ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2449 รักษาความบริสุทธิ์
เจ้าโลหิตเดินเข้ามาแล้วกล่าวว่า “ฝูเซิง เจ้าจะหนีไปไหนอย่างนั้นหรือ? ข้าหานักปรุงยาที่สามารถกลั่นยาชนิดหนึ่งออกมาได้ ซึ่งมันก็คือยาที่สามารถทำให้พืชกลายพันธุ์ไม่สามารถกลาย ยเป็นร่างเดิมได้เป็นเวลาสามชั่วยาม และดูเหมือนว่ายานี้จะได้ผลด้วย”
ฝูเซิงกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าโลหิต หากเจ้ากล้าแตะต้องข้าแม้แต่นิดเดียว ข้าจะทำลายเจ้าแน่”
แกร่ก!
ทันใดนั้นโซ่เส้นหนึ่งก็ได้มัดมือทั้งสองข้างของฝูเซิงเอาไว้ จากนั้นเจ้าโลหิตก็กล่าวว่า “ฝูเซิง อย่ากังวลเลย ข้าได้เตรียมความพร้อมมาอย่างเต็มที่แล้ว และข้าก็ไม่มีทางปฏิบัติต่อ อเจ้าไม่ดีแน่นอน”
สุดท้ายฝูเซิงก็ถูกเจ้าโลหิตลากตัวไป…
“น่ารังเกียจ! น่ารังเกียจนัก…” เสี่ยวเฉี่ยกัดริมฝีปากเอาไว้แน่น
เสี่ยวเฉี่ยได้บอกเรื่องที่ฝูเซิงกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้กับมู่เฉียนซี และมู่เฉียนซีเองก็คิดไม่ถึงว่าคนที่มีทักษะพิเศษอย่างฝูเซิงจะติดกับเช่นนี้
แม้ว่านางจะชอบพูดล้อเล่นว่าฝูเซิงรักษาความบริสุทธิ์ไว้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเขาจริง ๆ…
“มันช่างขยะแขยงเหลือเกิน ข้าอยากจะไปสู้กับเจ้าโลหิต! จะปล่อยให้เขาทำสำเร็จไม่ได้” เสี่ยวเฉี่ยกล่าวด้วยความโกรธ
มู่เฉียนซีขวางเขาเอาไว้ แล้วกล่าวว่า “หากเจ้าไปตอนนี้ต้องเป็นการรนหาที่ตายแน่นอน เสี่ยวเฉี่ยรีบเลื่อนขั้นเถอะ! ข้าจะไปกลั่นยาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
“ตกลง!”
มู่เฉียนซีนำเอาผลอสูรเพลิงออกมาห้าลูก หลังจากนั้นก็รีบกลั่นยาที่จะช่วยยกระดับความสามารถของเสี่ยวเฉี่ยออกมาอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวเฉี่ย ของเจ้า!”
เสี่ยวเฉี่ยดูดซับยานี้ไปจนหมดสิ้น และหลังจากนั้นมันก็ถูกห่อหุ้มด้วยลำแสงสีแดงเลือด
มู่เฉียนซีสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าเองก็ต้องพยายามทำให้ความสามารถของตนเองแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน”
มู่เฉียนซีใช้ผลอสูรเพลิงในการกลั่นยาหลอมร่างออกมา และหลังจากที่นางดื่มยาลงไป ก็มีเปลวเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกมาจากร่างกายของนางอย่างกะทันหัน
เปลวเพลิงพัดโหมกระหน่ำไปทั่วทุกสารทิศ จนดูเหมือนว่ามันจะแผดเผามู่เฉียนซีไปจนหมดสิ้น
มู่เฉียนซีกัดฟันเอาไว้แน่น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะต้องยืนหยัดเอาไว้ให้ได้ นางจะมาพ่ายแพ้อยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
ทั้งสองคนกลายเป็นรังไหมสีแดงสด ส่วนพั่วจวินก็เฝ้าจื่อเวยที่กำลังหมดสติโดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดมู่เฉียนซีก็สามารถเอาชนะมันได้ และการหลอมขั้นพื้นผิวก็เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ซึ่งประสิทธิภาพของผลอสูรเพลิงหนึ่งลูกช่างแข็งแกร่งมากจริง ๆ
และในขณะเดียวกันนั้นเอง รังไหมสีแดงเลือดของเสี่ยวเฉี่ยก็หายไปแล้วเช่นกัน
มู่เฉียนซีผงะไปเล็กน้อย นี่เสี่ยวเฉี่ยล้มเหลว หรือว่าประสบความสำเร็จกันแน่?
