ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2452 เจ้าโลหิตพ่ายแพ้
“เจ้าพูดอะไรน่ะ?” จื่อโยวโกรธเคืองมาก คนงามจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน
ตูมมมมม!
เขาไม่สนใจว่าคนผู้เป็นใคร มีสถานะที่สูงส่งแค่ไหน แค่เอาชนะให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
อู๋หยาไม่ได้ตอบโต้ เพราะการทำนายเรื่องของมู่เฉียนซีเมื่อครู่นี้ ทำให้เขาต้องสูญเสียพลังไปไม่น้อย ซึ่งมันก็ฟื้นตัวกลับมาได้ไม่เร็วขนาดนั้น
ภายในพระราชวังโลหิตของขุมนรกสีโลหิต มู่เฉียนซีและฝูเซิงได้ผูกพันธสัญญากันสำเร็จแล้ว
พลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง และพลังแห่งชีวิตได้เริ่มทำการรักษาอาการบาดเจ็บของเขา
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฝูเซิง เขากล่าวว่า “ข้าเดิมพันได้ไม่ผิดจริง ๆ เจ้าตัวน้อยทำให้ข้าประหลาดใจได้จริง ๆ ด้วย”
ตูมมม!
และการโจมตีระลอกที่สามของเจ้าโลหิตก็กำลังมาถึงแล้ว
หลังจากที่การโจมตีนี้ถูกสุ่ยจิงอิ๋งสกัดกั้นเอาไว้ได้ ฝูเซิงก็ฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ และในที่สุดก็กลายเป็นพืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะแล้ว
ฝูเซิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ต่อจากนี้ ถึงตาข้าจัดการเจ้าบ้างแล้ว เจ้าโลหิต!”
หนามโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมา เมื่อเผชิญหน้ากับฝูเซิงที่ฟื้นตัวจนกลายเป็นพืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะ เจ้าโลหิตก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น
เขากล่าวว่า “ช่างทำให้ข้าประหลาดใจได้มากจริง ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าการผูกพันธสัญญากับผู้หญิงคนนั้นจะทำให้เจ้าฟื้นฟูพลังได้ขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้ช่างแตกต่างเหลือเกิน มิแปลกใจเลยที่ อู๋หยาต้องใช้ความพยายามถึงเพียงนี้”
“แม้ว่าเจ้าจะไปถึงขั้นเทวะแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะกลายเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้ ฝูเซิง เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจเร็วเกินไปนักเลย”
ฝูเซิงเหลือบมองไปที่เขาพลางกล่าวว่า “ข้าสามารถใช้พลังวิญญาณได้ และยังมาถึงขั้นเทวะได้แล้วด้วย ดังนั้นในสายตาของข้าตอนนี้ เจ้ามันก็ไม่ต่างอะไรกับขยะเลยด้วยซ้ำ ข้าเอาชนะเจ จ้าได้แน่นอนอยู่แล้ว”
และคำดูหมิ่นของฝูเซิง ก็ทำให้เจ้าโลหิตโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง…
พลังที่เหมือนกับอัสนีบาตดังกึกก้องไปในอากาศ พระราชวังที่หรูหราที่สุดในขุมนรกสีโลหิต ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง
นี่คือพืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะ พลังในการต่อสู้ของหนามโลหิตที่โหดร้ายมากที่สุด
ต้องทนทุกข์มาเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถแก้แค้นได้แล้ว ฝูเซิงยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง และสถานการณ์ในตอนนี้ก็พลิกกลับแล้ว
มีการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นที่พระราชวังสีโลหิต อันที่จริงแล้วผู้คุมทั้งหมดต่างก็กำลังรอฟังคำสั่งอยู่ด้านนอก
