ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2425 คุกสีโลหิต
ถึงกลิ่นอายของคนงามไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เขาก็ไม่เชื่อว่าคนงามจะถูกเจ้าสองคนนั้นฆ่าตายไปแล้วเช่นกัน นางจะต้องยังไม่เป็นอะไรแน่นอน
ทานหลางหล่าวว่า “สีโลหิต…ขุมนรกสีโลหิต! นายท่านไปที่ขุมนรกสีโลหิตแล้ว!”
พรวด!
อาการบาดเจ็บของทานหลางสาหัสมาก และมันก็ทำให้เขากระอักเลือดออกมาจนหมดสติไปในที่สุด
เพราะการคุกคามของจื่อโยว จึงทำให้สัตว์ปีศาจทั้งหมดของที่นี่สงบลงทันที
พวกของอ้านและเฉี่ยเอ้อร์รีบมาที่นี่อย่างร้อนรนเช่นกัน แต่พวกเขาก็ค้นพบว่ามู่เฉียนซีไม่ได้อยู่ที่นี่ และตอนนี้ใต้เท้าจื่อโยวก็มาที่นี่แล้วเช่นกัน
สีหน้าของพวกเขามืดมนลงทันที “นายท่านล่ะ?”
“ท่านเจ้าเมืองล่ะ?”
คิดว่าขุมนรกสีโลหิตเป็นสถานที่แบบใดกัน มันเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถกลับมาได้ และอาจจะถูกขังอยู่ข้างในตลอดไปเลยก็เป็นได้
ยิ่งไปกว่านั้นเวลาในการฝึกฝนของคนงามยังน้อยนิด ความสามารถก็ไม่สูง หากเข้าไปในสถานที่เช่นนั้นคงได้กลายเป็นอาหารของของสัตว์ร้ายเป็นแน่
“ข้าให้พวกเจ้าปกป้องเจ้านายของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าปกป้องกันอย่างนี้หรือ?” ร่างของจื่อโยวแผ่กระจายจิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ราวกับอยากที่จะบดขยี้พวกเขาทั้งหมดให้แหลกไป ปเลยทีเดียว
จื่อโยวมักจะไม่ค่อยโมโหเท่าไรนัก แต่หากเขาโมโหขึ้นมาแล้วละก็ จะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตรายที่รุนแรง พวกเขาก็ก้มศรีษะลงทันที เนื่องจากพวกเขาไม่มีกำลังพอที่จะปกป้องเจ้านายได้ แม้ว่าใต้เท้าจื่อโยวจะสังหารพวกเขาจริง ๆ แต่พวกเขาก็ไม่อาจกล่าว อะไรได้อยู่ดี
ในที่สุดจื่อโยวก็สามารถควบคุมความโกรธของตนเองได้ หลังจากนั้นเขาก็ลดจิตสังหารลง และเหลือบมองพวกเขาพลางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้าล้วนเป็นคนของคนงาม เรื่องจัดการพวกเจ้า าต้องให้คนงามเป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่ให้ข้ามาตัดสินใจ มิเช่นนั้นนางจะโกรธเอาได้”
“พวกเจ้าทุกคนไสหัวออกไปจากที่นี่ให้หมด ข้าอยากจะไปดูสักหน่อยว่าขุมนรกสีโลหิตซ่อนอยู่ในสถานที่แบบไหนกันแน่?” จื่อโยวตะโกนใส่พวกเขา
“ขอรับ ท่านจื่อโยว!”
พวกเขาแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว และในชั่วพริบตานั้น บึงสีโลหิตก็เปลี่ยนไปมากจริง ๆ
มีข่าวลือว่าขุมนรกสีโลหิตอยู่ตรงปลายสุดของบึงสีโลหิต และนอกจากนี้ที่นี่ก็เป็นคุกนรกที่อันตรายที่สุดของคุกโลหิตอีกด้วย
มันไม่เหมือนกับคุกนรกธรรมดาทั่วไปของที่อื่น ๆ เนื่องจากว่าหากมันไม่ปรากฏตัวขึ้นมาด้วยตนเอง แม้จะเป็นผู้ที่มีความสามารถระดับอ๋องก็ไม่สามารถหาตำแหน่งของมันเจอได้
แต่ทว่าสุ่ยจิงอิ๋งเป็นถึงผู้ควบคุมพลังแห่งมิติ ดังนั้นจึงสามารถหาช่องทางเชื่อมต่อระหว่างคุกโลหิตกับมันผ่านทางมิติได้
จื่อโยวไม่สามารถควบคุมพลังแห่งมิติได้ ฉะนั้นเขาจึงหามันไม่เจอ และแม้ว่าจะมีพลังทำลายล้างที่ทรงพลังมากเพียงใดก็หมดหนทางอยู่ดี
“บัดซบเอ้ย!” จื่อโยวสบถคำด่าออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ และเขาก็ทำได้เพียงกลับไปหาจิ่วเยี่ยเพื่อคิดหาหนทางอื่นอย่างไม่มีทางเลือก
เขารู้สึกว่าจิ่วเยี่ยจะต้องไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน! เขาได้ตายแน่!
แต่ทันทีที่จื่อโยวกลับมา เขากลับได้รับรายงานว่าคำสาปของจิ่วเยี่ยได้ถูกผนึกเอาไว้แล้ว แต่ยังจำเป็นที่จะต้องจำศีลไปสักระยะหนึ่ง ซึ่งไม่อาจรู้เวลาที่แน่นอนได้!
“เจ้าอู๋หยาบ้านั่นทำอะไรอีกแล้ว!” จื่อโยวกล่าวอย่างเดือดดาล
“จื่อโยว ท่านอู๋หยามีความจงรักภักดีต่อนายท่านมาโดยตลอด เหตุใดเจ้าถึงมีความคิดเห็นที่ไม่ดีต่อท่านอู๋หยาเช่นนี้ล่ะ” เป๋ยโต่วกล่าว
จื่อโยวเหลือบมองไปทางเป๋ยโต่วอย่างเย็นชา พลางกล่าวว่า “ข้าต้องการไปที่หอเซียนเว่ย!”
หอเซียนเว่ยในตอนนี้มีการป้องกันที่สูงมาก มันจึงทำให้จื่อโยวที่ต้องการจะเข้าไปถูกขวางเอาไว้ “ใต้เท้าจื่อโยว ตอนนี้ท่านอู๋หยากำลังทำการพยากรณ์ที่สำคัญอยู่ ไม่ว่าผู้ใดก็ ไม่สามารถที่จะเข้าไปรบกวนได้ ใต้เท้าจื่อโยวโปรดกลับไปเถิดขอรับ!”
“ไสหัวไป!”
พลังที่น่าสะพรึงกลัวโจมตีพวกเขาจนลอยกระเด็นออกไป และเป๋ยโต่วก็ออกตัวมาขัดขวางเขาเอาไว้ด้วยตนเอง “ไม่ว่าท่านอู๋หยาจะทำอะไร ล้วนทำเพื่อนายท่านทั้งนั้น จื่อโยวเจ้าใจเย็นลง งหน่อยเถอะ”
“ไม่มีทางหรอก!” จื่อโยวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ในเมื่อเจ้าหลงผิด เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงแต่ต้องต่อสู้กับเจ้าแล้ว” ทันใดนั้นเป๋ยโต่วก็วาดโครงร่างค่ายกลออกมา และขึ้นไปยืนอยู่บนค่ายกลนั้นทันที
“ค่ายกลของเจ้า อู๋หยาเป็นคนสอนอย่างนั้นสินะ มิน่าเจ้าถึงได้กลายเป็นสุนัขรับใช้ของเขา ไม่รู้ว่าเจ้านายของตนเองคือใครแล้วสินะ” จื่อโยวกล่าวอย่างมืดมน
“เจ้าคิดว่าเจ้าอาศัยเพียงแค่ค่ายกลเหล่านี้ แล้วจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อย่างนั้นหรือ?” จื่อโยวกลายร่างเป็นร่างจริง จากนั้นก็พุ่งเข้าไปโจมตีโดยตรง
ตูมม โครมม!
