ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2440 ความพิเศษของเสี่ยวเฉี่ย
ถึงความสามารถของมู่เฉียนซีจะแข็งแกร่ง แต่ก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขาอยู่ดี
แต่พวกเขารู้จักฉางเฟย!
“เขาคือฉางเฟยที่อยู่ในลำดับที่สิบของรายชื่อหมื่นโลหิตนี่!”
“คนที่อยู่ในสิบอันดับแรกมีเขารอดอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นล้วนถูกเจ้าบ้าทั้งสองคนนั้นฆ่าตายไปหมดแล้ว”
“แม้แต่ฉางเฟยยังพูดเช่นนี้เลย พวกเราทำได้เพียงแค่เชื่อเขาแล้วล่ะ ยังไงข้าก็ยังไม่อยากตายอยู่ดี”
บนยอดเขาหมื่นโลหิตแห่งนี้นอกจากซากศพแล้วก็มีเพียงซากศพเท่านั้น และพวกเขาก็ไม่อยากกลายเป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ตกลง!”
มู่เฉียนซีได้รับไขกระดูกวิญญาณเฉี่ยซามามากมาย จากนั้นนางก็ฉวยโอกาสตอนที่เถาวัลย์กลืนปีศาจยังไม่เติบโตอย่างเต็มที่เริ่มกลั่นยาทันที
“นางบ้าไปแล้วหรือ นี่นางกำลังทำอะไรกันแน่?”
พวกเขาเห็นว่ามู่เฉียนซีใช้ไขกระดูกวิญญาณเฉี่ยซามากมายเช่นนั้นในคราวเดียว ถ้ามันเกิดเสียเปล่า พวกเขาจะต้องเจ็บปวดใจมากแน่นอน และพวกเขาก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ อมากจริง ๆ
พลังของไขกระดูกวิญญาณเฉี่ยซาไม่ใช่สิ่งที่หยกเฉี่ยซาธรรมดาจะสามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว ตอนนี้มู่เฉียนซีเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งแม้แต่พวกเขาเองก็ยังมองการเคลื่อนไหวของมู่ เฉียนซีไม่ทันเลยด้วยซ้ำ และตอนนี้มู่เฉียนซีก็กลั่นยาออกมาเรียบร้อยแล้ว
เสี่ยวเฉี่ยอยากที่จะพุ่งทะยานเข้าไป มันรู้สึกว่าพลังที่สะสมอยู่ของยานี้สามารถช่วยให้มันเลื่อนขั้นได้
มู่เฉียนซีคว้ามันเอาไว้พลางกล่าวว่า “เสี่ยวเฉี่ย ถึงตอนนี้จะเป็นสถานการณ์ที่เร่งด่วนมากก็ตาม แต่เจ้าก็ต้องคิดมันให้ดีเสียก่อน ข้าไม่กล้ารับประกันว่ามันจะไม่มีผลข้างเคียงเลย ยแม้แต่น้อย ฉะนั้นเจ้าแน่ใจว่าอยากจะเลื่อนขั้นในคราวเดียวใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเฉี่ยกล่าวว่า “ตอนนี้ไม่มีหนทางอื่นแล้ว หรือเจ้าจะให้ข้าทิ้งบริวารน้อยของตนเองแล้วหนีไปหรือ นั่นมันไร้ยางอายเกินไป ข้าไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้หรอก ข้าต้องการ รที่จะแข็งแกร่งขึ้น และเอาชนะเจ้าหมอนั่นให้ได้”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี! ไปเถอะ!” มู่เฉียนซีคลายมือออก
นางเองก็ไม่ยอมถูกอู๋หยาปองร้ายเช่นกัน หากไม่อยากตายอยู่ที่นี่ นางก็จำเป็นต้องลองพยายามสู้ดูสักตั้ง
เสี่ยวเฉี่ยดูดซับยาเหล่านั้นจนแห้งเหือดอย่างบ้าคลั่ง แต่ทว่าพลังนี้เพียงพอแค่ให้มันเลื่อนขั้นไปถึงพืชกลายพันธุ์ระดับหกเท่านั้น มันยังไม่พอ!
หลังจากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้นำไขกระดูกวิญญาณเฉี่ยซาที่เหลือทั้งหมดมากลั่นยาทันที
ทุกคนไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ พวกเขาคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะทำให้พืชกลายพันธุ์ระดับห้าดาวเลื่อนขั้นกลายเป็นพืชกลายพันธุ์ระดับหกดาวได้ภายในพริบตาเดียว
หรือกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า ต่อไปนางต้องการที่จะทำให้พืชกลายพันธุ์ระดับหกดาวนี้เลื่อนขั้นเป็นพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาวนั่นเอง
มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
พืชกลายพันธุ์สามารถเลื่อนขั้นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ซึ่งพวกเขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในความฝันก็มิปาน
ตูมมม!
