ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2446 การตอบสนองซึ่งกันและกัน
“แน่นอนอยู่แล้ว รอหลังจากที่พวกเราออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไร เจ้าตัวน้อยก็จะได้รู้ว่าข้านั้นยอดเยี่ยมมากเพียงใด” ฝูเซิงกล่าวด้วยท่าทางภาคภูมิใจ และมันช่างเหมือนกันเสี่ยวเฉี่ย ทุกประการเลยทีเดียว
“โอ้! เช่นนั้นข้าจะตั้งตารอก็แล้วกัน!” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
“ที่ข้ามาหาเจ้าตัวน้อยในคราวนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญที่จะมาบอกเจ้า ตอนนี้ผลอสูรเพลิงกำลังจะสุกแล้ว และผลไม้นี้ไม่เพียงแต่มีผลต่อประสิทธิภาพร่างดับเปลวเพลิงของเจ้าเป็นอย่างมาก กเท่านั้น แต่มันยังสามารถช่วยให้ความสามารถของเจ้าหมอนี่ยกระดับไปถึงขั้นเทวะได้อีกด้วย ดังนั้นข้าจึงต้องการให้เจ้าไปที่เขาซิวหลัว เพื่อไปแย่งชิงผลอสูรเพลิงมาให้ได้” ฝูเซิงก กล่าวกับมู่เฉียนซี
“คิดไม่ถึงเลยว่าที่ขุมนรกสีโลหิตจะมีผลอสูรเพลิงด้วย เจ้าสิ่งนี้ถือว่าเป็นสมุนไพรวิญญาณที่อันตรายมาก หากใช้อย่างดีก็จะมีประโยชน์ต่อคนใช้ไม่สิ้นสุด แต่หากใช้ไม่ดีแล้วละก็ อาจ จจะทำให้ตายอย่างน่าสังเวชได้เลย” ในฐานะที่เป็นเจ้านายของหม้อวิญญาณนิรันดร์ มู่เฉียนซีย่อมต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของผลอสูรเพลิงอยู่แล้ว
“ถูกต้อง! แต่ข้ารู้สึกว่าสำหรับพวกเจ้าแล้ว มันไม่ค่อยอันตรายเท่าไรนัก! และนี่ก็เป็นวิธีที่จะทำให้มันกลายเป็นพืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะที่เร็วที่สุดแล้ว หากไม่ใช้ทางลัดนี้แล้ วละก็ เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร นอกจากนี้ข้าก็ทนกับสถานที่บ้า ๆ นี่มามากเกินพอแล้ว และยังทนกับเจ้าวิปลาสนั่นมาเกินพอแล้วด้วย”
ช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้ ย่อมต้องใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อคว้าเอาไว้ แต่ทว่า…
มู่เฉียนซีจ้องมองไปยังชายรูปงามที่อยู่ตรงหน้าพลางกล่าวว่า “ขนาดเจ้าเองยังค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นทีละขั้น ถึงจะกลายเป็นพืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะได้ แต่เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเสี่ยว วเฉี่ยจะสามารถเลื่อนขั้นได้ไวขนาดนั้น? แล้วมันจะไม่เกิดปัญหาอย่างนั้นหรือ?”
รอยยิ้มที่เจิดจรัสปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา “นี่เจ้าเป็นห่วงมันสินะ! วางใจเถอะ! พืชกลายพันธุ์อื่นสามารถเลื่อนได้ทีละขั้นเท่านั้น และหากได้รับพลังมากถึงขีดสุดภายในระยะเวลา อันสั้น จนกลายเป็นพืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะ มันคงได้ระเบิดไปนานแล้ว แต่เจ้าวางใจเถอะ เขาไม่มีทางเกิดปัญหาใด ๆ แน่นอน เพราะข้ารู้จักเขาดีกว่าใคร ๆ เลยล่ะ”
มู่เฉียนซีไม่เชื่อเจ้าหมอนี่เลยสักนิด นางมองไปทางเสี่ยวเฉี่ยแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวเฉี่ย เจ้ามีอะไรที่อยากจะพูดหรือไม่?”