แต่เนื่องจากไม่มีคำสั่งของท่านเจ้าโลหิต พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว เพราะบางทีท่านเจ้าโลหิตของพวกเขาอาจจะกำลังเล่นสนุกอยู่กับสนมชายคนโปรดอย่างท่านฝูเซิงอยู่ก็เป็นได้
หากพวกเขาเร่งรีบเกินไปจนทำลายความสนุกของท่านเจ้าโลหิต เมื่อถึงตอนนั้นแม้พวกเขาจะมีกี่ชีวิตก็คงไม่พอด้วยซ้ำ
การต่อสู้กับพืชกลายพันธุ์ที่ผลาญพลังนั้น ทำให้เจ้าโลหิตเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้นเขาจึงออกคำสั่งว่า “ผู้คุมทั้งหมดของขุมนรกสีโลหิตจงฟังคำสั่ง พวกเจ้าทั้งหมดจงมาช่วยข้าสังหารผู้หญิงคนนี้ซะ”
เจ้าโลหิตจ้องมองมู่เฉียนซีอย่างเย็นชา เดิมทีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในกำมือของเขา แต่เป็นเพราะพลังจิตวิญญาณของผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งเกินไป อีกทั้งพลังของนางยังพิเศษมาก มันจึ งทำให้ฝูเซิงฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และทำให้ทุกอย่างเสียการควบคุมไป
ที่ฝูเซิงสามารถเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นได้เพราะได้รับประโยชน์จากการผูกพันธสัญญากับผู้หญิงคนนี้ แต่ทว่าเขาได้ละเลยเรื่องหนึ่งไป ซึ่งในเวลาเดียวกันมันก็คือจุดอ่อนของเขาด้วย
เพราะการผูกพันธสัญญากับมนุษย์ หากเจ้านายตายไป แม้ว่าจะเป็นสัญญาเท่าเทียม แต่ฝูเซิงก็อาจจะต้องได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเช่นกัน
แม้ว่าการสังหารฝูเซิงจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การสังหารมู่เฉียนซีนั้นกลับง่ายดายกว่าอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่ผู้คุมทั้งหมดได้รับคำสั่งจากเจ้าโลหิต พวกเขาก็พุ่งทะยานเข้ามาทันที
นางเป็นเพียงนักโทษคนหนึ่งที่ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้ ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาทั้งหมดเป็นคนลงมือ
แต่ในเมื่อมันคือคำสั่งของท่านเจ้าโลหิต พวกเขาจึงจำเป็นต้องเชื่อฟัง
พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าใกล้มู่เฉียนซีได้เลย เนื่องจากมู่เฉียนซีได้นำพืชกลายพันธุ์ทั้งหมดที่อยู่ในมิติออกมา เหล่าน้องชายที่เสี่ยวเฉี่ยรวบรวมมาก่อนหน้านี้ก็ถือว่าเป็นน้องช ชายของฝูเซิงเช่นกัน
จำนวนและความแข็งแกร่งของพวกมันเพียงพอที่จะต่อต้านผู้คุมเหล่านี้เอาไว้ได้ และความคิดของเจ้าโลหิตที่คิดว่าผู้คุมเหล่านี้จะสามารถจัดการมู่เฉียนซีได้อย่างง่ายดายนั้น ความจริงแ แล้วเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาเกินไปหน่อย
พืชกลายพันธุ์จำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมไปทั่วทั้งพระราชวังโลหิต และพวกมันก็ได้ต่อสู้กับผู้คุมอย่างเอาเป็นเอาตาย
ส่วนมู่เฉียนซีกับพั่วจวินและจื่อเวยต่างพากันทะลุผ่านไปท่ามกลางพืชกลายพันธุ์ และทันทีที่สบโอกาส พวกเขาทั้งสามคนก็สังหารผู้คุ้มอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว
“จื่อเวย…” เมื่อค้นพบคนที่ไม่คาดคิดคนหนึ่ง เจ้าโลหิตก็ค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย
เดิมทีแล้วคนผู้นี้ควรจะฆ่ามู่เฉียนซี แต่ผลสุดท้ายเขากลับไปช่วยมู่เฉียนซีจัดการเขาเสียได้
เขาไม่เพียงแต่จะทำภารกิจล้มเหลวเท่านั้น และยังสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปอีกด้วย
ตูมมม โครมมม!
การต่อสู้ระหว่างฝูเซิงและเจ้าโลหิต ต้องเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดของขุมนรกสีโลหิตอย่างแน่นอน
แกร่ก!
