ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2430 ชื่อของมัน
ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ความเจ็บปวดที่รุนแรงทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นดำยิ่งกว่าก้นหม้อเสียอีก “เจ้าก็แรงดีอยู่เหมือนกัน! ไม่เลว…”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็รู้สึกได้ถึงแสงที่กระพริบตรงหน้า และหลังจากที่มู่เฉียนซีกวาดมือออกไป ร่างของชายที่หนักกว่านางสี่ถึงห้าเท่านั่นก็ลอยละลิ่วออกไปทันที
ตึง ตึง ตึง!
ร่างกายที่ใหญ่กำยำของเขาล้มกระแทกลงไปบนพื้น และยังไม่ทันรอให้เขาลุกขึ้นมา มู่เฉียนซีก็พุ่งทะยานเข้าไปโจมตีเขาอย่างต่อเนื่อง
“อ๊ากกก!”
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ข้าจะตายอยู่แล้ว!”
ในฐานะที่มู่เฉียนซีเป็นหมอคนหนึ่ง นางย่อมต้องรู้ตำแหน่งโจมตีที่ทำให้เขาเจ็บปวดจนทนไม่ไหวแน่นอนอยู่แล้ว
ร่างกายของคนผู้นี้ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นพลังชั้นหนึ่ง ซึ่งเขาก็แข็งแกร่งกว่าคนที่นางเจอก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่ก็ยังทนต่อการโจมตีเช่นนี้ของมู่เฉียนซีไม่ได้อยู่ดี
โรงเตี๊ยมที่มู่เฉียนซีพักอยู่แห่งนี้เริ่มคึกคักขึ้นมาทันที และบริเวณโดยรอบก็มีผู้คนมารอชมการแสดงกันอย่างล้นหลามเลยทีเดียว
และสิ่งที่ทำให้ทุกคนยากที่จะเชื่อก็คือ คนที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาเขตพวกเขากำลังถูกสาวน้อยที่งดงามคนหนึ่งทุบตีอย่างรุนแรง
กำปั้นนั้นของนางน่าจะใหญ่ไม่ถึงครึ่งของพวกเขาด้วยซ้ำ แต่กลับสามารถทุบตีท่านจางจนร้องไห้หาพ่อหาแม่ได้เลยทีเดียว
“เลิกตีได้แล้ว! หากยังตีต่อไปข้าต้องสิ้นใจตายแน่เลย” ท่านจางพยายามร้องขอความเมตตาอย่างต่อเนื่อง
“อ๋อ! ยังมีแรงร้องขอความเมตตาอยู่สินะ ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะหมดลมหายใจเลย!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหยอกล้อ
“เป็นเจ้าพวกนั้นที่ให้ข้ามาหาเจ้า เจ้าช่วยเหลือพวกเขาแล้ว แต่พวกเขากลับมีเจตนาที่ไม่ดีต่อเจ้า ทั้งยังแอบมาบอกข่าวกับข้า และต้องการหาประโยชน์จากข้า! พวกเขาต่างหากที่เป็นผู ร้ายตัวจริง ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเลยก็ต้องมาถูกเจ้าทุบตีเช่นนี้แล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ! ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้ามันหน้ามืดตามัวไปเอง อ๊ากก!”
เดิมทีคิดว่าสาวน้อยที่เพิ่งมาถึงขุมนรกสีโลหิตแห่งนี้จะจัดการได้ง่าย ใครจะคิดเล่าว่านางจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้
คาดว่านางในอดีตก็น่าจะต้องมีทักษะทางร่างกายที่โหดเหี้ยมมากอยู่แล้ว และนางต้องเป็นประเภทที่ไม่พึ่งพลังวิญญาณแน่นอน
นี่เขามองพลาดไปแล้ว เขาเชื่อใจผิดคนสินะ
เดิมทีแล้วเจ้าพวกคนเนรคุณกลุ่มนั้นก็กำลังแอบมองอยู่อีกด้านหนึ่งเช่นกัน แต่เรื่องจริงกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้อย่างสิ้นเชิง และตอนนี้ผู้สนับสนุนใหญ่ของพว วกเขาก็กำลังถูกผู้มีพระคุณของพวกเขาทุบตีอย่างสาหัสเลยทีเดียว
“พวกเราจะทำอย่างไรดี?”
“ให้ตายเถอะ! เหตุใดตอนแรกพวกเราถึงหน้ามืดตามัวตัดสินใจทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้กันนะ”
“พวกเราคือคนกลุ่มแรกที่ท่านมู่เจอในขุมนรกโลหิตแห่งนี้ หากพวกเราติดตามท่านมู่อย่างเชื่อฟัง ตอนนั้นจะไม่มีอนาคตที่สดใสได้อย่างไร ในเมื่อนางแข็งแกร่งขนาดนี้…”
“จะทำอย่างไรดีล่ะ?”
“จะไปทำอย่างไรได้อีกล่ะ? รีบหนีเร็วเข้าเถอะ! นางจัดการท่านจางเสร็จเมื่อไร ถึงเวลานั้นคนที่ต้องตายคือพวกเราแน่นอน”
ตึงง!
