ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2447 เจอกับจื่อเวยอีกครั้ง
บนเขาซิวหลัง เต็มไปด้วยเถาวัลย์อสูรที่อันตรายและยังมีพืชกลายพันธุ์ชนิดอื่น ๆ อีกด้วย ซึ่งสถานที่แห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสรวงสวรรค์ของพืชกลายพันธุ์เลยก็ว่าได้
หลังจากที่เข้ามาในเขาซิวหลัวแล้ว ทุกคนก็เปลี่ยนเป็นระวังตัวขึ้นมาทันที
และไม่ว่านักโทษจะเก่งกาจเพียงใด แต่พวกเขาก็เลือกที่จะร่วมมือกับผู้คุมอยู่ดี เพราะสำหรับคนที่ไม่มีพลังวิญญาณอย่างพวกเขาแล้วการเผชิญกับพืชกลายพันธุ์ระดับห้าระดับหกหรือระดั บเจ็ดดาวขึ้นไปเป็นเรื่องที่อันตรายเกินไปจริง ๆ
แม้ว่าการร่วมมือกับผู้คุมจะทำให้ไม่ได้รับอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยก็สามารถเพิ่มความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง
และถึงจะได้กำไรเพียงส่วนหนึ่ง แต่พวกเขาก็พึงพอใจมากแล้ว
เวลานี้พวกเขาก็ได้ค้นพบว่ามีคนแปลกประหลาดสองคน ซึ่งเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ที่ไม่ได้ร่วมมือกับผู้คุม แต่กลับกล้ามายังเขาซิวหลัวแห่งนี้
“เป็นหนุ่มสาวที่ไม่กลัวตายเลยจริง ๆ! ข้าว่าแค่ตอนที่พวกเขาเข้าไปถึงใจกลางเขาซิวหลัว ก็คงได้ถูกพืชกลายพันธุ์ทำลายเป็นแน่”
“ใช่แล้ว! พวกเขามุทะลุเกินไปแล้วจริง ๆ ”
“…”
แต่ทว่าทั้งมู่เฉียนซีและพั่วจวิน กลับไม่ได้น่าสังเวชอย่างที่พวกเขาคิดเอาไว้ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด ก็ไม่ถูกพืชกลายพันธุ์โจมตีเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เพราะพวกเขาโชคดี แต่เป็นเพราะพวกเขามีพืชกลายพันธุ์จำนวนนับไม่ถ้วนคอยเปิดทางให้พวกเขาอยู่ต่างหาก
เนื่องจากตอนนี้เสี่ยวเฉี่ยเริ่มเสาะหาน้องชายของเขาอย่างกะตือรือร้น จึงทำให้มันกวาดล้างพืชกลายพันธุ์ระดับสูงมาได้มากมาย
เนื่องจากเจ้าโลหิตมีความเชื่อมโยงกับจื่อเวย ดังนั้นผู้คุมจำนวนนับไม่ถ้วนที่เป็นลูกน้องของเจ้าโลหิตจึงเชื่อคำสั่งของเขา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จำเป็นต้องจัดกลุ่มพืชกลายพันธุ์เพื่อจั ดการกับผู้คุมเหล่านี้
ในตอนที่ต้องจัดการกับเจ้าโลหิตเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยคลื่นมนุษย์ นางจึงจำเป็นต้องผลาญพลังเขาให้มากที่สุด
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เสี่ยวเฉี่ยพยายามหาน้องชายเข้านะ พวกเรารอตอนที่ผลอสูรเพลิงสุกแล้วค่อยไปให้ถึงที่นั่นก็ได้ ตอนนั้นจื่อเวยก็น่าจะอยู่ที่นั่นแล้วเหมือนกัน เขาไม่รู้ว่าพว วกเราก็มาที่เขาซิวหลัวแล้ว แต่พวกเรารู้ ฉะนั้นเมื่อถึงตอนที่เราเข้าไปฆ่าเขาอย่างไม่ทันระวังตัว ข้าจะคอยดูว่าคราวนี้เขาจะหนีไปได้อย่างไร?”