หน้ากากที่เจ้าโลหิตสวมไว้ตลอดอันนั้นแตกออก และในที่สุดมันก็ได้เผยใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งของเขาออกมา
ใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งของเขานั้นขรุขระไม่เรียบเนียน หรือจะกล่าวได้ว่ามีใบหน้าที่น่าเกลียดมากเลยก็ว่าได้
และเมื่อรวมใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งเข้าด้วยกัน หากเขาเดินออกมาในตอนกลางคืนมันจะต้องทำให้คนอื่นหวาดกลัวได้อย่างแน่นอน
เมื่อหน้ากากถูกทำลาย มันจึงทำให้ใบหน้าทั้งหมดของเขาถูกเปิดเผยออกมา และสีหน้าของเจ้าโลหิตก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวขึ้นมาทันที
“ทุกคนที่เห็นใบหน้าของข้า จะต้องตาย! ต้องตายทุกคน พวกเจ้าจงตายไปซะเถอะ!”
เจ้าโลหิตระเบิดอย่างสมบูรณ์ เพราะรูปร่างหน้าตาของตนเองน่าเกลียดเกินไป ดังนั้นภายในใจของเขาจึงบิดเบี้ยว และชอบที่จะทรมานชายหนุ่มที่หน้าตาดีเป็นพิเศษ
ซึ่งฝูเซิงก็เป็นชายหนุ่มที่หน้าตางดงามที่สุดที่เขาเคยเจอมา ฉะนั้นเขาจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้ฝูเซิงต้องอับอาย!
ฝูเซิงกล่าวว่า “โอ้ย ตาข้า! รับไม่ได้จริง ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าบนโลกใบนี้จะมีคนที่อัปลักษณ์เช่นเจ้าอยู่ด้วย มิแปลกใจเลยที่วัน ๆ เอาแต่สวมหน้าหน้ากากไม่กล้าให้ใครเห็นหน้า มิแ แปลกใจเลยที่สังหารคนหน้าตาดีไปมากมายถึงขนาดนั้น ที่แท้เจ้าก็อิจฉานี่เอง”
ที่เจ้าโลหิตชื่นชอบผู้ชายไม่ใช่เพราะว่าเขามีความพิศวาสจนตัดแขนเสื้อ แต่ทั้งหมดเป็นเพราะอิจฉารูปร่างหน้าตาของคนอื่นนั่นเอง
“เจ้าเองก็ต้องตายเช่นกัน! ฝูเซิง แม้ว่าจะต้องเสียใจเล็กน้อย แต่ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้” การดูถูกของฝูเซิง เป็นการยั่วยุให้เจ้าโลหิตโกรธอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้เจ้าโลหิตทนที่จะฆ่าชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้แทบรอที่จะกำจัดฝูเซิงทิ้งโดยเร็วไม่ไหวแล้ว
แต่ว่า เขาจะทำได้อย่างนั้นหรือ?
เห็นได้ชัดว่าทำไม่ได้!
พลังของฝูเซิงระเบิดออกมาจนถึงขีดสุดจากนั้นก็ปะทะกับเจ้าโลหิต และชั้นที่สิบแปดของขุมนรกสีโลหิตก็ถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงสีแดงเลือด
จากนั้นลำแสงนี้ก็พร่างพราวมากขึ้นเรื่อย ๆ และกระจายไปยังชั้นอื่น ๆ อีกด้วย
มู่เฉียนซีเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า สุดท้ายแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
พรวด!