พวกเขาหันหลังกลับเพื่อที่จะหนี แต่ทว่ามันกลับไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น!
พวกเขาถูกสิ่งของบางอย่างทำให้สะดุดจนล้มลง และในตอนที่พวกเขาเห็นว่าตนเองสะดุดเข้ากับอะไร พวกเขาก็ต้องตกใจจนสติแตกกระเจิงไปเลยทีเดียว
“อ๊ากกก! นั่นมันหนามโลหิตนี่!”
“หนามโลหิต!”
เนื่องจากว่าพวกเขาหวาดกลัวเกินไป ดังนั้นจึงทำให้หนามโลหิตสามารถมัดพวกเขาได้ตามที่คิดเอาไว้
ไม่เพียงแต่มัดเอาไว้เท่านั้น แต่คนกลุ่มนี้ยังถูกแขวนไว้กลางอากาศอีกด้วย
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!”
“ช่วยด้วยย!”
มีผู้คนอย่างน้อยนับร้อยนับพันคนที่เฝ้าดูอยู่บริเวณโดยรอบ ทว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่เพียงเพิกเฉยต่อคำวิงวอนของพวกเขาเท่านั้น แต่กลับเฝ้าดูอย่างสนุกสนานอีกด้วย
คนของขุมนรกโลหิตส่วนใหญ่ล้วนเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น ฉะนั้นหากเจอคนที่ยอมควักดาบออกมาช่วยเหลือ ย่อมถือเป็นเรื่องที่ต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาเสียใจที่พวกเขาเคยโชคดีเจอคนที่ยอมออกโรงช่วยเหลือพวกเขาถึงขนาดนั้น แต่กลับไม่รู้จักรักษาสมบัติที่ล้ำค่าเช่นนั้นไว้ และตอนนี้…
โชคดี ที่หนามโลหิตนี้แปลกประหลาดมาก มันไม่มีทางดูดเลือดของพวกเขา ฉะนั้นพวกเขาน่าจะมีโอกาสรอดอยู่บ้าง!
ในตอนที่พวกเขากำลังคิดเช่นนั้น หลอดเลือดใหญ่ที่อยู่ตรงต้นคอของพวกเขาก็ถูกหนามแหลมของหนามโลหิตตัดออกอย่างไร้ความปรานี และเลือดของพวกเขาก็พุ่งกระฉูดออกมาราวกับน้ำพุอย่างไร อย่างนั้น
กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไม่ได้ทำให้หนามโลหิตมีความคิดใด ๆ เลย มันแค่ต้องการจะจัดการคนเหล่านี้ และข่มขู่คนอื่น ๆ เท่านั้นเอง
ใครใช้ให้บริวารตัวน้อยของมันไม่มีความน่าเกรงขามเกินไปกันล่ะ! อีกทั้งยังไม่มีความโหดร้ายเท่าที่ควรอีกด้วย
ใช่แล้ว ภายในใจของหนามโลหิตน้อยนี้ มู่เฉียนซีเป็นเพียงบริวารตัวน้อยของมันเท่านั้น ซึ่งนางก็มีหน้าที่ในการหาอาหารมาให้กับมัน
เนื่องจากเจ้าตัวน้อยนี้คุ้นเคยกับการอยู่เพียงลำพัง ฉะนั้นจึงดูเหมือนว่านี่เป็นสิ่งที่มันควรทำอยู่แล้วก็มิปาน
เป็นเพียงแค่หนามโลหิตระดับหนึ่งดาวแต่กลับโหดเหี้ยมนัก ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้คนที่เฝ้าดูอยู่โดยรอบเหล่านั้นหวาดกลัวไม่น้อยเลยทีเดียว และตอนนี้ท่านจางผู้นั้นก็ตกใจกลัวจนหมดสต ติไปแล้ว
ฉึก!
มู่เฉียนซีฝังเข็มให้เขาโดยตรง และด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจึงทำให้เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ก็เอาแต่ร้องโวยวายรบกวนคนอื่นเขาไปหมด ไปที่บ้านของเจ้าแล้วมาคุยกันดี ๆ เถอะ!”
“ตกลง!” เขาวิ่งหัวซุกหัวซุนกลับไปที่บ้านของตนเอง หลังจากนั้นเขาจึงจะรู้ตัวว่าเขาได้พาหมาป่าเข้ามาในบ้านของตนเองเสียแล้ว
“นายท่าน ก่อนหน้านี้ข้าทำให้ท่านต้องขุ่นเคืองใจจริง ๆ นี่คือหยกเฉี่ยซาทั้งหมดของข้า ท่านโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด!” ท่านจางร้องขอความเมตตาราวกับสุนัขรับใช้ไม่มีผิด นอกจากนี้ เขายังเอาหยกเฉี่ยซานับร้อยชิ้นออกมาอีกด้วย
มู่เฉียนซีกำลังขาดเจ้าสิ่งนี้อยู่พอดี ฉะนั้นนางจึงริบมันไปทั้งหมดอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
“แต่ข้ารู้สึกว่าการปล่อยเจ้าไปเช่นนี้มันจะง่ายเกินไปหน่อย” มู่เฉียนซีค่อย ๆ กล่าวอย่างช้า ๆ
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่โชคดีที่สาวน้อยผู้นี้จะเมตตาถึงขนาดนั้น ฉะนั้นเขาจึงกล่าวอย่างวิงวอนว่า “ข้าแค่อยากมีชีวิตอยู่!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เสี่ยวเฉี่ย ตัดมือข้างซ้ายของเข้าซะ!”
