ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2398 ยอมจำนนตามสัญญา
มู่เฉียนซีส่ายศรีษะแล้วกล่าวว่า “ไม่! พวกเจ้าไม่สำเป็นต้องไปสู้หรอก การประลองรอบนี้เป็นการประลองครั้งสุดท้ายไม่จำเป็นต้องมีการประลองต่อไปแล้ว และเพื่อให้ได้ชัยชนะ การประลองครั งนี้ ข้าจะไปเอง!”
ชายในชุดเขียวผงะไปทันที “เจ้า…”
เจ้าเมืองผู้นี้ มีความสามารถยังไม่ถึงระดับเจ้าครองดินแดนเลยด้วยซ้ำ แต่กลับสามารถทำให้หนามโลหิตที่กระหายเลือดเหล่านั้นทำงานเพื่อนางได้ และยังสามารถทำให้ระดับใต้เท้าที่แข็งแกร ร่งคนหนึ่งเชื่อฟังคำสั่งของนางได้อีกด้วย
สิ่งเหล่านี้คือพลังของนาง ซึ่งทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกนางได้ แต่ทว่าความสามารถของนางเอง ยังไม่ถึงแม้แต่ระดับเจ้าครองดินแดนเลยด้วยซ้ำ!
“ของเพียงแค่ส่งคนที่มีระดับต่ำกว่าระดับใต้เท้าเท่านั้น อีกอย่างความสามารถของข้าแม้แต่ระดับเต้าครองดินแดนก็ยังไม่ถึงเลย ฉะนั้นย่อมยอมรับได้ มิใช่หรือ?” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเ เรียบเฉย
“ความสามารถแตกต่างกันมากขนาดนี้ เจ้าแน่ใจว่าจะสู้อย่างนั้นหรือ”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าแน่ใจแน่นอนอยู่แล้ว นอกจากนี้พวกเจ้าจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยอีกด้วย!”
ข้าไม่รู้เลยว่านางไปเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากไหนกันแน่?
เขามองไปยังชายที่รูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งในนั้นพลางกล่าวว่า “ฉินเป่ย เจ้าไปสู้แล้วกัน!”
“ขอรับ!”
ชายผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมาบนสนามประลอง และไม่มีใครรู้ว่าเขาขึ้นไปได้อย่างไรกันแน่
ดวงตาที่เฉยเมยของเขา ให้ความรู้สึกว่าเจ้าเมืองของเมืองหนามโลหิตผู้นี้ช่างรนหาที่ตายจริง ๆ ระดับยังไม่ถึงเจ้าครองดินแดนแต่อยากที่จะสู้กับระดับเจ้าครองดินแดน ไม่เจียมตัวเลยจ จริง ๆ
ดูท่าแล้วเมืองหนามโลหิตแห่งนี้ คงจะไม่มีใครแล้วจริง ๆ !
ร่างเงานั้นหายไปต่อหน้าต่อตามู่เฉียนซีอย่างกะทันหัน ความเร็วของเขารวดเร็วมาก และไม่เหลือร่องรอยเอาไว้เลยแม้แต่น้อย
และในตอนที่เข้ากำลังจะโจมตีมู่เฉียนซี เพลิงหงส์อมตะแห่งความมืดสีดำลูกถึงก็พุ่งเข้าจู่โจมเขาอย่างกะทันหัน
เขาผลิกตัวกลับกลางอากาศ จากนั้นก็หลบหลีกการโจมตีของเสี่ยวโม่โม่อย่างรวดเร็ว
“สัตว์เทพระดับสอง!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “พวกเจ้าไม่ได้บอกนี่ว่า ไม่สามารถใช้สัตว์พันธสัญญาในการต่อสู้ได้ ใช่หรือไม่?”
ชายในชุดสีเขียวกล่าวว่า “ใช่แล้ว ไม่ผิดเลย! ฉินเป่ย เจ้าก็เอาสัตว์พันธสัญญาออกมาด้วยสิ!”
