ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2464 อ๋องแห่งคุกลับ
ทันใดนั้น พลังที่ผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวก็พวยพุ่งออกมาจากกลางอากาศ และร่างสีดำร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอยู่ในครรลองสายตาของพวกเขา
แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ได้ทำให้คนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ต่างคุกเข่าลงบนพื้นข้างหนึ่งโดยฉับพลัน พลางกล่าวว่า “ท่านอ๋องจิ่วเยี่ย”
“คารวะท่านอ๋อง!”
นี่คือกองกำลังที่แข็งแกร่งของแดนนรก น้ำเสียงของพวกเขาดังก้องกังวานราวกับเสียงของระฆังก็มิปาน ซึ่งมันก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งฟ้าดินเลยทีเดียว
เพียงแต่…
มีบางคนที่เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย และค้นพบว่าอีกฝ่ายมีบางอย่างผิดปกติ
ซึ่งคนที่ยืนอยู่กลางอากาศไม่ได้มีเพียงแค่ท่านอ๋องจิ่วเยี่ยเท่านั้น แต่ยังมีคนอีกผู้หนึ่งด้วย?
คนผู้นั้นก็คือหญิงสาวในชุดสีม่วงคนหนึ่ง และตัวที่เล็กกระทัดรัดของนางนั้น ตอนนี้ก็ได้ยืนอยู่ในอ้อมแขนของท่านอ๋องจิ่วเยี่ยอีกด้วย
แม้ว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งที่คุกเข่าอยู่เหล่านี้ แต่นางก็ยังคงนิ่งสงบเช่นเดียวท่านอ๋องจิ่วเยี่ยอย่างไรอย่างนั้น และไม่ได้ถูกสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้ทำให้ตื นกลัวแต่อย่างใด
และนี่ก็คือพระชายาของท่านอ๋องจิ่วเยี่ยแห่งคุกนรกของพวกเขานั่นเอง นางช่างเป็นหญิงงามที่ไร้ข้อบกพร่องใด ๆ เลยจริง ๆ
แต่ทว่าท่านอ๋องกำลังจะไปออกรบ เหตุใดถึงได้พาพระชายาไปด้วยกันเล่า? หรือว่าท่านอ๋องต้องการจะพาพระชายาไปทำสงครามด้วยอย่างนั้นหรือ?
ได้ยินข่าวมาว่าพระชายาแห่งคุกโลหิตของพวกเขา ยังมีระดับไม่ถึงเจ้าครองดินแดนเลยด้วยซ้ำ และความสามารถเช่นนี้หากไปยังสนามรบของคุกนรกทั้งเจ็ดเพื่อเป็นหน่วยกล้าตายก็ยังไม่พอเ เลย
หรือจะกล่าวได้ว่าท่านอ๋องของพวกเขามีความมั่นใจในพลังของตนเองเป็นอย่างมาก และเขาก็คิดว่าจะสามารถปกป้องพระชายาได้อย่างแน่นอนอย่างนั้นสินะ
แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ในใจ แต่พวกเขาก็เป็นกังวลว่าพระชายาอาจจะถูกศัตรูจับตัวเอาไว้ได้ และจะกลายเป็นจุดอ่อนของท่านอ๋องจิ่วเยี่ย
แต่ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับชายที่แข็งแกร่งจนทำให้คนต้องเงยหน้าขึ้นมองผู้นั้น ก็ไม่มีใครกล้าเสนอแนะใด ๆ อีกเลย
หลังจากนั้นจิ่วเยี่ยก็โบกมือพลางกล่าวว่า “ออกเดินทาง!”
ทันใดนั้น ลำแสงสีดำก็ได้ปกคลุมเมืองเทพสังหารเอาไว้ และค่ายกลส่งตัวขนาดใหญ่ก็เริ่มทำงานทันที
กรงร้อยศึกอยู่ไม่ไกลมากเท่าไรนัก ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดที่คนกลุ่มนี้จะต้องรีบเร่งเดินหน้าไป ส่วนคุกนรกทั้งเจ็ดต่างก็เลือกที่จะใช้ค่ายกลส่งตัวเพื่อส่งทหารที่ทรงพลังท ทั้งหมดไปยังรอบนอกของกรงร้อยศึก
เหตุใดถึงต้องไปยังรอบนอกกรงร้อยศึกน่ะหรือ? ก็เพราะว่ากรงร้อยศึกมีกฏห้ามเอาไว้ ว่าไม่สามารถใช้ค่ายกลส่งตัวเคลื่อนย้ายเข้าไปตรง ๆ ได้นั่นเอง
ส่วนจิ่วเยี่ยก็ไม่จำเป็นต้องใช้ค่ายกลส่งตัวแต่อย่างใด เขาเพียงแค่อุ้มมู่เฉียนซีเอาไว้ และแหวกไปในอากาศที่ว่างเปล่า หลังจากนั้นก็หายไปจากคุกโลหิตทันที
นางอยู่ในความมืดมิดอันว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุด และในตอนที่มาถึงจุดหมายปลายทาง มู่เฉียนซีก็ได้เห็นว่าเบื้องหน้ามีกรงนกขนาดใหญ่อยู่ ใช่แล้ว…มันคือกรงนก ซึ่งรูปร่างภายนอกข ของมันมีความคล้ายเป็นอย่างมากจริง ๆ
แต่ไม่รู้ว่ากรงนกนี้มีขนาดใหญ่กว่ากรงนกธรรมดากี่ร้อยเท่า เนื่องจากว่ามันได้บรรจุอาณาเขตขนาดใหญ่ที่ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดเช่นนี้เอาไว้นั่นเอง
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “นี่คือกรงร้อยศึกอย่างนั้นหรือ?”