เสี่ยวเฉี่ยกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ยังขาดอยู่อีกหน่อย ยังขาดอยู่อีกหน่อยเดียวเท่านั้น นี่มันเกิดปัญหาตรงไหนกันแน่นะ”
“บริวารน้อย ข้าอยากจะไปช่วยคน เจ้าหาที่ซ่อนตัวก่อน หากข้าไม่ได้กลับมาแล้วละก็ เช่นนั้นเจ้าก็จงไปหาพืชกลายพันธุ์ใหม่และช่วยให้มันเลื่อนขั้นกลายเป็นพืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะเ เพื่อเอาชนะเจ้าโลหิตเสีย หลังจากนั้นก็ค่อยออกไปเถอะ!” หลังจากที่เสี่ยวเฉี่ยพูดจบ มันก็เตรียมพร้อมที่จะจากไปทันที
มู่เฉียนซีขวางเขาเอาไว้พลางกล่าวว่า “รอเดี๋ยว! ข้าอนุญาตให้เจ้าไปอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าเป็นบริวารตัวน้อยของข้า มีบริวารตัวน้อยที่ไหนที่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้” เสี่ยวเฉี่ยกล่าวอย่างโกรธเคือง
“หากต้องเลี้ยงพืชกลายพันธุ์อีกก็เสียเวลามากเกินไป นอกจากนี้ก็ไม่มีพืชกลายพันธุ์ใดที่ยอดเยี่ยมเท่าเจ้าอีกแล้ว ในเมื่อเจ้าต้องการจะไปช่วยคนข้าก็จะไม่ห้ามเจ้าอยู่แล้ว แต่ว่าพวกเ เราไปด้วยกันเถอะ!”
เวลานี้จื่อเวยก็ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว เขาปีนป่ายขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “นายท่าน!”
มู่เฉียนซีมองไปทางจื่อเวยพลางกล่าวว่า “ข้าจะไปที่พระราชวังโลหิต เจ้านำทางและพาพวกข้าเข้าไปด้วย!”
“ขอรับ!”
เสี่ยวเฉี่ยกล่าวว่า “เจ้าไม่กลัวตายอย่างนั้นหรือ? ข้ายังไม่ได้เลื่อนเป็นขั้นเทวะเลย หากสู้เจ้าโลหิตไม่ได้ ข้าอาจจะต้องตายไปจริง ๆ เจ้าเองก็จะต้องตายไปด้วยนะ”
“ข้าไม่อยากให้เจ้าล้มเหลว และข้าก็ไม่อยากถูกขังอยู่ที่นี่เป็นร้อยเป็นพันปีด้วย ดังนั้นพวกเราไปสู้ด้วยกันเถอะ! เสี่ยวเฉี่ย” มู่เฉียนซีกล่าวกับเขา
“ตามใจเจ้า!”
พวกของมู่เฉียนซีมุ่งหน้าไปที่พระราชวังโลหิตด้วยความรวดเร็ว และคนของพระราชวังโลหิตก็จำจื่อเวยได้
“ท่านจื่อเวย ท่านกลับมาแล้วหรือ?”
เหตุใดคนที่กลับมามีเพียงท่านจื่อเวยคนเดียวเท่านั้น นายท่านคนอื่น ๆ ไปไหนกันหมดแล้วล่ะ? ถึงพวกเขาจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก
จื่อเวยกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ท่านเจ้าโลหิตอยู่ที่ไหน? พาข้าไปพบเขาหน่อย”
“ขอรับ!”
สุดท้ายแล้วคนของพระราชวังโลหิต ก็ไม่รู้ว่าเจ้าโลหิตของพวกเขาอยู่ที่ใดกันแน่ “เกรงว่าท่านเจ้าโลหิตน่าจะออกไปแล้วขอรับ ท่านจื่อเวยรีบมาขนาดนี้น่าจะเหนื่อยมากแล้ว ต้องการ ให้ข้าน้อยพาไปพักผ่อนหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ต้อง…”
บนร่างกายของฝูเซิงในเวลานี้เต็มไปด้วยรอยแส้ และฝูเซิงก็รับรู้ถึงงานอดิเรกของเจ้าโลหิตได้อย่างชัดเจน
เนื่องจากว่าเขาที่เป็นพืชกลายพันธุ์นั้นจัดการได้ยาก คนวิปลาสที่อัดอั้นตันใจผู้นี้จึงไปลงมือกับคนที่งดงามคนอื่น
แม้ว่าคนเหล่านั้นจะรูปร่างหน้าตาไม่งดงามเท่าเขาแต่ก็ยังพอถู ๆ ไถ ๆ ไปได้ ดังนั้นจึงได้ถูกเจ้าโลหิตเอามาทดแทนไปก่อน
แต่ของที่นำมาใช้ทดแทนกลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเท่าไรนัก เพราะทุกคนล้วนถูกทรมานและตายจากไป
ส่วนฝูเซิงไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วให้กับบาดแผลเล็กน้อยนี้เลยด้วยซ้ำ เจ้าโลหิตจึงหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่กลัวความเจ็บปวด ดังนั้น…”
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเปลื้องผ้าต่อหน้าฝูเซิง ซึ่งมันก็ทำให้ใบหน้าของฝูเซิงมืดมนลงทันที
เสี่ยวเฉี่ยเองก็อยากจะระเบิดเช่นกัน “ข้าทนไม่ไหวแล้ว เขาจะต้องอยู่ในพระราชวังโลหิตแห่งนี้แน่นอน ข้าจะไปตามหาเขาเอง”
และเสี่ยวเฉี่ยก็แปลงร่างเป็นร่างเดิมทันที!