สัตว์พันธสัญญาของฉินเป่ย ก็คือสัตว์กระดูกขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง
สัตว์กระดูกยักษ์ที่น่าสะพรึงกล่าวมีร่างกายขนาดมหึมา พลังในการต่อสู้ของมันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากพวกเขาร่วมมือกันแม้แต่ใต้เท้าระดับร่างก็อาจจะเสียเปรียบได้เช่นกัน และนี่ ก็คือเหตุผลที่เขาเลือกผู้ชายสบาย ๆ อย่างฉินเป่ย
สัตว์กระดูกยักษ์พุ่งเข้าใส่เสี่ยวโม่โม่ ร่างกายของมันใหญ่กว่าร่างของเสี่ยวโม่โม่มากมายนัก
ในตอนที่เสี่ยวโม่โม่กำลังต่อสู้อย่างพัวพันอยู่นั้น ก็มีลำแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน และแมวสีขาวขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวออกมา
แม้ว่าร่างของอู๋ตี้จะไม่ได้ใหญ่โตเท่าสัตว์กระดูกยักษ์นั้น แต่กลิ่นอายของมันก็ไม่อ่อนแอเลย และยังเป็นสัตว์เทพระดับสามอีกด้วย
“เจ้าตัวใหญ่อย่างเจ้ากล้ามารังแกเจ้าตัวเล็กของพวกข้าหรือ ข้าท่านอู๋ตี้โกรธมากเลยจะบอกให้ และแน่นอนว่าข้าจะหักกระตูกผุ ๆ ของเจ้าเอง!” อู๋ตี้กล่าว
ตูมมมมม!
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวกับฉินเป่ยว่า “ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่า ข้ามีสัตว์พันธสัญญาเพียงแค่ตัวเดียว หากเจ้าก็มีตัวที่สองเหมือนกันแล้วล่ะก็ เช่นน นั้นก็เอาออกมาได้นะ!”
คนเพียงคนเดียวมีสัตว์พันธสัญญาถึงสองตัว นอกจากนี้ยังเป็นสัตว์เทพทั้งหมดเลยด้วย คนเช่นนี้ ย่อมมีน้อยมากแน่นอนอยู่แล้ว
ฉินเป่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า “ในเมื่อมีสัตว์พันธสัญญาของข้าตรึงเจ้าสองตัวนั้นของเจ้าไว้ หากข้าต้องการที่จะฆ่าเจ้า ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก”
ขอเพียงแค่ฆ่าเจ้านายของสัตว์พันธสัญญาได้ ไม่ว่านางจะมีสัตว์พันธสัญญากี่ตัวก็ตาม สัตว์พันธสัญญาเหล่านั้นก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป
ร่างของเขาหายไปอีกครั้ง และศัตรูที่ไม่สามารถจับร่องรอยการโจมตีได้ ก็ยากที่จะรับมือมากจริง ๆ
แต่เขาไม่เชื่อว่า มนุษย์ผู้นี้จะยังมีความสามารถอะไรอย่างอื่นอีก!
“เพลิงเผาสวรรค์!”
ทันใดนั้นหมูตัวน้อยสีชมพูตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมา ถึงมันจะดูแล้วตัวเล็กมาก แต่พลังทำลายล้างของเปลวเพลิงนั้นก็ทำให้สีหน้าของฉินเป่ยฉายแววเคร่งขรึมออกมาทันที
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อน “ข้าไม่ได้บอกนี่ว่า ข้ามีสัตว์พันธสัญญาเพียงแค่สองตัวเท่านั้น!”
