ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2451 จิ่วเยี่ยตื่นแล้ว
“ใครกัน?” เจ้าโลหิตกล่าวอย่างโกรธเคือง
ฝูเซิงก็สัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณที่ทรงพลังนั้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังคุ้นเคยมากอีกด้วย และมันก็คือมู่เฉียนซีนั่นเอง
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าลงมือในเวลาเช่นนี้ นอกจากนี้ยังลงมือโจมตีเจ้าโลหิตโดยตรง ช่างอันตรายจริงๆ
หลังจากนั้นฝูเซิงก็พุ่งทะยายไปทางมู่เฉียนซีด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด
“ตูมมม!” เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว และมู่เฉียนซีก็ไม่ได้ปล่อยให้ฝูเซิงขวางการโจมตีของเจ้าโลหิตให้นาง
ลำแสงสีฟ้าอ่อนปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน และการโจมตีของเจ้าโลหิตก็ถูกสกัดกั้นเอาไว้ อีกทั้งมันยังถูกสะท้อนกลับอีกด้วย
เมื่อมู่เฉียนซีพยายามอย่างเต็มที่จนแข็งแกร่งขึ้น สุ่ยจิงอิ๋งเองก็ฟื้นพลังของนางได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่เพียงพอที่จะทำลายผนึกของมิตินรกอันน่าอึดอัดเช่นนี้ได้ แต่หากเป็นการช่วยสกัดกั้นการโจมตีให้ซีเอ้อร์ก็ไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย
“ตึงง!” ร่างของเจ้าโลหิตถูกสะท้อนจนลอยกระเด็นออกไป
เขามองไปทางมู่เฉียนซีด้วยความตื่นตกใจพลางกล่าวว่า “เจ้าก็คือสตรีที่อู๋หยาต้องการฆ่าคนนั้น ในตัวของเจ้ามีเศษเสี้ยวผู้พิทักษ์นิรันดร์อยู่ มิแปลกใจเลยที่เจ้ามีพลังจิตวิญญาณที่ แข็งแกร่งขนาดนี้”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน คิดไม่ถึงว่าท่านเจ้าโลหิตจะรู้จักข้าด้วย”
“ใครก็ตามที่กล้ามาทำลายเรื่องดีๆของข้ามันต้องตาย ดูท่าจื่อเวยคงจะล้มเหลวอีกแล้วสินะ เช่นนั้นข้าจะเป็นคนฆ่าเจ้า และให้อู๋หยาติดหนี้บุญคุณข้าสักเรื่องของแล้วกัน” และเจ้าโล ลหิตก็ลงมืออย่างกะทันหัน
ก่อนหน้านี้ตอนที่จื่อเวยมาขอความช่วยเหลือจากเขา แน่นอนว่าเขาได้พูดเกี่ยวกับข้อมูลบางอย่างของมู่เฉียนซีด้วย
ในเมื่อผู้พิทักษ์นิรันดร์ของนางไม่สมบูรณ์ แล้วจะสามารถใช้มันปกป้องนางไปตลอดได้อย่างไร?
ก่อนที่การโจมตีของเจ้าโลหิตจะมาถึง ฝูเซิงมองไปทางมู่เฉียนซีแล้วกล่าวว่า “เจ้าตัวน้อย พลังจิตวิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งมาก แต่พลังจิตวิญญาณของข้าได้รับบาดเจ็บ พวกเรามาลองผูกพันธสัญญ ญากันดีหรือไม่? ลองดูว่าจะสามารถยื้มพลังจิตวิญญาณของเจ้ามาซ่อมแซมพลังจิตวิญญาณที่บาดเจ็บของข้าได้หรือไม่ ขอเพียงอาการบาดเจ็บนั้นหายดี การที่ข้าจะบรรลุเป็นขั้นเทวะก็ไม่ ใช่ปัญหาแล้ว”
มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าฝูเซิงจะเสนอเรื่องผูกสัญญาขึ้นมาในเวลาเช่นนี้
นางกล่าวว่า “เจ้าคิดดีแล้วอย่างนั้นหรือ แม้ว่าจะออกไปจากขุมนรกโลหิตได้แล้ว ความสามารถของข้าก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้นหรอกนะ”
“เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไร ไม่แข็งแกร่งก็ไม่แข็งแกร่งสิ แต่ข้ารู้ดีว่า ศักยภาพของเจ้านั้นไร้ขีดจำกัด เพียงเท่านี้ก็พอแล้วมิใช่หรือ?” ฝูเซิงกล่าว
“นี่เป็นวิธีเดียวที่ข้าคิดออก มิเช่นนั้นหากรอให้จำนวนครั้งในการป้องกันของเจ้าถูกใช้ไปจนหมดเมื่อไร พวกเราจะต้องตายกันหมดนี่แน่ มีเพียงแต่ต้องทุ่มสุดตัวเท่านั้นแล้วล่ะ” ฝ ฝูเซิงกล่าวพลางกำหมัดเอาไว้แน่น
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า คนอย่างฝูเซิงจะมีวันที่ต้องมาทำพันธสัญญากับมนุษย์เช่นนี้
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี พวกเรามาผูพันธุ์สัญญาณกันเถอะ!”
พลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีระเบิดออกมา ซึ่งมันก็ทำให้ฝูเซิงตะลึงงันเล็กน้อย แข็งแกร่งเหลือเกิน…
พลังจิตวิญญาณของฝูเซิงผสานเข้ากับพลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซี และทั้งสองฝ่ายก็ตกลงเซ็นสัญญาที่มีความเท่าเทียมกัน
“มู่เฉียนซี เจ้ารนหาที่ตายนัก ฝูเซิงเป็นของข้า! เขาเป้นของข้า!” คิดไม่ถึงว่าทั้งสองจะยินยอมผูกพันธสัญญากัน ซึ่งมันก็ทำให้สีหน้าของเจ้าโลหิตเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมาทันที
“ดีมาก คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้าแย่งของของข้า” เจ้าโลหิตไม่เพียงแต่โลภในความงามของฝูเซิงเท่านั้น แต่เขายังอยากที่จะครอบครองพลังของพืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะอีกด้วย
เจ้าโลหิตไม่เพียงต้องการร่างกายของเขาเท่านั้น แต่อยากจะกลายเป็นเจ้านายของเขา และใช้ประโยชน์จากพลังของเขาด้วย
หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาพยายามทำทุกวิถีทางที่จะบีบบังคับให้ฝูเซิงยอมจำนน แต่มันก็ไม่สำเร็จ
แต่ผลสุดท้ายฝูเซิงก็ไปยอมรับผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเจ้านาย ซึ่งมันก็ทำให้เขาแทบคลั่งไปเลยทีเดียว
“ครืนนน!” พลังอันน่าสะพรึงกลัวได้ทำลายพระราชวังแห่งนี้จนสิ้นซาก
สุ่ยจิงอิ๋งได้ขวางการโจมตีครั้งที่สองนี้เอาไว้ แต่ทว่าการโจมตีในครั้งนี้รุนแรงเกินไป จึงทำให้นางไม่สามารถที่จะสะท้อนกลับไปได้
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกคู่นั้นของจิ่วเยี่ยที่อยู่ในพระราชวังคุกโลหิตก็ลืมขึ้นมาอย่างกะทันหัน และพลังแห่งความมืดที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้างที่อันตรา ายก็ได้ปกคลุมไปทั่วเมืองเทพสังหาร
ตูมมมม!
หอคอยเซียนหยาหอคอยสีขาวที่ตั้งตระหง่าอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางเมืองเทพสังหารได้พังทะลายลง และกลายเป็นผุยผง ซึ่งอู๋หยาในเวลานี้ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
สิ่งที่อันตรายกำลังเข้ามาเยือน และกลิ่นอายแห่งความตายก็ได้ทำให้คนของเมืองเทพสังหารพากันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
นี่คือพลังของอ๋องจิ่วเยี่ย ผู้ใดกันที่มีความกล้าหาญชาญชัยถึงเพียงนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้ายั่วยุให้อ๋องจิ่วเยี่ยโกรธเคืองถึงขนาดนี้
พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของอ๋องจิ่วเยี่ยจะสามารถทำให้ทั่วทั้งเมืองเทพสังหารถูกทำลายจนเหลือเพียงความว่างเปล่าหรือไม่
แต่ทว่าบนใบหน้าของอู๋หยาไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย และมุมปากของเขายกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “สมกับที่เป็นท่านจิ่วเยี่ยจริงๆ เพียงไม่นานก็สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของผนึก แ และตื่นขึ้นมาได้แล้ว”
การไหลเวียนของเวลาระหว่างขุมนรกโลหิตและคุกโลหิตมีความแตกต่างกัน ถึงในขุมนรกโลหิตจะเป็นเวลาสองเดือน แต่สำหรับคุกโลหิตแล้วมันเป็นเวลาเพียงสองวันเท่านั้น
จิ่วเยี่ยตื่นขึ้นมาแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้จื่อโยวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “เยี่ย…เยี่ย…”
และทันทีที่เขาวิ่งเข้ามา ก็ได้เผชิญหน้ากับดวงตาที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งหมื่นปีก็มิปาน “ซีล่ะ?”
