ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2439 หาเจอแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาอย่างนั้นหรือ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“ความสามารถของพวกเขาแข็งแกร่งมาก ถึงทุกคนจะร่วมมือกันก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้ อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่ใช่คนอย่างนั้นหรือ?” ฉางเฟยกล่าวอย่างหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซีไปหาพืชกลายพันธุ์ที่อันตราย ซึ่งสถานที่แห่งนั้นมีคนน้อยมาก แต่จื่อเวยและพั่วจวินที่ต้องการฆ่ามู่เฉียนซี กลับไปยังสถานที่ที่มีคนไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งมันก็บังเอิญมาก ที่พวกเขาพลาดไป
แต่ทว่าคนอื่นกลับถูกจื่อเวยและพั่วจวินที่บ้าคลั่งสังหารอย่างน่าอนาถแทน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าจะไปดูที่ยอดเขา พวกเจ้ารีบถอยออกไปก่อนเถอะ!”
“อะไรนะ? ลูกพี่ ถึงแม้ว่าท่านจะเก่งกาจ แต่ว่าอีกฝ่ายมีตั้งสองคน และพวกเขาก็อันตรายมากนะขอรับ” เขารู้สึกแม้กระทั่งว่า คนสองคนนั้นแข็งแกร่งกว่าลูกพี่มากมายนัก แต่เขาไม่กล ล้าพูดคำเหล่านี้ออกมาอย่างแน่นอน
“นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการฆ่าพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาดันมาสิ้นเปลืองพลังในการฆ่าคนอื่นก่อนที่จะหาข้าเจอเสียอย่างนั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมั่นใจในตนเองมากเลยสินะ!” มู่เฉียน ซีกล่าวอย่างเคร่งขรึม
นางพุ่งตรงขึ้นที่ยังยอดเขา ซึ่งบนยอดเขานั้นก็มีซากศพกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
พลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีกำหนดเป้าไว้ที่พวกเขาอยู่ตลอดเวลา และหลังจากที่ไต่ขึ้นมาถึงยอดเขาแล้ว นางก็ตรงไปยังตำแหน่งของพวกเขาในทันที
“พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว เป็นจื่อเวยกับพั่วจวินใช่หรือไม่?” มุมปากของมู่เฉียนซีคลี่ยิ้มเล็กน้อย พลางจ้องมองไปยังชายที่อยู่เบื้องหน้าทั้งสองคน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! หาเจอแล้ว ในที่สุดก็หาเจ้าเจอแล้ว” เมื่อเห็นมู่เฉียนซี พั่วจวินก็หัวเราะขึ้นมาทันที
จื่อเวยพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เจ้าอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย”
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
มู่เฉียนซีลงมือทันที และเข็มยาจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งตรงไปทางพวกเขา
ร่างของจื่อเวยและพั่วจวินหายไปต่อหน้าต่อตามู่เฉียนซีอย่างฉับพลัน “คิดว่าพวกเราใช้พลังวิญญาณไม่ได้ เจ้าเลยกล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราอย่างนั้นหรือ นี่เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้วจร ริง ๆ”
ปัง ปัง ปัง!
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันแบบสองต่อหนึ่ง!
“พวกเจ้าเองก็ดูถูกข้าเกินไปเช่นกัน!”
ตูมมม!
ความเร็วของทั้งสามคนรวดเร็วมาก พวกเขาอาศัยเพียงการระเบิดพลังทางกายภาพ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีพลังในการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ซึ่งมันก็ทำให้พวกคนที่เหลือต้องตกตะลึงจน นอ้าปากค้างไปเลยทีเดียว
ร่างกายของมู่เฉียนซีผ่านการขัดเกลาด้วยอัสนีบาตมานับไม่ถ้วน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นดาบที่อู๋หยาบ่มเพาะออกมา แต่ทว่าความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกเขาก็ไม่อาจสู้มู่เฉียนซีได้ ฉะนั้น การทำร้ายมู่เฉียนซีจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
และสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่ารับมือได้ยากยิ่งขึ้นไปอีกก็คือพิษของมู่เฉียนซี เพราะหากปล่อยให้มู่เฉียนซีมีโอกาสเข้าใกล้ มู่เฉียนซีก็จะต้อนรับด้วยเข็มพิษและผงพิษอย่างไม่เก กรงใจเลยแม้แต่น้อย
หากพวกเขามีพลังวิญญาณ ก็จะสามารถใช้พลังวิญญาณป้องกันร่างกายและสกัดกั้นพิษเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าตอนนี้ไม่สามารถ…
ตูมม โครมมม!
การต่อสู้ของทั้งสามคนจะน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว ส่วนคนที่หนีรอดออกมาจากปากเสือได้เหล่านั้นก็เฝ้าดูฉากนี้ด้วยความตื่นตะลึง
“พวกเขา…พวกเขาทั้งสามคนเป็นใครกันแน่? อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้มีชื่ออยู่บนรายชื่อหมื่นโลหิตมิใช่หรือ?”