เสี่ยวเฉี่ยกล่าวตอบว่า “ที่เข้าพูดมาก็ถูกต้องแล้ว ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าก็อยากออกไปมากมิใช่หรือ? ฉะนั้นก็อย่ามัวอืดอาดอยู่เลย”
“เช่นนั้นก็ดี พวกเราไปแย่งชิงผลอสูรเพลิงกันเถอะ” มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว
ผลอสูรเพลิงเกือบจะสุกแล้ว และสิ่งของที่ดีเช่นนี้ ไม่ได้มีเพียงแต่นักโทษของขุมนรกสีโลหิตเท่านั้นที่ต้องการ เพราะแม้แต่ผู้คุมก็เข้าร่วมการแย่งชิงในครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน
การแย่งชิงในครั้งนี้ ถูกกำหนดให้มีความรุนแรงยิ่งกว่าที่ยอดเขาหมื่นโลหิตหลายสิบเท่านัก
ถึงปรมาจารย์หลานจะรู้ว่ามู่เฉียนซีกลายเป็นคนแรกที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาร่างดับเปลวเพลิงได้สำเร็จ และค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้น และมีอนาคตที่สดใส แต่เขากลับไม่คิดมาก่อนเลยว่า แม้สาวนี ผู้นี้จะกล้าหาญถึงขนาดไปแย่งชิงผลอสูรเพลิงด้วย
ปรมาจารย์หลานกล่าวว่า “ถึงผลอสูรเพลิงจะมีประโยชน์ต่อเจ้ามาก แต่การที่จะไปแย่งชิงกับคนที่แข็งแกร่งมากมายขนาดนั้น มันอันตรายมากเกินไปจริง ๆ เจ้าอายุยังน้อยอย่าเพิ่งรีบร้อนเลย ย เจ้าเพียงแค่ค่อย ๆ ฝึกฝนอย่างใจเย็น เจ้าใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี เมื่อถึงเวลานั้นทั่วทั้งขุมนรกสีโลหิต ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอีกแล้ว”
มู่เฉียนซีกล่าวกับปรมาจารย์หลานว่า “ปรมาจารย์หลาน สิ่งที่ข้าอยากทำไม่ใช่การอยู่ในขุมนรกสีโลหิตแห่งนี้ แต่ข้าก็ต้องการที่จะออกไปจากที่นี่ นอกจากนี้ข้างนอกนั่นยังมีญาติพี่น้ อง มีคนที่รักข้ารอข้าอยู่ ข้าจึงไม่อยากที่จะอยู่ในคุกนรกแห่งนี้นานเกินไปนัก ดังนั้นข้าจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกไปให้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะต้องเสี่ยงชีวิตด้วยก็ตาม”
ปรมาจารย์หลานผงะไปครู่หนึ่ง เมื่อมองเห็นความมุ่งมั่นของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ มีคนมากมายเข้ามาในขุมนรกสีโลหิตแห่งนี้ แต่พวกเขาเหล่านั้นล้วนยอมแพ้ที่จะหาทางหนีออกไปห หมดแล้ว
แต่ทว่าสาวน้อยผู้นี้ถึงตายก็ไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน!
ปรมาจารย์หลานกล่าวว่า “ข้านี่แก่แล้วจริง ๆ เจ้าต้องระวังตัวด้วย และก็อย่าได้อวดดีเกินไปนักล่ะ”
และในขณะเดียวกันภายในพระราชวังสีเลือด ชายที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงเลือดคนหนึ่งได้กล่าวกับชายในชุดสีม่วงอีกคนหนึ่งว่า “ตอนนี้การเลื่อนขั้นของเจ้าถึงขีดจำกัดแล้ว และช่วงนี้เจ จ้าก็ไม่สามารถเลื่อนขั้นได้อีกแล้ว หากเจ้าต้องการที่จะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ เพื่อไปเอาชนะผู้หญิงคนนั้นแล้วละก็ มีเพียงแต่ต้องเอาผลอสูรเพลิงมาให้ได้เท่านั้น”
“ข้าสามารถส่งผุ้คุมไปช่วยเจ้าได้ คราวที่แล้วเป็นเพราะเจ้ามั่นใจในตนเองมากเกินไปจึงนำไปสู่ความล้มเหลว คราวนี้มีผู้คุมคอยช่วยเหลือเจ้า มันจะต้องไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน! อย่างไรเสีย ยข้าก็อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิงที่ฝ่าบาทจิ่วเยี่ยใส่ใจและยังเป็นคนที่ท่านอู๋หยาพยายามที่จะกำจัดมากถึงขนาดนี้เช่นกัน”
“คราวนี้ ไม่มีทางปล่อยให้มู่เฉียนซีหนีไปได้ นางจะต้องตายแน่นอน”
เจ้าตัวน้อยนี่ไม่ง่ายเลยจริง ๆ!
บทสนทนาของพวกเขา ได้ถูกคนที่ยืนอยู่ข้างนอกได้ยินอย่างชัดเจน ซึ่งคนผู้นี้ก็คือฝูเซิงนั่นเอง
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ?” จื่อเวยกล่าวอย่างเย็นชา
ฝูเซิงเดินออกมา เสื้อผ้าของเขาสวยงามเป็นอย่างมาก อีกทั้งรูปลักษณ์ของเขาก็ยังงดงามมากด้วย จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “เป็นข้าเอง มีอะไรอย่างนั้นหรือ? แขกผู้มีเกียรต ติท่านนี้ต้องการจะฆ่าข้าหรืออย่างไรกัน? ก็แค่ได้ยินบทสนทนาของท่านเองมิใช่หรือ?”
