ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2454 การกลับมาของเจ้านายเก่า
หลังจากที่ออกมาจากขุมนรกสีโลหิตแล้ว ฝูเซิงก็ตรงไปที่คุกโลหิตทันที
ในตอนที่เขาเหยียบลงบนพื้นดินของคุกโลหิต ฝูเซิงก็สูดหายใจเข้าลึกพลางกล่าวว่า “คุกโลหิต ในที่สุดข้าก็กลับมาแล้ว! ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
พั่วจวินและจื่อเวยเองก็ติดตามเขามาด้วยเช่นกัน พวกเขารู้ว่าฝูเซิงผูกพันธสัญญากับเจ้านายของเขา ฉะนั้นหากติดตามเขาไปจะต้องเจอนายท่านอย่างแน่นอน
ฝูเซิงเหลือบมองไปทางพวกเขาแล้วกล่าวว่า “ข้ายังไม่ไปตามหาเจ้าตัวน้อยตอนนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าใจของนางจะมีเจ้าของแล้ว นอกจากนี้ผู้ชายของนางยังแข็งแกร่งและยอดเยี่ยมมากอีกด้วย พวกเข ขาทั้งสองคนแยกจากกันนานขนาดนั้นพวกเราอย่าเข้าไปเกะกะเลยจะดีกว่า ตอนนี้ไปดูคุกโลหิตที่ห่างหายกันไปนานก่อนเถอะ”
ฝูเซิงไม่ได้ต้องการไปยังเมืองหลักของคุกโลหิต เขาหายไปนานขนาดนี้ ฉะนั้นคุกโลหิตจะต้องมีอ๋องคนใหม่ไปแล้วแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวที่จะไปเมืองหนามโลหิตแทน
ฝูเซิงปรากฏตัวที่เมืองหนามโลหิตอย่างไม่รีบร้อน และในตอนที่เขามาถึงเมืองหนามโลหิต ก็เห็นกำแพงเมืองที่คุ้นเคย และมันก็ยังคงเป้นเหมือนเดิมเหมือนตอนที่เขาจากไป
มันช่างน่าคิดถึงเสียจริงๆ!
ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กดื้อเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง?
ประตูเมืองเปิดอยู่ และนี่ก็ถือได้ว่าเป็นเมืองที่เจริงรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีผู้คนไปๆมาๆอย่างไม่ขาดสายอีกด้วย
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ หนามโลหิตที่อยู่ภายในเมืองไม่โจมตีใส่มนุษย์คนเลยแม้แต่คนเดียว
พวกมันมีมารยาทและสง่างามเป็นอย่างมาก ซึ่งพวกมันก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเลย
แต่เขาก็สงสัยมากเช่นกันว่า พวกมันทำอย่างนี้ได้อย่างไร?
ความกระหายเลือดเป็นสัญชาตญาณของหนามโลหิตอย่างพวกมัน หากมีระดับสูงจะสามารถควบคุมได้ แต่ทว่าหากเป็นระดับหนึ่งหรือสองดาวถึงพวกมันอยากที่จะควบคุมเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจควบคุมได้ อยู่ดี!
อารมณ์ที่ดีของฝูเซิงเปลี่ยนเป็นแย่และบ้าคลั่งขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าเมืองหนามโลหิตได้เปลี่ยนเจ้าเมืองไปแล้ว!
ถึงเขาจะสูญเสียตำแหน่งอ๋องของคุกโลหิตไปเขาก็ไม่ปวดใจเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้อยากเป็นอ๋อง ที่ต้องจัดการเรื่องวุ่นวายมากมายอยุ่แล้ว
หากอ๋องไม่มีมีลักษณะที่แข็งแกร่งที่สุดและมีอำนาจมากที่สุดในคุกนรกแล้วล่ะก็ ตอนแรกเขาคงไม่มีทางคิดสั้นถึงขนาดไปเป็นเจ้าคุกนรกแน่
แต่ทว่าเมืองหนามโลหิตนั้นไม่เหมือนกัน เพราะเมืองหนามโลหิตเป็นเมืองที่เขาสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง และสิ่งที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นเจ้าตัวน้อยจากเผ่าพันธุืเดียวกับเขาทั้งนั้น
และเมื่อจำเป็นต้องเป็นเมืองหลวงของคุกโลหิต ความเป็นเจ้าของที่นี่ของเขายิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
ตอนนี้มีคนแย่งเมืองหนามโลหิตของเขาไปแล้ว และที่เจ้าพวกนี้ไม่โจมตีมนุษย์ก็น่าจะเป็นเพราะถูกมนุษย์ควบคุมอยู่เป็นแน่