เสี่ยวเฉี่ย นี่นางเรียกมันอย่างนั้นหรือ?
หนามโลหิตที่ตามมาทีหลังตกตะลึงขึ้นเล็กน้อย นี่มันชื่อบ้าอะไรกัน!
เขาโกรธมากจริง ๆ ดังนั้นมันจึงอยากจะโยนมู่เฉียนซีทิ้งอย่างไม่ไยดีเลยแม้แต่น้อย
ความจริงแล้วการโจมตีของมันทั้งช้า และอ่อนแอเกินไป ฉะนั้นมู่เฉียนซีจึงจับมันได้ด้วยมือเปล่า
ชายผู้นั้นมองดูด้วยความตกตะลึง คิดไม่ถึงว่านิ้วเรียวยาวประหนึ่งหยกขาวที่ราวกับหิมะเหล่านั้น จะสามารถจับพืชกลายพันธุ์ที่ถือว่าดุร้ายที่สุดอย่างหนามโลหิตได้โดยไม่ได้รับบาดเ เจ็บเลยแม้แต่น้อย นี่ยังใช่คนอยู่หรือไม่?
มู่เฉียนซีเด็ดหนามบนร่างกายของมันออกทีล่ะอัน จากนั้นก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคิดจะต่อต้านข้าอย่างนั้นหรือ แม้แต่ข้า เจ้าก็อยากจะโจมตีอย่างนั้นสินะ!”
หนามแหลมเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของหนามโลหิตเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นทุกครั้งที่มู่เฉียนซีเด็ดมันออก รากหลักของมันก็จะเริ่มสั่นไหว นี่มันค่อนข้างเจ็บเลยนะ!
คนที่ต่อต้านคือเจ้าต่างหาก เจ้าบริวารที่น่ารังเกียจนี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าทำเช่นนี้กับข้า! หนามโลหิตบิดร่างชองมันด้วยความโกรธเคือง
ในเมื่อมู่เฉียนซีตัดสินใจที่จะเลี้ยงมัน ฉะนั้นย่อมไม่รังแกมันมากเกินไปอยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่ามันแกล้งตายและไม่สนใจคนอื่น มู่เฉียนซีจึงเรียกมันอีกครั้ง “เสี่ยวเฉี่ย”
“เสี่ยวเฉี่ย!”
หลังจากนั้นกิ่งก้านของเจ้าหมอนี่ก็บินว่อนอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่ามันต้องการที่จะระเบิดพลังออกมาอย่างไรอย่างนั้น
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย “ที่แท้เจ้าก็ไม่ชอบชื่อนี้นี่เองสินะ!”
เจ้าบริวารโง่เง่า ในที่สุดก็รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหนแล้วสินะ ข้ารู้สึกปลื้มใจจริง ๆ ยังไม่รีบขอโทษข้าอีก
คำพูดของมู่เฉียนซีได้ทำให้หนามโลหิตสงบลงทันที และมู่เฉียนซีก็ได้รู้ว่าสติปัญญาของมันไม่สามารถเทียบได้กับหนามโลหิตระดับหนึ่งดาวทั่วไป
คิดไม่ถึงว่าหนามโลหิตระดับหนึ่งดาวจะเข้าใจมนุษย์เช่นนี้ นางไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆ!
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างหยอกล้อว่า “เจ้าไม่ชอบที่ข้าเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเฉี่ย เช่นนั้นก็เรียกเจ้าว่าเฉี่ยเอ้อร์ หรือว่าหงเอ้อร์…”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของมู่เฉียนซี ถ้าหนามโลหิตมีตาเป็นของตนเองแล้วละก็ มันจะต้องกลอกตาไปมาและแสร้งเป็นลมไปอย่างแน่นอน
นี่มันชื่ออะไรกันแน่! ทำไมมันถึงดูเหมือนผู้หญิงเช่นนี้ มันเป็นเพศผู้นะ
ผลปรากฏว่าหนามโลหิตโมโหมากกว่าเดิมเสียอีก แต่ทว่ามันเพิ่งจะหนึ่งดาวเท่านั้น ฉะนั้นมันจะเอาชนะมู่เฉียนซีได้อย่างไรกัน?
มู่เฉียนซีกล่าวกับมันว่า “อย่างไรเสียข้าก็คิดได้แค่ชื่อเหล่านี้เท่านั้นแหละ เจ้าชอบอันไหน ก็เลือกมาสักชื่อเถอะ! ข้ารู้ว่าเจ้าสามารถเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดได้”