ถึงจื่อโยวจะคุ้นเคยกับการถูกจิ่วเยี่ยทรมานแล้วก็ตาม แต่เมื่อเห็นท่าทางที่อันตรายเช่นนี้ของเขาก็ทำให้รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเช่นกัน
เขากล่าวตอบว่า “เยี่ย คนงามอยู่ในขุมนรกโลหิต ข้าไร้ความสามารถ จึงไม่สามารถเปิดทางได้ อย่างที่รู้กันว่าเส้นทางที่ดื้อรั้นที่สุดของคุกนรกต่างๆ…”
ดวงตาของจิ่วเยี่ยค่อนข้างน่ากลัวเล็กน้อย จื่อโยวจึงกล่าวต่อว่า “เยี่ย ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นเพราะอู๋หยา ตอนนี้เจ้าได้ทำลายหอคอยไปแล้ว เขาเองก็ไม่มีสถานที่ให้ซ่อนแล้ว! ข้าจะไปจ จับเขามาเดี๋ยวนี้ ข้า…”
“เจ้าคิดหาทางไปที่ขุมนรกโลหิตเถอะ” จื่อโยววิ่งหนีออกไปทันที มิเช่นนั้นเขากลัวเยี่ยที่อารมณ์ไม่ดีจะจัดการเขาทิ้งขึ้นมาจริงๆ
จิ่วเยี่ยหายไปจากพระราชวังคุกโลหิตอย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็มาปรากฏตัวที่เขตชายแดนของคุกโลหิต และทำการฉีกมิติอย่างรุนแรงจนขาด
เขาสามารถสัมผัสถึงคุกนรกที่อยู่บริเวณโดยรอบคุกโลหิตทั้งหมดได้ และในเวลาเดียวกันผู้คุมที่อยู่ภายในคุกนรก ก็รับรู้ถึงพลังของจิ่วเยี่ยด้วยเช่นกัน
พวกเขาตกใจกลัวจนสั่นสะท้าน และพวกเขาก็กอดกันเพื่อความอบอุ่น
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? อ๋องจิ่วเยี่ยแห่งคุกโลหิตต้องการทำลายคุกนรกทั้งหมดของพวกเราอย่างนั้นหรือ?”
“พวกเราไปทำให้อ๋องจิ่วเยี่ยขุ่นเคืองตั้งแต่เมื่อไรกัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือกับพวกเราเช่นนี้”
“เป็นพลังที่น่ากลัวเหลือเกิน อ๋องจิ่วเยี่ยแห่งคุกโลหิตช่างสมคำล่ำลือ เป็นคนที่ไม่อาจยั่วยุได้เลยจริงๆ”
ถึงพวกเขาจะถูกทำให้หวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่ทว่าทางจิ่วเยี่ยได้ค้นหาคุกนรกที่อันตรายที่สุดและถูกซ่อนไว้ในส่วนลึกที่สุดของคุกโลหิตจากบรรดาคุกทั้งหมดเหล่านั้นจนเจอ ซึ่งมันก ก็คือขุมนรกโลหิตนั่นเอง
ตูมมมม!
ขุมนรกโลหิตถูกผนึกไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้มีผู้ใดบุกเข้าไปได้ตามอไเภอใจ
นี่คือผนึกของเผ่าเทพ และจิ่วเยี่ยก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคย ซึ่งมันก็คือพลังของอู๋หยานั่นเอง
เพื่อเป็นการป้องกันนจุดนี้ อู๋หยาได้เสริมการป้องกันของขุมนรกโลหิตเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเขาก็ทำไปเพื่อขวางทางจิ่วเยี่ยเอาไว้ และทำให้จิ่วเยี่ยไปช่วยนางไว้ไม่ทัน
“บูมมม!” ถึงผนึกนี้จะทำลายได้ยาก แต่จิ่วเยี่ยก็สามารถทำลายมันได้แล้ว
ในตอนที่จื่อโยวไปจับกุมอู๋หยา ก็ค้นพบว่าอู๋หยากำลังทำการเสี่ยงทายอยู่บนหอคอยเซียนหยาที่พังยับเยิน
หลังจากที่พั่วจวินและจื่อเวยหายตัวไป เขาก็สูญเสียการมองเห็นโชคชะตาของมู่เฉียนซีไปอย่างสมบูรณ์
บางทีมู่เฉียนซีอาจจะตายอยู่ที่ขุมนรกโลหิตไปแล้ว หรือบางทีมู่เฉียนซีอาจจะยังคงรอดพ้นจากกลอุบายครั้งใหญ่ที่เขาปูเอาไว้และหนีออกมาได้ก็เป็นได้
“เฮ้! ท่านอู๋หยา นี่ท่านกำลังวางแผนอะไรอยู่ข้างนั้นหรือ? หรือว่าเจ้ากำลังทำนายเรื่องของคนในดวงใจจิ่วเยี่ยอยู่หรือ?” แววตาของจื่อโยวจ้องมองไปทางอู๋หยาอย่างมืดมน
อู๋หยากล่าวตอบอย่างใจเย็นว่า “ใช่แล้ว! ฝ่าบาทต้องการจะไปช่วยนาง ข้าย่อมต้องทำนายอยู่แล้ว ว่าคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ฝ่าบาทต้องเสียแรงเปล่า หาก กหาคนไม่เจอ แล้วยังทำให้คำสาประเบิดออกมาอีก เช่นนั้นก็คงไม่ดีแน่”