ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2453 มารับซีแล้ว
ภายใต้แรงกดดันทางพลังวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัว กลุ่มที่เข้ามาทั้งหมดนี้ไม่ใช่ลูกน้องของเจ้าโลหิตแต่อย่างใด
สีหน้าของฝูเซิงเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งขึ้นมาทันที ถึงขุมนรกสีโลหิตจะเป็นหนึ่งในคุกนรกที่อันตรายที่สุดในแดนนรก แต่มันก็ไม่ใช่แห่งเดียว
คุกนรกทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าแห่งคุกนรก และคนเหล่านี้ก็คือลูกสมุนของเจ้าแห่งคุกนรกนั่นเอง พวกเขาสามารถต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับคนเหล่านี้ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมากัน มากมายในคราวเดียวเช่นนี้
เจ้าโลหิตกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าชนะแล้วอย่างนั้นหรือ? ฝูเซิง สุดท้ายแล้วเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี ตอนนี้เจ้าคงจะรู้สึกเสียใจที่ไม่ยอมเชื่อฟังข้าใช่หรือไม่”
ฝูเซิงกำหมัดแน่น เขารู้ดีว่ามันยากที่จะเอาชนะคนเหล่านี้ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองสู้กันดูสักตั้งมิใช่หรือ?
ในตอนที่ฝูเซิงกำลังจะเริ่มเคลื่อนไหว มิติของทั่วทั้งคุกนรกก็เจอเข้ากับการโจมตีของพลังอันน่าสะพรึงกลัว
และคุกนรกอันกว้างใหญ่แห่งนี้ กำลังเสี่ยงที่จะแตกสลาย
แกร๊ก!
ผู้คุมทั้งหมดเหล่านี้ต่างพากันตะลึงงันไปในทันที “คิดไม่ถึงว่าจะมีคนฝืนบุกเข้ามาในขุมนรกสีโลหิตแห่งนี้จริง ๆ ”
เจ้าโลหิตก็ยากที่จะเชื่อเช่นกัน “เป็นไปไม่ได้ คุกนรกได้รับการป้องกันและผนึกเอาไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า เว้นแต่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในระดับนั้น ฉะนั้นไม่มีผู้ใดสามารถบุกเข้ามาได้อ อีกแล้ว”
พลังแห่งความมืดอันน่าสะพรึงกลัวกวาดไปทั่วทั้งท้องฟ้าสีเลือด และบริเวณโดยรอบก้เริ่มที่จะมืดมิดลง ซึ่งในตอนนี้ผู้คุมเหล่านั้นต่างตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เป็นเขา…ต้องเป็น นเขาแน่…
ร่างเงาอันเพียวบางสีดำร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศ และการปรากฏตัวกลางขุมนรกสีโลหิตแห่งนี้ ก็เหมือนกับว่ามีเทพปีศาจมาเยือนอย่างไรอย่างนั้นเลย
มู่เฉียนซีจ้องมองไปยังร่างที่ดูคุ้นเคยร่างนั้น หลังจากนั้นใบหน้าของนางก็ฉายแววประหลาดใจ และกังวลมากในเวลาเดียวกัน
พลังที่จิ่วเยี่ยระเบิดออกมคราวนี้แข็งแกร่งเกินไป และแน่นอนว่าการเปิดขุมนรกสีโลหิตไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่ายดายถึงขนาดนั้นอยู่แล้ว
“พรวด!”
และอู๋หยาที่อยู่ไกลออกไปในพระราชวังคุกโลหิตก็ได้กระอักเลือดออกมา ซึ่งตอนนี้ใบหน้าของเขาก็ขาวซีราวกับกระดาษเลยทีเดียว!
“ฝ่าบาทจิ่วเยี่ย คิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียว ท่านจะยอมทำได้ถึงขนาดนี้!” อู๋หยาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยว่าคนที่เขาเฝ้าดูตอนเติบโต เฝ้าดูเขาเติบใหญ่ เฝ้าดูเขาที่ ต้องเจอกับอุปสรรค์ที่เข้ามาวุ่นวายตลอดชีวิต และเขาก็คิดว่าตนเองเข้าใจฝ่าบาทจิ่วเยี่ยมากที่สุด แต่ตอนนี้เขากลับไม่เข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้ทำเช่นนี้?