ฝูเซิงเดือดดาลเป็นอย่างมาก และมันก็ทำให้จิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมา
และตอนนั้นเองเขาก็ประกาศสงครามออกมาโดยตรง “เจ้าเมืองคนปัจจุบันของเมืองหนามโลหิตเป็นใคร? ไสหัวออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้”
ฝูเซิงคิดว่า หากเจ้าเมืองผู้นี้เชื่อฟังและคุยกันรู้เรื่องสักหน่อย และไม่ได้รังแกหนามโลหิตเหล่านี้ เขาก็จะใจดีไว้ชีวิตของเขา และแค่แย่งเมืองหนามโลหิตกลับคืนมาเท่านั้น
แต่หากอีกฝ่ายไม่ยอมรับ เช่นนั้นเขาก็จะทำลายคนผู้นั้นอย่างแน่นอน
กลิ่นอายนี้อันตรายมาก ซึ่งมันก็ทำให้อวิ๋นจื่อที่นั่งบัญชาการอยู่ที่จวนเจ้าเมืองตะลึงงันไปเล็กน้อย
พวกของเฉี่ยอี้ เฉี่ยเอ้อ และเฉี่ยซานออกไปทำงานข้างนอก แต่ทว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะสามารถต่อสู้ได้ และทำได้เพียงแค่ลงมือด้วยตนเองเท่านั้น
ร่างเงาสีม่วงเงินร่างหนึ่งพุ่งทะยานออกมา เขาที่กำลังอยู่บนอากาศเหนือเมืองหนามโลหิตเห็นชายหนุ่มที่แต่งตัวงดงามในชุดสีแดงคนหนึ่ง ซึ่งเขาดูงดงามและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก
ฝูเซิงเองก็จ้องมองไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน เขาผู้นั้นดูสงบและสง่างามมาก
และแล้วเขาก็พ่นคำคำหนึ่งออกมา “บัวศักดิ์สิทธิ์เงินม่วงเก้าชั้น!”
อวิ๋นจื่อก็กล่าวตอบว่า “หนามโลหิตขั้นเทวะ”
“เจ้าเป็นเจ้าเมืองหนามโลหิตแห่งนี้อย่างนั้นหรือ เมืองของพืชกลายพันธุ์อย่างพวกเราให้พืชศักดิ์สิทธิ์มาเป็นเจ้าเมืองตั้งแต่เมื่อไรกัน? เจ้าเด็กพวกนั้นโง่ไปแล้วหรือ?” ฝูเซิงประหลา าดใจเล้กน้อย เดิมทีคิดว่าเป็นมนุษย์ที่มาแย่งตำแหน่งเจ้าเมืองไป แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่เจ้าเมืองของเมืองหนามโลหิตหรอก ข้าเพียงแค่มาเป็นแขกของเมืองหนามโลหิต และออกมาช่วยเหลือเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ให้เจ้าเมืองของเมืองหนามโลหิตไสหัวออกมา ข้ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับเขา” ฝูเซิงกล่าวอย่างหยิ่งผยอง
“นางออกไปทำงานข้างนอก และไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร”
“ข้าว่าน่าจะกำลังซ่อนตัวไม่กล้าออกมาพบข้ามากกว่า! พาข้าไปเจอนางเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ แต่มาคิดดูแล้วเจ้าเองก็น่าจะไม่มีความมั่นใจที่จะสู้กับข้าเหมือนกัน สินะ!”
“พืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะนั้นรับมือได้ยากมากจริงๆ! แต่เจ้าคิดว่าจะสามารถเอาชนะได้แน่อย่างนั้นหรือ?”
ดวงตาของทั้งคู่สบกัน บรรยากาศที่อยู่โดยรอบเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความขัดแย้ง จนเกือบที่จะต่อสู้กันขึ้นมาแล้ว
อวิ๋นจื่อไม่อยากต่อสู้กันข้างในนี้ เขาจึงกล่าวว่า “ไปนอกเมือง!”
นี่คือเมืองของมู่เฉียนซี หากต่อสู้กันขึ้นมาและทำให้เมืองของนางถูกทำลายจนพังพินาศ ตอนที่นางกลับมาจะต้องมาขอเงินค่าซ่อมแซมจำนวนมากจากเขาแน่นอน
อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้รู้จักมู่เฉียนซีวันแรกเสียหน่อย และอวิ๋นจื่อก็รู้ซึ้งเลยว่ามู่เฉียนซีนั้นใจดำมากเพียงใด
ฝูเซิงก็ไม่อยากให้เมืองของตนเองถูกทำลายเช่นกัน อย่างไรเสียเมืองหนามโลหิตในตอนนี้ก็ดูน่าพึงพอใจกว่าก่อนหน้านี้มากนัก เขากล่าวว่า “ตกลง! เช่นนั้นก็ออกไปสู้กันนอกเมืองเถอะ!”