“พวกเขาดูราวกับว่าปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่าก็มิปาน หรือว่าพวกเขาเป็นคนที่เพิ่งจะเข้ามาในขุมนรกสีโลหิตได้ไม่นานอย่างนั้นหรือ?”
“คนที่เพิ่งเข้ามาในขุมนรกสีโลหิต จะวิปลาสขนาดนี้ได้อย่างไร ถึงจะตีข้าให้ตายข้าก็ไม่เชื่ออยู่ดี!”
เพราะความเร็วมาถึงจุดสูงสุด มันจึงทำให้คนที่เฝ้ามองอยู่ต้องตาพร่าเลือนไปเลยทีเดียว
เข็มยาเข็มหนึ่งข่วนไปบนผิวหนังตรงหลังมือของพั่วจวิน เขานี่ช่างไม่ระมัดระวังเลยจริง ๆ
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ใครใช้ให้เจ้ามารังแกทานหลางกันละ คราวนี้เจ้าจบแห่แน่”
พั่วจวินกล่าวว่า “ท่านอู๋หยาให้พวกเราใช้สมุนไพรวิญญาณชนิดต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นร่างกายของพวกเราล้วนมีภูมิคุ้มกันพิษนับร้อยชนิดมาตั้งแต่เเรกแล้ว เจ้าคิดว่าพิษของเจ้าจะท ทำอะไรข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ทั้งเรื่องการทำนายชะตา หรือเรื่องการคำนวณแผนการ ข้าสู้อู๋หยาไม่ได้จริง ๆ แต่ทว่าเรื่องการกลั่นยา ในโลกนี้คิดว่าแม้จะเป็นอู๋หยาก็คงไม่เ เชี่ยวชาญเท่าข้าหรอก!”
“ฉะนั้น! ก็จงอย่ามั่นใจในตัวท่านอู๋หยาของพวกเจ้ามากจนเกินไปนักเลย มิเช่นนั้นอาจจะต้องตายอย่างน่าสังเวชก็เป็นได้!”
พรวด!
พั่วจวินกระอักเลือดออกมา และหลังจากนั้นริมฝีปากของเขาก็กลายเป็นสีดำ
แค่ความประมาทเพียงชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่ามันจะทำให้เขาโดนพิษเข้าเสียแล้ว
จื่อเวยกล่าวว่า “พั่วจวิน เจ้าถอยไปก่อน! เจ้าประมาทเกินไปแล้ว คนที่ท่านอู๋หยาต้องการจัดการ จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร”
และคนผู้นี้ก็ไม่ได้เป็นเพียงคนที่ท่านอู๋หยาต้องการจัดการเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่ฝ่าบาทจิ่วเยี่ยชอบอีกด้วย ดังนั้นนางต้องยิ่งไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
แม้ว่าพั่วจวินจะสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปแล้ว แต่จื่อเวยก็ยังคงใจเย็นและสงบอยู่มาก
เขากล่าวกับมู่เฉียนซีว่า “ทั้งการต่อสู้ระยะประชิด ความเร็ว พลังป้องกันทางกายภาพและพิษของเจ้าช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ แต่ทว่าตอนที่ท่านอู๋หยาให้พวกข้ามาที่นี่ เขาก็ได้คำนวณจุดนี เอาไว้แล้ว และหากพวกเราที่ไม่มีพลังวิญญาณไร้ประโยชน์เกินไปจนไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ เช่นนั้นก็ให้ใช้สิ่งนี้…”
จื่อเวยได้โยนหินหยกใสรูปห้าเหลี่ยมออกมาชิ้นหนึ่ง เมื่อมีเสียงดัง แกร่ก! หยกชิ้นนี้ก็แตกออก และเผยให้เห็นเมล็ดสีดำที่อยู่ด้านใน
หลังจากนั้นเจ้าเมล็ดสีดำนี้ก็ขยายใหญ่ขึ้นไปในอากาศ…
เสี่ยวเฉี่ยกล่าวกับมู่เฉียนซีอย่างร้อนรนว่า “เถาวัลย์กลืนปีศาจ มันคือพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาวเถาวัลย์กลืนปีศาจ มันถูกคนใช้ผนึกผนึกมันเอาไว้จนกลายเป็นเมล็ด และหากผนึกแตก ออก มันก็จะมีพลังถึงขั้นสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว เพราะที่ขุมนรกโลหิตแห่งนี้เป็นแหล่งพลังชั้นยอดเลยล่ะ”
ตอนนี้มันเพิ่งจะห้าดาวเท่านั้น แต่ดันมีเจ้าตัวเจ็ดดาวนี่โผล่มาเสียได้ ซึ่งมันก็ไม่รู้เลยว่าจะปกป้องบริวารน้อยผู้นี้ได้อย่างไร
จื่อเวยกล่าวว่า “นี่คือพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาว มู่เฉียนซี ไม่ว่าเกาะป้องกันทางกายภาพของเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่วันนี้เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน เพราะท่านอู๋หยามีสติปัญญาที่ ลึกล้ำดั่งเทพ และเจ้าก็ยากที่จะหนีโชคชะตาพ้น ฉะนั้นเหตุใดเจ้าถึงต้องฝืนคำพิพากษาแห่งโชคชะตาด้วยเล่า?”