เมื่อเห็นอู๋หยามีสภาพที่น่าอนาถขนาดนี้ จื่อโยวก็มีความสุขเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า “อู๋หยา เกิดอะไรขึ้นกับเยี่ยอย่างนั้นหรือ?”
อู๋หยากล่าวว่า “ผนึกของข้า ได้ถูกฝ่าบาทลบล้างไปอย่างสมบูรณ์แล้ว”
ผนึกนั้นมีไว้เพื่อทำให้พลังคำสาปคงที่ แต่ทว่าตอนนี้มันถูกลบล้างได้แล้ว ซึ่งมันก็อันตรายมากเลยทีเดียว
“นี่คือคนที่ชั่วร้ายอะไรเช่นนี้! คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าบุกเข้ามาในขุมนรกสีโลหิตแห่งนี้ได้ น่าจะไม่ใช่ผู้ช่วยของคนเหล่านั้น ดูจากสถานการณ์แล้ว จะต้องเป็นศัตรูแน่นอน บางทีพ พวกเราอาจจะสามารถหนีออกไปได้ก็ได้” มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของฝูเซิง
เมื่อคนที่อยู่กลางอากาศผู้นั้นหายไป ฝูเซิงก็ค้นพบว่ามู่เฉียนซีเองก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน “เจ้าตัวน้อย…”
ตอนนี้มู่เฉียนซีได้ถูกจิ่วเยี่ยกอดเอาไว้ “ข้ามารับเจ้าแล้ว!”
นางกล่าวอย่างยอมรับผิดว่า “จิ่วเยี่ย ข้าทำให้เจ้าเป็นกังวลแล้วสินะ”
เมื่อมาถึงจุดนี้ หัวใจที่แข็งกระด้างของจิ่วเยี่ยก็สงบลงแล้ว เขากล่าวว่า “ข้ามาช้าไป ข้ามีความผิด ข้าไม่ควรปล่อยอู๋หยาไว้เลย! ข้าควรที่จะใช้ทุกวิถึทางเพื่อฆ่าอู๋หยา”
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นฉายแววเย็นยะเยือกออกมา
“เจ้า…”
ฝูเซิงจ้องมองไปยังมู่เฉียนซีที่ถูกจิ่วเยี่ยกอดเอาไว้ในอ้อมแขน ทั้งสองคนดูสนิทสนม และคุ้นเคยกันมาก…
ผู้คุมเหล่านั้นสูดหายใจเข้าลึกพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาทจิ่วเยี่ย คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะมาช้าเช่นนี้!”
จิ่วเยี่ยเหลือบมองไปทางพวกเขาแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้ายังไม่ตายอีกหรือ?”
ในชั่วขณะหนึ่ง พวกเขารู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
พวกเขาเคยต่อสู้กับฝ่าบาทจิ่วเยี่ยมาก่อน และนั่นก็คือก็คือฝันร้ายของพวกเขาแน่นอน
พวกเขาเหล่านี้คือคนที่โชคดีที่เอาชีวิตรอดมาได้ และพวกเขามีความทรงจำที่ลึกซึ้งเป็นพิเศษต่อฝ่าบาทจิ่วเยี่ยท่านนี้อีกด้วย
จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เหตุใดข้าถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ มันเป็นเรื่องที่พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์รู้ ในเมื่อข้าได้เจอพวกเจ้าแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าจะตายตอนนี้…”
“รีบหนีเร็ว!” ผู้คุมเหล่านั้นกล่าวอย่างตื่นตระหนก
ในเวลานี้พวกเขาจะมายังจะสนใจความเป็นความตายของเจ้าโลหิตได้อย่างไร เพราะการหนีเอาชีวิตรอดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
มิติที่อยู่บริเวณโดยรอบได้ถูกพลังแห่งความมืดผนึกไว้หมดแล้ว ุถึงพวกเขาอยากจะหนีก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้อยู่ดี ฉะนั้นจึงทำได้เพียงยืนหยัดต่อสู้กับจิ่วเยี่ยเท่านั้น
จิ่วเยี่ยคลายมือออกจากมู่เฉียนซี พลางกล่าวว่า “ซี เจ้ารอข้าสักประเดี๋ยวนะ!”