“ตูมมม โครมมม!” เสียงดังสะนั่นหวั่นไหวดังขึ้นมาจากนอกเมือง ถึงจะมีระดับเดียวกัน แต่พลังในการต่อสู้ของหนามโลหิตย่อมแข็งแกร่งกว่าบัวศักดิ์สิทธิ์เงินม่วงเก้าชั้นอยู่แล้ว
“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เจ้าแน่ใจว่าจะยังขวางข้าไม่ให้เจอเจ้าเมืองอยู่อีกหรือ?” ฝูเซิงกล่าวอย่างเอาแต่ใจ
“เจ้าเมืองของพวกเรา ไม่ใช่คนที่เจ้าอยากจะพบก็จะได้พบหรอกนะ” ทันใดนั้นหนุ่มน้อยที่มีผมสีแดงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น และตอนนี้เฉี่ยซื่อก็มาแล้วนั่นเอง
“ไอ้หนู นี่เจ้าคิดว่ากำลังพูดอยู่กับใครอย่างนั้นหรือ?” แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวโหมกระหน่ำเข้ามา และมันก็ทำให้เฉี่ยซื่อพูดไม่ออกไประยะหนึ่งเลยทีเดียว
“เจ้า…” นี่คือคนที่มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเขา และเป็นคนเผ่าพันธุ์เดียวกันที่เป็นขั้นเทวะแล้วด้วย
ตอนที่เขาอยู่เบื้องหน้าของชายคนนี้ดูเหมือนเขาจะกลาเป้นเด้กทารกก็มิปาน และเขาก็ไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย
“เอ๊ะ! หนามโลหิตของคุกโลหิตแห่งนี้นอกจากเจ้าสามคนนั้นแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังมีคนที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ด้วย!” ฝูเซิงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
อย่างที่รู้กันว่าตอนแรกเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการทำให้เจ้าสามคนนั้นกลายร่างเป็นมนุษย์!
สติของเฉี่ยซื่อกลับคืนมาอีกครั้ง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “กล้ามากระทำความผิดที่เมืองหนามโลหิต ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะต้องถูกฆ่าอย่างไร้ความปราณี!”
เป็นพืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันแล้วยังไงล่ะ? ภายในจิตใจของเฉี่ยซื่อมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น เขาจะกลายเป็นคนที่นายท่านภาคภูมิใจ และจะแข็งแกร่งพอเพื่อปก กป้องนายท่านให้ได้
“เจ้าหนูนี่ไม่เลวเลยจริงๆ! ภายใต้แรงกดดันของข้ายังสามารถสร้างแรงกระตุ้นมาต่อต้านข้าได้ การแสดงออกเช่นนี้ของเข้า ยิ่งทำให้ข้าสงสัยแล้วว่าเจ้าเมืองใหม่ผู้นี้จะมีสภาพเช่นไร นางใช้วิธีใดกันแน่ถึงทำให้พวกเจ้าลุ่มหลงได้ขนาดนี้?” ฝูเซิงยิ้มด้วยความสนใจ
การต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งกลายเป็นการต่อสู้แบบสองต่อหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่มีข้อได้เปรียบอะไรจากการมีสหายร่วมรบเลย เพราะหนามโลหิตผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป
เมืองหนามโลหิตได้เจอกับการโจมตีของศัตรูที่แข็งแกร่ง ฉะนั้นพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดทั้งหมดจึงถูกส่งออกไป แต่เมื่อพวกมันมาเผชิญหน้ากับหนามโลหิตขั้นเทวะ พวกมันก็ไม่รู้ว่าจ จะทำอย่างไรมาสักระยะหนึ่งแล้ว
ตอนนี้อวิ๋นจื่อได้รับบาดเจ็บแล้ว ส่วนเฉี่ยซื่อยังคงกัดฟันต่อสู้ต่อไป
พวกของเฉี่ยอี้ก็ได้รับข่าวด่วน ว่าเมืองหนามโลหิตมีศัตรูที่แข็งแกร่งเข้ามาบุกโจมตีแล้วเช่นกัน
และแม้แต่ท่านอวิ๋นจื่อก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นั้นเลย ซึ่งพวกเขาก็รีบพุ่งกลับมาดูด้วยความรวดเร็ว และพวกเขาก็ได้เห็นร่างเงาของคนที่งดงามคนหนึ่ง
เขายืนอยู่กลางอากาศ ราวกับเป็นภูมิทัศน์ที่งดงามก็มิปาน
แม้ว่าจะไม่ได้เจอมานานนับพันปีแล้ว แต่รูปร่างหน้าตาของเขาก็ยังคงฝังอยู่ในส่วนลึกของกระดูกของเขา และไม่มีทางลืมเลือนได้อย่างแน่นอน
ดวงตาของเฉี่ยเอ้อมีน้ำตาคลออยู่เล็กน้อย เป็นนายท่าน...นายท่านกลับมาแล้ว…
เฉี่ยอี้กล่าวว่า “เฉี่ยซื่อ พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”
“ท่านอวิ๋นจื่อ หยุดก่อนขอรับ!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฝูเซิงเองก็ไม่ได้เคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน
เขามองทั้งสามคนที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด ซึ่งพวกเขาดูคุ้มมากเลยจริงๆ!
เขาเป็นคนช่วยพวกเขาเหล่านี้กลายร่างเป็นมนุษย์ด้วยมือตนเอง และคอยเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาเองด้วย
ฝูเซิงกล่าวว่า “ข้าคิดว่าพวกเจ้าทั้งสามคนจะตายไปแล้วเสียอีก! คิดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้เมืองหนามโลหิตเปลี่ยนเจ้าเมืองไปเช่นนี้”