“ตอนนี้พั่วจวินถูกวางยาพิษแล้ว ฉะนั้นหากเจ้ากล้าโจมตีข้า เขาก็จะต้องถูกฝังไปพร้อมกับข้าแน่” มู่เฉียนซีกล่าว
“แล้วยังไงล่ะ?” จื่อเวยโต้ตอบ
พั่วจวินกล่าวว่า “ตราบใดที่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ แม้ว่าจะเป็นความตาย ขอเพียงทำให้ท่านอู๋หยาพึงพอใจได้ เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว! เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวตายอย่างนั้นหรือ”
เนื่องจากคำสั่งของอู๋หยาคือทุกสิ่ง จึงทำให้เจ้าสองคนนี้ไม่กลัวตายเลยสักนิด ซึ่งก็สามารถเห็นได้ชัดว่าการข่มขู่ของมู่เฉียนซีไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
เสี่ยวเฉี่ยกล่าวว่า “ข้าจะต้องบรรลุเป็นพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาวให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นเจ้าได้ตายแน่ ถึงผนึกของเถาวัลย์กลืนปีศาจนั้นจะคลายออกแล้วแต่กว่ามันจะตื่นก็ต้องใช ช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่ไม่นาน...”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “มีแต่ต้องสู้แล้วล่ะ!”
“ต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าเถาวัลย์กลืนปีศาจนี้จะคลายผนึกได้ ฉะนั้นข้าจะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง! แต่ถึงตอนนี้เจ้าคงจะหวาดกลัวมาก เช่นนั้นก็อย่าทำให้การปล่อยเถาวัลย์กลืนปีศา าจออกมาของข้าต้องเสียแรงเปล่า เหตุเพราะเจ้าถูกข้าฆ่าตายไปเสียก่อนล่ะ” จื่อเวยกระซิบกล่าว
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาว แต่ข้าก็สามารถฆ่าเจ้าก่อนได้อยู่ดี!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา
เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว!
ในเวลานี้เอง พืชกลายพันธุ์จำนวนนับไม่ถ้วนได้พุ่งเข้าใส่จื่อเวย
จื่อเวยกล่าวอย่างประหลาดใจเล็กน้อยว่า “เจ้าสามารถควบคุมพืชกลายพันธุ์ได้ด้วยอย่างนั้นหรือ!”
“พระเจ้า! พืชกลายพันธุ์จะมากมายอะไรขนาดนั้น” คนอื่น ๆ ต่างก็ตื่นตกใจเช่นกัน
ในเมื่อมีพืชกลายพันธุ์เหล่านั้นไปต่อสู้กับจื่อเวยและพั่วจวิน จึงทำให้ตอนนี้มู่เฉียนซีไม่จำเป็นต้องต่อสู้เองอีกแล้ว นางเหลือบมองไปที่คนเหล่านั้นพลางกล่าวว่า “นั่นคือเถาวัลย์กล ลืนปีศาจ ซึ่งคนที่เคยศึกษาเรื่องพืชกลายพันธุ์มาจะต้องเคยได้ยินมาก่อนอยู่แล้ว มันเป็นพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาว หากมันระเบิดพลังออกมาอย่างสมบูรณ์ คนที่อยู่ในยอดเขาหมื่นโลหิต ตทั้งหมด จะต้องกลายเป็นอาหารของมัน และอย่าหวังว่าจะรอดไปได้เลย”
สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นขาวซีดราวกับกระดาษ พวกเขาไม่อยากตาย นี่พวกเขาจะโชคร้ายเกินไปแล้วนะ!
ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาโอกาสเข้าในยอดเขาหมื่นโลหิตได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าบนยอดเขาหมื่นโลหิตจะมีคนที่วิปลาสกลุ่มนี้ปรากฏตัวขึ้นมา
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “จงมอบไขกระดูกวิญญาณเฉี่ยซาที่พวกเจ้าเก็บรวบรวมมาได้ออกมาให้หมด เร็วเข้า ข้ามีวิธีเดียวที่จะทำให้รอดไปได้ หากพวกเขาไม่อยากตายแล้วละก็ เช่นนั้นก็มีแต่ต ต้องยอมเท่านั้น”
เสี่ยวเฉี่ยสั่งให้หนามโลหิตตัวอื่น ๆ ไปรวบรวมไขกระดูกวิญญาณเฉี่ยซาที่อยู่บนยอดเขาหมื่นโลหิตมาให้ทั้งหมดแล้ว แม้ว่าไขกระดูกวิญญาณเฉี่ยซาของคนอื่นจะมีจำนวนน้อย แต่ก็ต้องการเช ช่นกัน
ฉางเฟยกล่าวว่า “นี่มันฆ่าคนได้จริง ๆ นะ! หรือว่าไขกระดูกวิญญาณเฉี่ยซาสำคัญกว่าชีวิตพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ? นี่คือลูกพี่ของข้า นางไม่มีทางหลอกพวกเจ้าแน่นอน มีเพียงแค่นางเท่านั นที่สามารถจัดการมนุษย์โหดร้ายทั้งสองคนนี้ได้”