“อื้ม!” ร่างเงาสีดำพุ่งทะยานออกไป ในเมื่อจิ่วเยี่ยบอกว่าครู่เดียว ย่อมต้องใช้เวลาเพียงครู่เดียวจริง ๆ อยู่แล้ว
ร่างกายของคนเหล่านี้ยับเยินไปหมดแล้ว และเหลือเพียงแค่ศรีษะเท่านั้น
“ฝ่าบาทจิ่วเยี่ย ท่าน...ท่าน...”
“ในไม่ช้าเจ้าแห่งคุกนรกก็จะออกมาจากการจำศีล อีกไม่นาน ฝ่าบาทจิ่วเยี่ย สักวันหนึ่งท่านจะต้องกลับมาที่นี่อย่างแน่นอน!”
ปังงง!
ร่างกายของพวกเขากลายเป็นความว่างเปล่าในทันที และจิ่วเยี่ยก็กอดมู่เฉียนซีเอาไว้อย่างระมัดระวังอีกครั้ง
แข็งแกร่งเหลือเกิน! เจ้าหมอนี่วิปลาสไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
ฝูเซิงจ้องมองไปทางจิ่วเยี่ยอย่างตื่นตะลึง ความสามารถของเขาสูงมาก เขาก็เคยเจอผู้ที่แข็งแกร่งมาไม่น้อย แต่ว่า…นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอคนที่วิปลาสขนาดนี้
จิ่วเยี่ยกล่าวว่า “ซี พวกเรากลับกันเถอะ!”
“อื้ม! กลับกันเถอะ!”
สถานการณ์ของจิ่วเยี่ยผิดปกติมาก ซึ่งมู่เฉียนซีเองก็กังวลใจเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาควรรีบออกไปจากขุมนรกสีโลหิตจะดีกว่า
หลังจากนั้นจิ่วเยี่ยก็เปิดมิติของขุมนรกสีโลหิตออก ถึงเขาสามารถไป ๆ มา ๆ ได้อย่างอิสระ แต่ฝูเซิงไม่สามารถทำได้นี่น่า!
“รอข้าด้วยสิ! เจ้าคิดจะทิ้งข้าเอาไว้ที่นี่อย่างนั้นหรือ?”
แต่ทว่าชายที่แข็งแกร่งผู้นั้น ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นว่าเขามีตัวตนเลย และภายในสายตาของเขามีเพียงคนที่อยู่ในอ้อมแขนเท่านั้น ซึ่งเขาก็ได้พามู่เฉียนซีไปโดยที่ไม่พูดไม่จา
“มีผู้ชายแล้วก็ทิ้งข้าเลยอย่างนั้นหรือ ช่างน่าเกลียดจริง ๆ !” ฝูเซิงกล่าวอย่างโกรธเคือง
แม้ว่ามู่เฉียนซีจะไม่ได้เอาฝูเซิงออกมาด้วย แต่เขาก็มีหาทางออกไปเช่นกัน นั่นก็คือการสังหารเจ้าโลหิตนั่นเอง
เจ้าโลหิตกล่าวว่า “ข้า…ข้าจะส่งเจ้าออกไปเอง ฝูเซิง ถือซะว่าเห็นแก่ข้าที่ปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดีมานานหลายปี เจ้า…เจ้าอย่าฆ่าช้าเลยนะ!”