ทันทีที่ลำแสงหายไป ร่างของฝูเซิงก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศ และกระอักเลือดสด ๆ ออกมา สีหน้าของเขานั้นขาวซีดเป็นอย่างมาก
และเจ้าโลหิต ก็ถูกหนามโลหิตจำนวนนับไปถ้วนกักขังเอาไว้ ซึ่งหนามแหลมจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นก็ได้แทงลงไปบนผิวหนังของเขา และเขาก็ถูกแขวนเอาไว้กลางอากาศ
ร่างกายของเขากระตุกด้วยความเจ็บปวด เลือดของเขาหยดลงมาจากกลางอากาศ และย้อมพื้นดินจนเป็นสีแดงสด ซึ่งตอนนี้เขาก็กลายเป็นเหมือนลูกแกะที่รอให้มนุษย์มาเชือดอย่างสมบูรณ์
เขาถูกแขวนเอาไว้บนที่สูง ซึ่งคนทั่วทั้งชั้นที่สิบแปดต่างก็สามารถเห็นถึงความพ่ายแพ้อันน่าอับอายและสภาพที่จนตรอกของเจ้าโลหิตได้
“นั่นคือท่านเจ้าโลหิตนี่!”
“พระเจ้า! ท่านเจ้าโลหิต”
“……”
ในตอนที่พวกเขาค้นพบว่าคนที่อยู่กลางอากาศนั้นคือท่านเจ้าโลหิต ทั้งผู้คุมและนักโทษต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
นั่นคือท่านเจ้าโลหิตเชียวนะ นับตั้งแต่การมีอยู่ของขุมนรกสีโลหิต เขาก็คือผู้มีอำนาจสูงสุดที่อยู่เหนือผู้อื่น และไม่มีผู้ใดที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
แต่ทว่าตอนนี้เขากลับเปลี่ยนกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว
“ผู้ใดเป็นคนทำกันแน่?”
“พลังนั้น เป็นพลังของพืชกลายพันธุ์ ดูเหมือนว่าท่านฝูเซิงจะเป็นคนทำนะ”
“คิดไม่ถึงเลยว่าท่านฝูเซิงจะสามารถพลิกสถานการณ์ และเอาชนะท่านเจ้าโลหิตได้ นอกจากนี้เขายังกลายเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ของขุมนรกสีโลหิตที่สามารถเอาชนะท่านเจ้าโลหิตได้อีกด้วย ”
ผู้คนต่างพากันทอดถอนใจ และในเวลาเดียวกันก็มีความอยากรู้อยากเห็นแฝงอยู่ด้วย “ท่านฝูเซิงทำได้อย่างไรกัน? อยู่ ๆ เขาจะมีพลังวิญญาณขึ้นมาอย่างกะทันหันได้อย่างไร”
อย่างไรเสียฝูเซิงก็ถูกเจ้าโลหิตขังอยู่ในขุมนรกสีโลหิตมาเป็นเวลานาน อีกทั้งยังรู้สึกรังเกียจมานานมากแล้ว ฉะนั้นเขาจึงรู้สึกว่าการตัดหัวของเขาออก มันเป็นการทำให้เขาตายง่าย ยเกินไป ดังนั้นจึงไม่ได้ฆ่าเขาในทันที
ฟิ้ว!
มีเข็มยาจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งไปทางเจ้าโลหิต
มู่เฉียนซีเห็นด้วยกับวิธีของฝูเซิง แต่กลัวว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น ดังนั้นจึงได้มอบสิ่งของบางอย่างให้แก่เจ้าโลหิต
“อ๊ากกกกกก!” ทันทีที่ยาพิษแพร่กระจายไป เจ้าโลหิตก็กรีดร้องออกมาในทันที
“นี่เจ้าทำอะไรกับข้า? เจ้าทำอะไรข้ากันแน่?” เจ้าโลหิตจ้องมองไปทางมู่เฉียนซีดด้วยความโกรธ
“ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสสักหน่อย ว่าการที่ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้อย่างสิ้นเชิงนั้นรู้สึกอย่างไร! ดีหรือไม่?” มู่เฉียนซีกล่าวกับเจ้าโลหิตด้วยรอยยิ้ม
“เจ้านี่มันช่างบังอาจนัก!”
“เจ้ามันคือคนแพ้ เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงพูดคำนี้ออกมา” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
ในเวลานี้ มีเสียงที่โกรธเกรี้ยวเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ท่านเจ้าโลหิตกล่าวถูกต้องแล้ว นักโทษอย่างพวกเจ้าช่างบังอาจนัก คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าสังหารผู้ดูแลขุมนรกสีโลหิตแห่งนี้”