ทั่วทั้งเมืองเทพสังหารเต็มไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว นอกจากนี้ยังเกิดเรื่องขึ้นที่หอเซียนเว่ยอีกด้วย
เนื่องจากว่าหอเซียนเว่ยเป็นที่อยู่ของท่านอู๋หยา เป็นสถานที่ที่สงบเงียบที่สุดของเมืองเทพสังหารมาโดยตลอด แล้วคนที่ไหนจะกล้ามาโจมตีที่นี่ได้กันล่ะ?
คราวที่แล้วคนที่ลงมือโจมตีคือท่านอ๋องจิ่วเยี่ย คิดไม่ถึงว่าคราวนี้จะมาเป็นท่านจื่อโยว
ส่วนอู๋หยาในเวลานี้ก็กำลังทำการพยากรณ์อยู่ ดวงดาวพร่างพราวไปทั่วทั้งท้องฟ้า จากนั้นหยกขาวที่อยู่ในมือของเขาก็แตกออกจากกัน
เขาถอนหายใจพลางกล่าวว่า “สมกับที่เป็นดวงวิญญาณแห่งโชคชะตาจริง ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ยังสามารถหาหนทางรอดได้อีก! ข้าเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าขุมนรกสีโลหิตนั้นจะเป็นหนทางรอดอันน้อ อยนิดของเจ้า แต่ทว่าเจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในขุมนรกสีโลหิตได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
เขาเล่นเศษแผ่นหยกที่แตกพลางกล่าวว่า “จื่อเวย พั่วจวิน ภารกิจของพวกเจ้ายังไม่เสร็จสิ้น”
จื่อเวยกล่าวว่า “ท่านอู๋หยาจะให้พวกเราไปที่ขุมนรกสีโลหิตหรือขอรับ?”
“ใช่แล้ว ข้าต้องยืนยันการตายของนางด้วยตนเองถึงจะวางใจ อย่างไรเสียนางก็เป็นดวงวิญญาณแห่งโชคชะตาที่ได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ หากต้องการจะเอาชีวิตรอดก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย พ พวกเจ้าจะกลัวหรือไม่? เพราะที่นั่นเป็นถึงขุมนรกสีโลหิต และบางทีพวกเจ้าอาจจะไม่มีวันได้กลับมาอีกเลยก็ได้” อู๋หยากวาดตามองไปยังพวกเขาอย่างใจเย็น
“ความหมายของการมีชีวิตอยู่ของพวกเรา ก็คือการเชื่อฟังคำสั่งของท่านอู๋หยา และทำภารกิจที่ท่านอู๋หยามอบหมายให้สำเร็จลุล่วง ไม่ว่าจะต้องไปที่ใด พวกเราก็ไม่มีทางหวาดกลัวอยู่ แล้วขอรับ” จื่อเวยกล่าวด้วยความเคารพ
“ดีมาก!”
ม้วนหนังสือสีแดงเลือดสองแผ่นอยู่ในมือของพวกเขาทั้งสองคน จากนั้นอู๋หยาก็กล่าวว่า “นี่คือม้วนหนังสือที่เจ้าโลหิตแห่งขุมนรกสีโลหิตมอบให้ข้า เมื่อฉีกมันออก พวกเจ้าก็จะสามาร รถไปที่นั่นได้ โชคดีที่ข้าได้เตรียมสิ่งของเอาไว้มากมาย เพราะข้ารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าดวงวิญญาณแห่งโชคชะตานั้นจัดการได้ยาก แต่ทว่าวิธีที่จะกลับมา เจ้าทำได้เพียงแค่พึงพาตนเอ องเท่านั้น อีกอย่างเจ้าโลหิตผู้นั้นก็มีอารมณ์ที่แปลกประหลาดมากอีกด้วย”
“ขอรับ! ท่านอู๋หยา”
จื่อเวยและพั่วจวินฉีกม้วนหนังสือและจากไปทันที จากนั้นอู๋หยาก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฝากฟ้าพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาทจิ่วเยี่ย รอเมื่อไรที่ท่านตื่นขึ้นมา อู๋หยาจะเป็นคนบอกข่าวดีนี้ กับท่านเอง! คนเพียงคนเดียวที่เป็นอุปสรรค์ของท่าน คนที่สามารถคุกคามท่านได้ อู๋หยาคนนี้ได้ช่วยท่านกำจัดทิ้งไปแล้ว และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวใ ในใต้หล้า”
ปัง!