ดวงตาที่อ่อนโยนคู่นั้นมองไปที่ฝูเซิง แม้จะไม่รู้ว่าเจอกันมากี่ครั้งแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เจอชายคนนี้จะต้องทำให้ดวงตาคู่นี้เปล่งประกายอยู่เสมอ
เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “การที่ทำให้เจ้ามาหาข้าได้ มันทำให้ข้ามีความสุขมากจริง ๆ! ฝูเซิง”
จื่อเวยมักจะดูถูกต่อคนที่ชอบผู้ชายโดยไม่สนใจกฏแห่งสวรรค์อย่างเจ้าโลหิตมาก หลังจากนั้นเขาจึงกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าไปเตรียมตัวก่อน! ขอตัว”
แววตาของเจ้าโลหิตทำให้ฝูเซิงรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างมาก ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่เลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าโลหิตมองไปที่ฝูเซิงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นิสัยของเจ้าช่างดื้อดึงอะไรขนาดนี้ อยู่ที่ขุมนรกสีโลหิตไม่ดีอย่างนั้นหรือ? ไม่ว่าเจ้าจะอยากได้อะไรข้าก็สามารถให้เจ้าได้ เหตุใ ใดถึงไม่เชื่อฟังกันบ้างล่ะ”
ฝูเซิงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าอยากจะออกไป และข้าก็ไม่ชอบที่นี่มาก ๆ ด้วย”
ฝูเซิงคุ้นเคยที่จะแสดงอาการหยิ่งผยองเมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าโลหิตเช่นนี้ ภายในแววตาของเจ้าโลหิตฉายแววมืดมิตออกมา เขารอมานานมากแล้ว เขาอดทนรอมานานเกินไปแล้ว
และตอนนี้ความอดทนของเขาก็ถึงขีดจำกัดแล้วด้วย แม้ว่าจะต้องใช้วิธีที่ไม่สุภาพไปบ้าง แต่เขาก็ต้องเอาความงามนี้มาให้ได้
มู่เฉียนซีเริ่มออกเดินทางไปยังเขาซิวหลัวแล้ว และตอนนี้ก็มีคนมากมายกำลังมุ่งหน้าไปที่เขาซิวหลัวเช่นกัน
“อะไรนะ? จื่อเวยก็ต้องการผลอสูรเพลิงเหมือนกันหรือ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าโลหิตจะส่งผู้คุมมากับเขามากมายขนาดนี้” มู่เฉียนซีเองรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน
แน่นอนว่าครั้งที่แล้วจื่อเวยไม่เต็มใจที่จะพ่ายแพ้ให้นางอยู่แล้ว และคาดว่าเขาน่าจะอยากใช้ผลอสูรเพลิงเพื่อเพิ่มพลังในการต่อสู้ให้ตนเอง เพราะภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่สามารถใ ใช้พลังวิญญาณได้ เขาไม่สามารถเอาชนะนางและลงมือฆ่านางด้วยตนเองได้เช่นกัน
เมื่อพั่วจวินได้ยินข่าวเกี่ยวกับจื่อเวย สีหน้าของเขาก็ยังปกติ ราวกับเขาลืมคนคนนี้ไปแล้วก็มิปาน
“เจ้ารู้ข่าวเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
“ตอนที่อยู่พระราชวังโลหิตเขาได้ยินเรื่องนี้กับหูตนเอง หลังจากนั้นก็นำมาบอกข้า ดูเหมือนว่าคราวนี้พวกเราจะได้เผชิญหน้ากับคนผู้นี้เป็นแน่ ครั้งนี้พวกเราจะต้องฆ่าเขาให้ได้ และ ะห้ามปล่อยเขาหนีไปได้อีกเด็ดขาด” เสี่ยวเฉี่ยกล่าว
“เจ้าอยู่ด้วยกันกับข้าตลอด แล้วฝูเซิงจะมาบอกข่าวนี้กับเจ้าได้อย่างไรกัน?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
เสี่ยวเฉี่ยกล่าวตอบว่า “เรื่องที่เขารู้ ข้าก็สามารถรู้ได้ และเรื่องที่ข้ารู้ เขาก็สามารถรับรู้ได้เช่นกัน”
“พวกเจ้าสองพ่อลูกนี่ ค่อนข้างน่าอัศจรรย์มากเลยทีเดียว ให้ความรู้สึกเหมือนกับฝาแฝดมากจริง ๆ นอกจากนี้การตอบสนองของพวกเจ้ายังแม่นยำมากอีกด้วย” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างประหลาดใจมาก กจริง ๆ
“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ใช่พ่อลูกกัน เจ้าก็ไม่ยอมเชื่อสักที!” เสี่ยวเฉี่ยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“คงจะไม่ใช่พี่น้องฝาแฝดหรอกใช่ไหม? แต่ว่าอายุของพวกเจ้าต่างกันมากเกินไปหน่อยนะ” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“เฮอะ! ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นแหละ รอให้ข้าเป็นขั้นเทวะก่อนแล้วข้าจะบอกเจ้าก็แล้วกัน! เลิกเดาส่งเดชได้แล้ว” เสี่ยวเฉี่ยกล่าวกับมู่เฉียนซี