“สามตัว คิดไม่ถึงว่ามนุษย์เพียงคนเดียวจะมีสัตว์พันธสัญยาถึงสามตัวเลยเช่นนี้! นอกจากนี้ทุกตัวยังล้วนเป็นสัตว์เทพทั้งนั้นเลยด้วย” เมื่อเหล่านักโทษได้เห็น พวกเขาต่างก็แทบที่ จะกระอักเลือดออกมาเลยทีเดียว
ตอนนี้แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของชายในชุดสีเขียวผู้นั้นก็หายไปแล้วเช่นกัน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสชนะ หากฉินเป่ยเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อลอบโจมตี แม้จะมีสัตว์เทพระดับสามเพิ่มมาอีกหนึ่งตัว ก็ใช่ว่าจะสามารถป้องกันมันได้
ร่างของฉินเป่ยพุ่งทะยานเข้ามาอีกครั้ง แต่เสี่ยวหงก็ระเบิดเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวออกมาตามอำเภอใจ จากนั้นก็พุ่งทะยานไปทางเขา
“ตูมมมม!” เสียงปะทะอันน่าสะพรึงกลัวดังสนั่นออกมา เดิมทีทุกคนคิดว่าฉินเป่ยจะต่อสู้ตัวต่อตัวกับสัตว์เทพระดับสามให้ถึงที่สุด แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าฉินเป่ยจะหายไปแล้ว
เสี่ยวหงกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่เจ้าเล่ห์จริง ๆ !”
ตอนนี้มุมปากของฉินเป่ยคลี่ยิ้มแห่งความสำเร็จออกมา เขาเข้าใกล้มู่เฉียนซี และกำลังจะลอบโจมตีจุดสำคัญของมู่เฉียนซี
“ความจริงแล้วการลอบสังหารที่เจ้าภาคภูมิใจนักหนานั้น สำหรับข้าแล้วมันไม่มีความหมายอะไรเลย ถึงคนส่วนใหญ่จะไม่สามารถมองวิถีการโจมตีของเจ้าออก แต่ต้องขอโทษด้วย เพราะข้ามองมันอ ออกมาตั้งแต่แรกแล้ว!”
“ปังง!” การโจมตีของฉินเป่ยล้มเหลว และมู่เฉียนซีก็ได้หายไปต่อหน้าต่อตาของเขา ซึ่งหลังจากนั้นสิ่งที่เขาต้องรับมือก็คือเปลวเพลิงสีแดงก่ำที่ไม่มีที่สุดสุดนั้น
พรึบ พรึบ พรึบ!
ฉินเป่ยรีบถอย และหลบหลีกอย่างรีบร้อน เขามองไปยังสาวน้อยในชุดสีม่วงผู้นั้น และบนสีหน้าที่เฉยเมยนั้นก็แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา
คนที่มีระดับต่ำกว่าใต้เท้า ไม่เคยมีผู้ใดสามารถค้นพบวิถีการโจมตี และหลบหลีกการลอบสังหารของเขาได้มาก่อนเลย
สาวน้อยที่มีความสามารถไม่ถึงระดับเจ้าครองดินแดนผู้นี้ สามารถทำเช่นนี้ได้อย่างไรกันแน่?
นอกจากนี้ยังมีความเร็วของนางอีก!
ทักษะที่ตนเองภาคภูมิใจ ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะกำลังถูกคนอื่นท้าทายเสียแล้ว
ระดับการซ่อนตัวของฉินเป่ย ขอเพียงมีพลังจิตวิญญาณที่สูงมากเพียงพอ ความจริงแล้วก็สามารถค้นพบได้อย่างง่ายดายมาก
เนื่องจากว่าความแข็งแกร่งทางพลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีวิปลาสเหนือจินตนาการของผู้อื่น ฉะนั้นมันจึงง่ายดายมากสำหรับนาง
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฉินเป่ยมีความชำนาญมากที่สุด แต่มันกลับถูกมู่เฉียนซีทำลายไปหมดแล้ว
เคล็ดลับการซ่อนตัวได้ถูกพลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซียับยั้งได้แล้ว ความเร็วก็ถูกการเคลื่อนย้ายภายในชั่วพริบตาของมู่เฉียนซีปลิดชีพอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะเพิ่งต่อสู้มาเพียงไม่กี่ส สิบรอบเท่านั้น แต่ฉินเป่ยไม่เคยรู้สึกไร้พลังในการต่อสู้เช่นนี้มาก่อนเลย
มู่เฉียนซีกล่าวกับฉินเป่ยว่า “ต่อจากนี้ไป ถึงตาข้าเริ่มลงมือก่อนบ้างแล้ว”
ร่างเงาสีม่วงอ่อนได้หลงเหลือภาพลวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนกลางอากาศ “เพลิงนภาพิฆาต!”
