเชิญมาได้แน่
แกรก!
มีเสียงก้องกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น
และสิ่งที่ทำให้ผู้คนต่างตื่นตกใจนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ชายในชุดสีแดงผู้นั้นเลือดสาดกระเซ็น หรือมือถูกตัดออกเป็นสองท่อน แต่เป็นเพราะดาบของใต้เท้าผู้นั้นมีรอยแตกร้าวปรากฏขึ้นมาต่างหาก
สีหน้าของใต้เท้าผู้นั้นเผยความหวาดกลัวออกมา และในตอนที่เขาอยากจะดึงดาบของตนเองกลับ ก็ได้ยินคนตรงหน้ากล่าวอย่างเย็นชาว่า “คุณภาพของดาบเล่มนี้ต่ำเกินไป มันช่างเปราะบางมากจริง ๆ!”
เพล้งงง!
และดาบเล่มนั้นก็หลุดออกจากกันทันที ซึ่งแต่ละส่วนก็ปลิวกันไปคนละทิศคนละทางเลยทีเดียว
ส่วนมือที่รับดาบนั้นเอาไว้ ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ทั้งยังทำให้ดาบเล่มนั้นหักได้อีกด้วย ซึ่งความจริงแล้วมันช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากจริง ๆ
หากพวกเขารู้ว่าร่างเดิมของเฉี่ยอี้ก็คือหนามโลหิตที่เป็นพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาวคนหนึ่งแล้วละก็ พวกเขาก็คงจะเข้าใจได้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่?
และนั่นก็เพราะหนามโลหิตระดับเจ็ดดาว ไม่ใช่สิ่งที่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพอยากจะทำร้ายก็สามารถทำร้ายได้ ฉะนั้นการที่จะทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อยจึงเป็นเพียงแค่ฝันแน่นอนอยู่แล้ว
คู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ช่างลึกล้ำเกินที่จะหยั่งถึง และมันก็ทำให้ใต้เท้าผู้นี้ไม่กล้าที่จะล่วงเกินอีกต่อไป
ฉะนั้นอย่าว่าแต่ญาติที่ไม่รู้ว่าห่างกันมาแล้วกี่รุ่นเลย เพราะแม้แต่หลานแท้ ๆ เขาในเวลานี้ก็เลือกที่จะหนีเพื่อปกป้องตนเองเอาไว้ก่อนอยู่ดี
“นี่คือคนที่เจ้ายั่วยุด้วยตนเอง เช่นนั้นเจ้าก็คิดหาทางเอาเองเถอะ! พอดีว่าข้ามีธุระ ขอตัวไปก่อนก็แล้วกัน!”
.
.