“ข้าอยากจะออกไป จำเป็นต้องให้เจ้าช่วยด้วยอย่างนั้นหรือ?” ฝูเซิงกล่าวพลางแสยะยิ้มไปด้วย
จิตวิญญาณของเจ้าโลหิตถูกทำลาย และผนึกที่ใช้จัดการขุมนรกสีโลหิตของเขาก็ถูกฝูเซิงแย่งชิงไป ซึ่งเขาในตอนนี้ก็ได้กลายเป็นเจ้านายของขุมนรกสีโลหิตแห่งนี้แล้ว
ส่วนเจ้าโลหิต ตอนนี้ความสามารถของเขาไร้ประโยชน์แล้ว อีกทั้งยังมีความสามารถในการต่อสู้ที่อ่อนแอยิ่งกว่าหนุ่มหน้าตาดีเสีย ฉะนั้นเขาจึงให้คนจับเขาโยนออกไปได้ตามใจชอบ และปล่อ อยให้เจ้าโลหิตอย่างเขาดิ้นรนด้วยตนเอง
เขาเคยมีพลังวิญญาณที่สูงมากที่สุด ในขุมนรกสีโลหิตมาก่อน และมักจะดูถูกนักโทษที่ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้อยู่เสมอ แต่ตอนนี้เขาได้กลายเป็นเหมือนคนที่เขาเคยดูถูกเหล่านั้น น นอกจากนี้ยังมีสภาพที่แย่ยิ่งกว่าเขาอีกด้วย
ความยุ่งเหยิงของขุมนรกสีโลหิตหลังจากนี้ฝูเซิงไม่ต้องการที่จะจัดการมันอีกแล้ว แค่ปล่อยให้มันดำเนินไปอย่างนี้ก็พอ เพราะเขาในตอนนี้คิดเพียงแค่การออกไปจากขุมนรกสีโลหิตแห่งนี้เท ท่านั้น
ในเมื่อเขากลายเป็นเจ้านายแห่งขุมนรกสีโลหิต ฉะนั้นหากต้องการจะออกไปก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก มีคนสองคนที่ขอให้เขาพาออกไปด้วย ซึ่งนั่นก็คือพั่วจวินและจื่อเวยนั่นเอง
“ท่านฝูเซิงโปรดให้พวกเราได้ออกไปจากขุมนรกสีโลหิตด้วยเถอะขอรับ พวกเราจะไปหานายท่าน!”
เนื่องจากว่าจิ่วเยี่ยพานางออกมาเร็วเกินไป จึงทำให้มู่เฉียนซีไม่เพียงแต่ทำฝูเซิงพืชกลายพันธุ์ที่นางเพิ่งจะผูกสัญญาด้วยหายไปเท่านั้น แต่นางยังทำลูกน้องที่นางแย่งมาจากอู๋หยาอ อย่างพั่วจวินและจื่อเวยหายไปอีกด้วย
ไม่มีทางเลือก เพราะสถานการณ์ของจิ่วเยี่ยในตอนนี้ ทำให้นางไม่อยากที่จะสนใจเรื่องอื่นอีกเลย
จิ่วเยี่ยได้พามู่เฉียนซีมายังหุบเขาลั่วซีของคุกโลหิต หลังจากที่นางตรวจสอบร่างกายของเขาแล้วจึงกล่าวว่า “ผนึกที่อู๋หยาใช้ตรึงคำสาปนั้นหายไปแล้วอย่างนั้นหรือ? มันกลายเป็นเช่น นนี้ได้ยังไง?”
“เขาทำอะไรบางอย่างบนคำสาปนั้น และข้าก็ไม่มีทางยอมอยู่แล้ว” ในตอนที่ซีตกอยู่ในอันตรายเขาจะไม่ยอมให้ตนเองทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้ลบผนึกทิ้งไปเสีย
แม้ว่าการทำเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่อันตรายมากก็ตาม จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยเสียงอันแหบแห้งว่า “ซีอย่ากังวลไปเลย มีเจ้าอยู่ด้วย ก็ไม่จะเป็นต้องให้คนอื่นคอยช่วยเหลือแล้ว และข้าเอง งก็สามารถควบคุมมันได้อยู่แล้ว”
ใบหน้าที่งดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้กำลังเข้ามาใกล้มู่เฉียนซีมากขึ้นเรื่อย ๆ ลมหายใจของทั้งสองคนก็ผสมผสานเข้าด้วยกัน และพลังแห่งชีวิตอันไร้ขีดจำกัดก็ได้ประชันกับพลังคำสาปแห่ง งความมืด