ระดับความสามารถของเสี่ยวเฉี่ยในตอนนี้อยู่ห่างจากขั้นเทวะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และร่างเดิมของมันก็สามารถเปลี่ยนเป็นขนาดใหญ่มากขึ้นได้ ซึ่งมันก็ใหญ่พอที่จะปกคลุมไปทั่วทั้ง งพระราชวังโลหิตนี้เลยทีเดียว!
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
หนามโลหิตที่บ้าคลั่งทะลวงไปทั่วพระราชวังโลหิต ทั้งบนฟ้าและใต้ดิน ซึ่งมันก็ได้สร้างความวุ่นวายไปทั่วพระราชวังโลหิตแห่งนี้เป็นอย่างมาก
ครืนนนน!
ใต้พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และในเวลานี้เจ้าโลหิตก็ถอนเสื้อผ้าส่วนบนของเขาออกพอดี แววตาของเจ้าโลหิตฉายแววเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที ใครกันที่กล้ามาสร้างความวุ่นวายในอาณาเข ขตของเขา?
เจ้าโลหิตจ้องมองไปทางฝูเซิง “ข้าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง หลังจากที่กำจัดแมลงวันเหล่านั้นเสร็จแล้ว!”
สีหน้าของฝูเซิงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เจ้าคนโง่เง่า!
เขารู้ว่าเสี่ยวเฉี่ยยังไม่บรรลุเลยด้วยซ้ำ และการที่เขามาที่นี่ทั้งที่ยังไม่บรรลุ ก็ถือว่ามารนหาที่ตายไม่ใช่หรืออย่างไร?
เนื่องจากว่าเสี่ยวเฉี่ยก่อความวุ่นวายมากเกินไป มู่เฉียนซีจึงใช้พลังจิตวิญญาณในการสังเกตสถานการณ์โดยรอบ และทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวขึ้นของพลังอันแข็งแกร่งที่ไม่เคย ยมีมาก่อนหน้านี้
ผู้แข็งแกร่งผู้นี้ทรงพลังมาก แม้ว่าจะยังห่างไกลกับจิ่วเยี่ยมากนัก แต่นางก็สัมผัสได้ว่าเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าอ๋องจากคุกนรกทั้งสองที่นางเคยเจอมาแน่นอน
กล่าวได้ว่าเขานั้นแข็งแกร่งกว่าอ๋องโยวจีและอ๋องไป๋กุ่ยนั่นเอง
ร่างเงาสีขาวร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาต่อหน้าพวกเขา ผมยาวสีขาวราวหิมะปลิวไสวไปตามสายลม
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาถูกปกปิดเอาไว้ด้วยหน้ากาก และเผยใบหน้าที่ค่อนข้างดูดีเอาไว้อีกครึ่งหนึ่ง
แววตาที่ฉายแววมืดมนของเขาจ้องมองไปที่หนามโลหิตสีแดงพลางกล่าวว่า “หนามโลหิต คิดไม่ถึงเลยว่าในขุมนรกสีโลหิตจะมีหนามโลหิตเกิดขึ้นมาได้ด้วย นอกจากนี้ยังแข็งแกร่งขนาดนี้ ช่างหา ายากมากจริง ๆ!”
“เพียงแต่ การมีอยู่ของเจ้าไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว” ทันใดนั้นแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าทันที
แม้ว่าจะเป็นหนามโลหิตที่ยังไม่ได้บรรลุขั้นเทวะ แต่มันก็เป็นภัยคุกคามของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเขาจำเป็นที่จะต้องกำจัดเจ้าหมอนี่ทิ้งเสีย
“เจ้าพลาดที่ประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป และประเมินข้าต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะกล้าบุกมาท้าทายข้าก่อนที่จะบรรลุเป็นขั้นเทวะเช่นนี้ อีกทั้งยังมาทำลายเรื่องดี ๆ ของข้า า ช่างรนหาที่ตายนัก”
เจ้าโลหิตลงมืออย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย หนามแหลมคมปลิวไปทั่วท้องฟ้า และเสี่ยวเฉี่ยก็เริ่มต่อสู้กับเขาอย่างดุเดือดทันที
ตูมมมม!
ทันใดนั้นก็มีเสียงปะทะดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมา
ในตอนที่เสี่ยวเฉี่ยกำลังดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเจ้าโลหิต มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นมาว่า “ไปช่วยฝูเซิงก่อน จื่อเวยเจ้ามีความคุ้นเคยกับที่นี่มากที่สุด เจ้านำทางไป! ฝูเซิงน่าจะอยู่ใน นสถานที่ที่เขาเพิ่งปรากฏตัวออกมาก่อนหน้านี้เป็นแน่”