เสี่ยวเฉี่ยกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ตกลง! มันเป็นเรื่องที่จัดการได้ง่ายสุด ๆ เลย”
เสี่ยวเฉี่ยเองก็จัดการพืชกลายพันธุ์ระดับเทวะด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ไม่เต็มใจเท่าไรนัก แต่สุดท้ายพวกมันก็ถูกซื้อด้วยยาที่มู่เฉียนซีกลั่นออกมา
ภายในยาเหล่านั้นเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต ซึ่งทำให้พวกมันชื่นชอบเป็นอย่างมาก ดังนั้นกลุ่มของพืชกลายพันธุ์จึงมีขนาดที่ใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
ในตอนที่อุณหภูมิของเขาซิวหลัวเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ พลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีแผ่กระจายออกไป และนางก็ได้ค้นพบว่าผลอสูรเพลิงกำลังจะสุกแล้ว
“พืชกลายพันธุ์ก็ส่งข่าวมาว่า ผลอสูรเพลิงกำลังจะสุกแล้วเช่นกัน ตอนนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่พวกเราสามารถไปได้พอดี” เสี่ยวเฉี่ยกล่าวกับมู่เฉียนซี
“เช่นนั้น ออกเดินทาง…”
บนยอดเขามีต้นของผลอสูรเพลิงอยู่ต้นหนึ่ง และต้นไม้ทั้งต้นนี้ก็เหมือนถูกย้อมไปได้ด้วยเลือดสีแดงสดก็มิปาน ต้นไม้ต้นนี้มีขนาดใหญ่มาก แต่มันกลับมีผลอสูรเพลิงออกมาเพียงแค่ เก้าลูกเท่านั้น
ผลอสูรเพลิงมีน้อยเกินไป ส่วนคนที่มุ่งหน้ามาเพื่อแย่งชิงผลอสูรเพลิงก็มีมากเกินไปเช่นกัน
ในเมื่อมีจำนวนคนมากแต่เนื้อน้อย เช่นนั้นการแย่งชิงอย่างเอาเป็นเอาตายจึงเป็นเรื่องที่ยากจะเลี่ยงได้
ผู้ที่มีความสามารถไม่ดีพอก็จะถูกฆ่าตาย ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งก็ลงมือสังหารจนมีคนพ่ายแพ้ไปทีละคน
มู่เฉียนซียังคงซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ และกำลังรอให้คนเหล่านี้สังหารคนไปได้สักระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยลงมืออีกครั้ง ซึ่งสุดท้ายแล้วนางก็จะได้รับประโยชน์มากที่สุดนั่นเอง
และคนที่มีความคิดเช่นนี้ก็ไม่ได้มีเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้น เพราะยังมีคนอื่นที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับเช่นกัน
ทันใดนั้นพลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย ซึ่งเขาก็คือจื่อเวยนั่นเอง
เขาเองก็กำลังซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ และรอให้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนได้รับบาดเจ็บก่อนค่อยลงมือเช่นกัน
มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย “ความอดทนของข้า มันต้องดีกว่าเจ้าแน่นอน คอยดูเถอะ จื่อเวย!”
คนนับหมื่นเข่นฆ่ากันจนเหลือเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น สำหรับฉากการทำลายล้างเช่นนี้ มันเป็นเรื่องที่คนของขุมนรกสีโลหิตเห็นกันจนชินตาอยู่แล้ว
ในเวลานี้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับกลุ่มหนึ่งได้ปรากฏตัวออกมา และเข้าร่วมการต่อสู้นี้ทันที
ผู้ที่ได้รับชัยชนะก่อนหน้านี้กล่าวอย่างดูถูกว่า “ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เพื่อหมายจะเอาเปรียบหรือ พวกเจ้าฝันไปเถอะ!”
หลังจากนั้นก็เกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง และเวลานี้ผลอสูรเพลิงก็เกือบที่จะสุกเต็มที่แล้ว
จื่อเวยเคลื่อนไหวแล้ว และเบื้องหลังของเขาก็มีผู้คุมอยู่นับไม่ถ้วน ซึ่งขบวนรบเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน
จื่อเวยปรากฏตัวขึ้นมาอย่างสูงส่ง พร้อมทั้งกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าต้องการผลอสูรเพลิงทั้งหมดเหล่านี้!”
คนอื่น ๆ ต่างก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก “เจ้าจะเอาทั้งหมดเลยหรือ แล้วที่พวกเราฆ่าคนไปมากมายก่อนหน้านี้ก็ไม่เท่ากับว่าเปลืองแรงเปล่าหรืออย่างไรกัน ไอ้หนู เจ้าอย่าบ้าให้มันมากเกิน นไปนัก! เพื่อเห็นแก่คนที่มีความสามารถและสถานะที่ไม่เลวของเจ้า แบ่งให้ข้าห้าลูก ส่วนพวกเจ้าแบ่งเอาไปสี่ลูกดีหรือไม่?”
เขารู้สึกว่าตนเองให้เกียรติคนเหล่านี้มากพอแล้ว แต่ทว่าจื่อเวยกลับไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย
จื่อเวยกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฆ่าพวกเขาให้หมด!”
“ขอรับ!” ผู้คุมพยักหน้ากล่าว
“คิดไม่ถึงเลยว่าผู้คุมมากมายขนาดนี้ จะฟังคำสั่งของนักโทษเพียงคนเดียว คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?”
“ไม่ใช่ท่านฝูเซิง เพราะท่านฝูเซิงมีหน้าตาที่งดงามกว่าเขามากนัก เขาเป็นเทพมาจากที่ใดกัน? หรือว่าจะเป็นรักครั้งใหม่ของท่านเจ้าโลหิต?”
ความสามารถของผู้คุมเหล่านั้นแข็งแกร่งมาก และผู้คุมที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านเจ้าโลหิตก็สามารถบดขยี้พวกเขาได้อย่างสมบูรณ์
“ผู้คุมเหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป และมีเพียงผู้คุมที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านเจ้าโลหิตเท่านั้นถึงจะมีความสามารถเช่นนี้ได้! พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลย ถอยเถอะ!”