ในตอนที่เสี่ยวเฉี่ยเลื่อนขั้นเป็นพืชกลายพันธุ์ระดับหกได้สำเร็จ จื่อเวยก็ได้ถูกพืชกลายพันธุ์ชนิดต่าง ๆ โจมตีจนได้รับบาดเจ็บ และในตอนนี้พืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาวอย่างเถาวัลย ย์กลืนปีศาจก็ได้ระเบิดพลังที่แข็งแกร่งออกมา ซึ่งการคุกคามนี้ก็ทำให้พืชกลายพันธุ์เหล่านั้นไม่กล้าที่จะโจมตีจื่อเวยอีกแล้ว
สีหน้าของจื่อเวยมืดมนลงทันที “คิดไม่ถึงเลยว่า เจ้าคิดจะทำให้หนามโลหิตนี้เลื่อนขั้นเป็นระดับเจ็ดดาว ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าทำสำเร็จอย่างแน่นอน”
เถาวัลย์กลืนปีศาจใกล้ที่จะทำการโจมตีได้แล้ว ซึ่งเขาก็ไม่ต้องการให้มู่เฉียนซีมีโอกาสใด ๆ ทั้งนั้น ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะเข้าไปขัดขวางการกลั่นยาของมู่เฉียนซี
ฉางเฟยกล่าวว่า “ขวางเขาเอาไว้ มีเพียงความสำเร็จของลูกพี่ถึงจะทำให้พวกเรามีชีวิตรอดได้ มิเช่นนั้นพวกเราได้ตายกันหมดแน่!”
“ขวางเขาเอาไว้!”
เนื่องจากว่าเมื่อครู่จื่อเวยได้สังหารคนไปมากเกินไป แน่นอนว่ามันทำให้คนเหล่านี้หวาดกลัวเขา แต่ตอนนี้พวกเขาต่างก็ถูกสถานการณ์บีบบังคับ และเพื่อความหวังอันน้อยนิดนั้น พวกเขาจ จึงพยายามรักษามันไว้อย่างสุดชีวิต
“ไสหัวไปซะ!”
แน่นอนว่านักโทษเหล่านี้เข้าไปขวางเขาเอาไว้อย่างไม่กลัวตาย ซึ่งมันก็ทำให้สีหน้าของจื่อเวยบูดบึ้งเป็นอย่างมาก
มู่เฉียนซีได้ผลาญไขกระดูกวิญญาณเฉี่ยซาที่มีไปทั้งหมด และกลั่นออกมาเป็นยาได้จำนวนมาก จากนั้นก็กล่าวกับเสี่ยวเฉี่ยว่า “เสี่ยวเฉี่ย เร็วเข้า…”
นางรู้สึกว่าเถาวัลย์กลืนปีศาจนั้นเริ่มอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว!
“อื้ม!”
หลังจากที่มันดูดซับยาทั้งหมดไปแล้ว ร่างของมันก็ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยลำแสงสีแดงสด
ตอนนี้มู่เฉียนซีจึงพุ่งทะยานออกไปแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าว่างพอที่จะมาสู้กับเจ้าแล้ว จื่อเวย”
“พวกเจ้าทั้งหมดจงถอยออกไปจากที่นี่ซะ ออกไปให้ไกลได้เท่าไรยิ่งดี ไปเร็ว!” มู่เฉียนซีกล่าวกับพวกของฉางเฟย
จื่อเวยกล่าวว่า “มู่เฉียนซี เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว เพราะหนามโลหิตนั่นของเจ้า คาดว่าน่าจะไม่มีทางเลื่อนขั้นมาช่วยเจ้าได้แน่นอน! การที่เจ้าจะฝืนบังคับให้พืชกลายพันธุ์ ระดับห้าดาวตัวหนึ่งเลื่อนขั้นเป็นระดับเจ็ดดาวได้ภายในเวลาอันสั้น มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว”
ตอนนี้จื่อเวยได้รับบาดเจ็บ และหากเผชิญหน้ากับมู่เฉียนซีเขาก็ต้องเสียเปรียบอย่างสมบูรณ์
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้จื่อเวยรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะตอนที่อยู่คุกโลหิตก่อนหน้านี้ มู่เฉียนซีถือว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้เนื่องจากไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้ จึงทำให้พลังในการต่อสู้ของมู่เฉียนซีเหนือกว่าเขา
แต่แล้วมันอย่างไรล่ะ? คนที่ถูกกำหนดมาให้ต้องตาย ก็จะต้องตายอย่างแน่นอน
เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว!
ทันใดนั้น สายลมยะเยือกที่น่าสะพรึงกลัวก็แผดเสียงดังกึกก้องออกมา
นัยน์ตาของมู่เฉียนซีหดตัวลงอย่างกะทันหัน เถาวัลย์กลืนปีศาจเริ่มโจมตีแล้ว
แต่มู่เฉียนซีทำราวกับว่าไม่สังเกตเห็นมันก็มิปาน และนางก็ยังคงไล่ล่าจื่อเวยอย่างดุเดือดต่อไป
ฉัวะ!
และทันใดนั้นต้นแขนของจื่อเวยก็มีรอยแผลที่ลึกถึงกระดูกปรากฏขึ้นมา
ตูมมมม!