นี่เป็นการโจมตีของพลังธาตุอัคคี!
“มังกรวารีจงบังเกิด!”
เสียงร้องคำรามของมังกรดังกึกก้องไปทั่วเมืองหนามโลหิตแห่งนี้ ฉินเป่ยอุทานออกมาด้วยความตื่นตกใจ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีการโจมตีของพลังธาตุวารีด้วย
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย”
นี่มันวายุ!
ก่อนหน้านี้หากคนที่มีระดับไม่ถึงเจ้าครองดินแดนคนหนึ่งโจมตีเขา ก็คาดว่าถึงเขาจะยืนอยู่นิ่ง ๆ ให้นางโจมตีก็คงไม่สามารถทำอะไรเขาได้อยู่ดี
แต่ทว่าในเวลานี้ ฉินเป่ยกลับสัมผัสได้ถึงความอันตราย
“เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว!” เขาหลบหลีกอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของชายในชุดสีเขียวผู้นั้นเผยความประหลาดใจออกมา พรสวรรค์ของสาวน้อยผู้นี้จะชั่วร้ายเกินไปแล้ว นอกจากจะมีสัตว์พันธสัญญาเป็นสัตว์เทพถึงสามตัวแล้ว ยังครอบครองพลังจิตวิญญาณ ณที่แข็งแกร่งพอจะมองเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นอกจากนี้ยังเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุสามธาตุอีกด้วย
คิดไม่ถึงเลยว่าที่แดนนรกแห่งนี้จะมีคนที่มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมเช่นนี้ด้วย นี่ต้องเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของคนผู้นั้นอย่างแน่นอน
ฉินเป่ยกำลังจะพ่ายแพ้ และนับตั้งแต่ตอนที่เจ้าเมืองอายุน้อยผู้นี้สามารถหลบหลีกการโจมตีที่เขาเชียวชาญได้ เขาก็สามารถรู้ผลลัพธ์ได้ในทันที
เดิมพันที่เอาชนะสองในสามเกม เดิมทีเขามั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้สองเกม แต่ผลปรากฏว่ากลับถูกฝ่ายตรงข้ามเอาชนะติดต่อกันได้ถึงสองเกม ซึ่งพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ได้ อีกแล้ว
พรึบ พรึบ พรึบ!
ตอนนี้ฉินเป่ยมีรอยแผลเพิ่มขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วน และผิวหนังของเขาก็ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนบาดเจ็บ
ร่างของเขาโซซัดโซเซเล็กน้อย และทำได้เพียงแต่ยืนอย่างมั่นคงเท่านั้น สุดท้ายเขาก็เหลือบมองไปทางมู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “ข้าแพ้แล้ว!”
แพ้แล้ว พวกเขาเอาชนะสองเกมติดต่อกันจนได้!
คนของเมืองหนามโลหิตตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “พวกเราชนะแล้ว เมืองหนามโลหิตของพวกเราชนะแล้ว”
ชายในชุดสีเขียวกล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “พวกเราพ่ายแพ้แล้ว และจะยอมจำนนต่อเจ้าตามที่สัญญาเอาไว้”
เมืองที่จะมีอัจฉริยะเช่นนี้ ทำให้เขาเชื่อว่าอีกไม่นานหลังจากนี้ นางจะต้องมีตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ในแดนนรกแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน
เขารู้สึกว่าการติดตามคนผู้นี้ จะต้องไม่มีทางอึดอัดใจแน่นอน
แต่มู่เฉียนซีกลับกล่าวว่า “ถึงพวกเจ้ายอมจำนนต่อข้าตามที่สัญญาเอาไว้ แต่ข้าไม่เชื่อพวกเจ้าหรอก!”