ถึงผลอสูรเพลิงจะอยู่แค่ตรงหน้านี้ แต่พวกเขากลับจำต้องยอมแพ้ เพราะหากตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่านเจ้าโลหิต นั่นคงเป็นการรนหาที่ตายอย่างแน่นอน
สุดท้ายคนเหล่านี้ก็ยอมถอยไปทั้งอย่างนั้น มันจึงทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะเดิมทีนางคิดว่าคนเหล่านี้จะทำให้พวกของจื่อเวยอ่อนแรงลงได้บ้างเสียอีก!
และทั้งหมดนี่ก็เป็นไปตามที่จื่อเวยคาดการณ์เอาไว้ นางออกคำสั่งว่า “ไปเก็บผลอสูรเพลิงมา!”
แววตาของจื่อเวยจ้องมองไปที่ผลอสูรเพลิง ครั้งนั้นที่เขาต้องพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉียนซี ทำให้เขาที่ได้รับการปลูกฝังมาจากท่านอู๋หยา ต้องได้รับความอัปยศอดสูแน่นอนอยู่แล้ว
คราวนี้เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้นมู่เฉียนซีก็จะต้องพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเขาเท่านั้น
เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว!
ร่างหลายร่างพุ่งตรงไปยังต้นอสูรเพลิงทันที
ต้นอสูรเพลิงไม่ใช่ต้นไม้ที่จะจัดการได้ง่าย ๆ และมันก็ไม่มีทางปล่อยให้คนเหล่านี้มาแย่งเอาผลของมันไปอยู่แล้ว ซึ่งความสามารถของมันก็ไม่ได้ต่างไปจากพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาว วเลย นอกจากนี้มันยังสามารถพ่นไฟได้อีกด้วย
ปัง ปัง ปัง!
เนื่องจากจำนวนคนของพวกเขามีมากเพียงพอ แม้ว่าต้นอสูรเพลิงจะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ยังคงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเก็บผลอสูรเพลิงมาให้ได้
และในตอนที่จื่อเวยกำลังจะได้รับผลอสูรเพลิง ก็มีเสียงดัง ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ของเข็มยาที่ถูกอาบไปด้วยยาพิษพุ่งทะยานมาทางเขาราวกับห่าฝนก็มิปาน
จื่อเวยรู้สึกคุ้นเคยกับอาวุธลับเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง นี่คืออาวุธลับของมู่เฉียนซี และพั่วจวินก็ถูกเจ้าสิ่งนี้ทำให้ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
ในขณะที่เขากำลังหลบหลีกเข็มยาเหล่านี้อย่างรีบร้อน เขากลับถูกเปลวเพลิงของต้นอสูรเพลิงเผาจนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากนัก
เขาขบฟันกล่าวว่า “มู่เฉียนซี ดีจริง ๆ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็จะมาด้วย เป็นเช่นนี้ก็ดี ข้าจะได้ฆ่าเจ้าให้ตายอยู่ที่นี่ และไม่ต้องเปลืองแรงคอยตามหาเจ้าในขุมนรกสีโลหิตแห่งนี้อีก ”
“จับนางมาให้ข้า!”
ทันทีที่ผู้คุมเหล่านั้นได้รับคำสั่ง พวกเขาก็ได้แบ่งคนส่วนหนึ่งไปเก็บผลอสูรเพลิง และแบ่งคนส่วนใหญ่พุ่งตรงไปทางมู่เฉียนซี
เมื่อเทียบกับผลอสูรเพลิงแล้ว การปลิดชีวิตของมู่เฉียนซีนั้นเป็นภารกิจที่สำคัญมากกว่าเสียอีก
ในตอนที่ผู้คุมพุ่งทะยานเข้าหามู่เฉียนซี ก็ได้มีพืชกลายพันธุ์จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาจู่โจมพวกเขา
ซึ่งนี่ก็ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปมากทันที “คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีพืชกลายพันธุ์มากมายขนาดนี้?”
“ผู้หญิงคนนี้ควบคุมพืชกลายพันธุ์มากมายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน นี่มันมีอะไรผิดพลาดหรือไม่?”
“……”
ผู้คุมเหล่านี้มีพืชกลายพันธุ์เข้ามาพัวพันอยู่ จนไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ ฉะนั้นจึงทำให้มู่เฉียนซีในตอนนี้พุ่งไปถึงต้นอสูรเพลิงได้แล้ว
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
ต้นอสูรเพลิงเองก็โจมตีมู่เฉียนซีเช่นกัน จากนั้นพลังเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งเข้าโจมตีมู่เฉียนซีจากทั่วทุกทิศทาง
ถึงจะต้องเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงเหล่านี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามู่เฉียนซีจะไม่หลบหลีกเลย
จื่อเวยกล่าวว่า “มู่เฉียนซี เจ้าจะยโสเกินไปแล้ว แม้ว่าพลังกายของเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่เปลวเพลิงของอสูรเพลิงไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถล้อเล่นได้หรอกนะ และความหยิ่งยโสนี้ของเจ้าจะต้อ องได้รับการชดใช้อย่างแน่นอน!”