ในตอนที่เถาวัลย์ปลิดชีพของเถาวัลย์กลืนปีศาจกำลังพุ่งเข้ามาโจมตีมู่เฉียนซี ก็ได้มีพลังสีฟ้าอ่อนขวางการโจมตีของมันเอาไว้
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “สุ่ยจิงอิ๋ง เจ้าตื่นแล้วหรือ!”
“ภารกิจของข้าคือการปกป้องซีเอ๋อร์ หากซีเอ๋อร์มีอันตราย ข้าจะตื่นขึ้นมาด้วยตนเอง แต่พลังของข้ายังฟื้นตัวมาได้ไม่มากเท่าไรนัก…”
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
เถาวัลย์ที่พุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้ง ได้กลายเป็นความว่างเปล่า
แต่เถาวัลย์ที่ถูกทำลายไปเหล่านี้ กลับไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่เถาวัลย์กลืนปีศาจมากเท่าไรนัก
เถาวัลย์กลืนปีศาจพุ่งเข้าโจมตีมู่เฉียนซีอีกครั้ง และการโจมตีในครั้งนี้ก็มีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
ปัง!
ถึงการโจมตีของมันจะรุนแรงแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำลายเกาะป้องกันของผู้พิทักษ์นิรันดร์ได้อยู่ดี
คราวนี้มันถูกโจมตีอย่างรุนแรงมากขึ้นไปอีก ซึ่งนี่ก็ทำให้มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของจื่อเวยทันที “สองครั้งแล้ว!”
ครั้งสุดท้ายแล้ว!
และทันใดนั้นรอยยิ้มของเขาก็ต้องหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะในตอนที่เถาวัลย์กลืนปีศาจกำลังโจมตี มันก็ได้ถูกหนามโลหิตสีแดงสดเข้ามาพัวพันเอาไว้เสียก่อน
จื่อเวยไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ หนามโลหิตนั่น คิดไม่ถึงว่าหนามโลหิตนั่นจะกลายเป็นพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาวได้จริง ๆ
ไม่เพียงแต่กลายเป็นพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาวเท่านั้น แต่พลังในการต่อสู้ที่ระเบิดออกมาของมันยังเทียบเท่ากับเถาวัลย์กลืนปีศาจได้อีกด้วย
สีหน้าของมู่เฉียนซีเปล่งประกายด้วยความดีใจ นางกล่าวว่า “จื่อเวย หากเจ้ามีเพียงพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาวนี้เพียงตัวเดียวแล้วละก็ คราวนี้ ภารกิจของพวกเจ้าได้ล้มเหลวอีกแน่ แล ละจุดจบของเจ้า ก็คือความตายเท่านั้น!”
นางค้นพบว่าเสี่ยวเฉี่ยไม่เหมือนกับหนามโลหิตที่นางเคยเจอก่อนหน้านี้ สีของมันมีความแวววาวมากเป็นพิเศษ และนอกจากนี้กิ่งก้านของมันยังส่องประกายแวววาวราวกับสีของทับทิม อีกทั้ง งยังมีความสามารถที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย
เกรงว่าแม้แต่เฉี่ยอี้ที่อยู่ในสภาวะสูงสุด ก็คงไม่สามารถเทียบกับเสี่ยวเฉี่ยที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นได้เลยด้วยซ้ำ
เสี่ยวเฉี่ยไม่ใช่หนามโลหิตธรรมดาจริง ๆ ด้วยสินะ!
จื่อเวยกล่าวว่า “พั่วจวิน พยายามทุกวิถีทางเพื่อหยุดผู้หญิงคนนี้เอาไว้ให้ได้ หากพวกเราตายไป ภารกิจนี้ก็จะต้องล้มเหลว และท่านอู๋หยาก็จะต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
ถึงจะรู้ว่าตนเองยากที่จะหนีไปได้ แต่จื่อเวยก็ยังคงไม่ยอมแพ้ และทำได้เพียงเสียสละพั่วจวินเท่านั้น
พั่วจวินเป็นเหมือนหุ่นเชิดที่ไม่มีความรู้สึกอย่างไรอย่างนั้น เขากล่าวอย่างไม่กลัวตายเลยสักนิดว่า “ตกลง! แต่เจ้าต้องรับปากข้า ว่าจะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จให้ได้ มิเช่นนั้น …มิเช่นนั้นก็ดูเหมือนว่าข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้เหมือนกัน”
พั่วจวินพุ่งทะยานไปทางมู่เฉียนซีอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้ว่าพิษจะซึมลึกเข้าไปในกระดูกแล้ว แต่เขาก็ยังคงลงมือโจมตีมู่เฉียนซีอย่างรุนแรงราวกับไม่กลัวตายอย่างไรอย่างนั้น
ปัง ปัง ปัง!
ในเมื่อมีพั่วจวินมาต่อสู้กับมู่เฉียนซีแทนแล้ว จื่อเวยจึงใช้โอกาสนี้หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
“มู่เฉียนซี ไว้เจอกันใหม่คราวหน้า แม้ว่าเจ้าจะมีพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาว ข้าก็สามารถฆ่าเจ้าได้อยู่ดี! และข้าจะต้องทำภารกิจที่ท่านอู๋หยามอบให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน!” จื่อเว วยกล่าวอย่างเคร่งขรึม