มู่เฉียนซีล้มลงไปบนพื้นดินสีแดงสด และเมื่อเหลือบไปมอง นอกจากสถานที่แห่งนี้จะมีกลิ่นเลือดที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วแล้ว ก็ยังมีกระดูกกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่งอีกด้วย
“นี่คือขุมนรกสีโลหิตอย่างนั้นหรือ!” นางกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ที่นี่แตกต่างจากคุกนรกที่นางเคยไปก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งมันก็เหมือนกับโลกที่เต็มไปด้วยคาวเลือดและการฆ่าฟันอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว
นางตกลงมาที่เทือกเขาที่ทั้งยาวทั้งกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และนางก็ไม่รู้เลยว่าขุมนรกสีโลหิตแห่งนี้ อันที่จริงแล้วกว้างใหญ่มากเพียงใดอีกด้วย
สถานที่แห่งนี้คือคุกนรกที่อันตรายที่สุดของคุกโลหิต ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องไม่ง่ายอยู่แล้ว และถึงโดยส่วนใหญ่จะแตกต่างไปจากคุกนรกแห่งอื่น ๆ แต่มันก็ยังมีส่วนที่เหมือนกับคุกน นรกแห่งอื่นอยู่ด้วย
นั่นก็คือเมื่อเข้ามาที่นี่แล้ว ก็จะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณใด ๆ ได้เลย และการจัดการกับศัตรู ก็ทำได้เพียงใช้ร่างกายในการต้านทานเท่านั้น
สำหรับนางแล้วสิ่งนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีเลยทีเดียว เพราะถ้าสามารถใช้พลังวิญญาณได้แล้วละก็ หากมีคนระดับใต้เท้าหรือระดับอ๋องอยู่ด้วย นางก็คงไม่มีทางสู้ได้อย่างแน่นอน
แต่ถ้าหากเป็นพลังในการต่อสู้ทางกายภาพแล้วละก็ นางย่อมมีความได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว
เพราะนางได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาการขัดเกลาร่างกาย จึงทำให้นางมีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดที่ไม่เลว นอกจากนี้ในมือของนางยังมียาพิษอยู่อีกหลากหลายชนิด ฉะนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับ นักโทษที่ไม่มีพลังวิญญาณเหล่านั้น นางก็น่าจะสามารถปกป้องตนเองได้
เพราะสำหรับนางแล้ว คนที่เป็นอันตรายก็คือผู้คนที่สามารถใช้พลังวิญญาณได้ต่างหาก
นอกจากนี้นางก็ไม่คิดว่าหลังจากที่นางมาถึงขุมนรกสีโลหิตแล้ว อู๋หยาจะวางใจเพราะคิดว่านางตายไปแล้วแน่นอน
แต่นางคิดว่ามันน่าจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าอู๋หยาน่าจะเริ่มแผนการขั้นต่อไปแล้ว
เนื่องจากว่าเขาเป็นถึงเทพพยากรณ์ที่สามารถคาดเดาอนาคตได้ ฉะนั้นเมื่อคนอื่นเดินไปก้าวหนึ่ง เขาก็สามารถมองเห็นไปมากกว่าหมื่นก้าว หรือแสนก้าว…