“อื้ม! ส่วนนั่นก็คือสนามรบ”
“ข้างล่างนั่นก็คือเหวนรก!” แววตาของจิ่วเยี่ยจ้องมองไปยังเหวนรกที่อยู่ข้างล่างนั่น ซึ่งมันก็คือเหวลึกที่ไม่มีจุดสิ้นสุดนั่นเอง
แม้ว่ามู่เฉียนซีจะใช้พลังจิตวิญญาณทั้งหมดของตนเอง แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าจุดสิ้นสุดของมันอยู่ที่ใด?
“เหวนรกอย่างนั้นหรือ?” หากเป็นไปได้ ตอนนี้นางอยากจะลากจิ่วเยี่ยพุ่งลงไปในเหวลึก เพื่อไปท้าทายกิเลนแห่งนรก และเอาชนะมันเสีย
สำหรับนางแล้ว แดนนรกไม่สามารถเทียบกับการฟื้นตัวของจิ่วเยี่ยได้เลย ซึ่งนางก็หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี
แต่ทันทีที่นางนึกถึงคราวที่แล้วที่จิ่วเยี่ยบาดเจ็บ จนทำให้คำสาปแห่งความมืดที่แข็งแกร่งที่สุดปะทุขึ้นมา ซึ่งนางรู้ดีอยู่แล้วว่าตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรหุนหันพลันแล่นได้เด็ดขาด
แต่ว่านางจำเป็นที่จะต้องหามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ที่สามารถควบคุมกิเลนแห่งเหวนรกให้ได้ หรือก็คือหอคอยฝึกอสูรแห่งความมืดของหอคอยนิรันดร์นั่นเอง เพราะมิเช่นนั้นแล้วก็มี ความเป็นไปได้มากว่าผลสุดท้ายแล้วพวกเขาจะไม่สามารถเอาดีกิเลนมาได้ และคำสาปก็จะปะทุขึ้นมาจนไม่สามารถควบคุมได้อีก
ในเวลานี้ กองทัพของคุกโลหิตทั้งหมดก็ได้ถูกค่ายกลส่งตัวส่งมาถึงรอบนอกของกรงร้อยศึกแล้ว
ในตอนที่พวกเขามาถึง มู่เฉียนซีก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของมิติที่แข็งแกร่งมากอีกพลังหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่กรงร้อยศึกแห่งนี้
ทันใดนั้น กองกำลังขนาดใหญ่ที่มีจำนวนคนมากกว่าคุกโลหิตถึงห้าเท่าก็ปรากฏตัวขึ้นมาในสถานที่ที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขา
ถึงระยะห่างจะไกลมาก แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งแล้ว ดูเหมือนว่าจะใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็สามารถเข้ามาใกล้ได้แล้ว
มู่เฉียนซีเห็นคนสองสามคนที่ยืนอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าของกองทัพนั้น ซึ่งภายในนั้นก็มีคนที่มู่เฉียนซีเคยเห็นมาก่อนอย่างโยวจีอ๋องของคุกมืด และอ๋องไป๋กุ่ยซึ่งเป็นอ๋องของคุก วิญญาณนั่นเอง
ส่วนอีกสี่คนที่เหลือน่าจะเป็นอ๋องของคุกทมิฬ อ๋องของคุกอสูร อ๋องของคุกรากษสและยังมีอ๋องของคุกลับอีกด้วย
ส่วนคนที่เป็นผู้นำก็น่าจะเป็นอ๋องของคุกลับ ซึ่งในขณะที่มู่เฉียนซีจ้องมองไปยังอ๋องของคุกลับ นางก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
คิดไม่ถึงเลยว่าใบหน้าของอ๋องแห่งคุกลับผู้นั้นจะมีความคล้ายคลึงกับจิ่วเยี่ยถึงสามส่วนเลยทีเดียว และถึงความคล้ายคลึงจะไม่ชัดเจนนัก แต่เนื่องจากว่านางมีความคุ้นเคยกับจิ่วเยี่ยเป็ นอย่างมาก จึงทำให้นางสามารถมองออกได้ภายในพริบตาเดียวเท่านั้น
อ๋องจิ่วเยี่ยมักจะสวมหน้ากากอยู่ตลอด จึงทำให้มีน้อยคนนักที่จะเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา และคาดว่าน่าจะไม่มีคนสังเกตเห็นถึงจุดเล็ก ๆ นี้
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีแน่นขึ้นไปอีก จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ซีอย่าไปมองเขา!”
ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกคู่นั้นเหลือบมองไปยังอ๋องของคุกลับผู้นั้น และชั่วขณะหนึ่งคนของอีกฝ่ายก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บที่น่าสะพรึงกลัว
“เหอะ ๆ ๆ! ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่าอ๋องจิ่วเยี่ยแห่งคุกโลหิตไม่เคยเข้าใกล้หญิงสาวมาก่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บจากศึกใหญ่คราวที่แล้ว นิสัยทั้งหมดของเจ้าจะเ เปลี่ยนไป และหันมาสนใจหญิงสาวเช่นนี้ เขาสนใจมากจนสงครามที่สำคัญขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมแยกห่างจากผู้หญิงของตนเองเลย” มุมปากของอ๋องแห่งคุกลับยกยิ้มขึ้นมาพลางกล่าวอย่างหยอกล้ อ
“ช่างเป็นแม่นางน้อยที่เปราะบางเสียจริง ๆ! การที่พานางมายังสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ ท่านอ๋องจิ่วเยี่ย นี่ท่านรักนางจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? แต่ก็อย่างว่า คนเช่นเจ้า มันไม่มีท ทางมีความรู้สึกหรอก!”
“หากมาอยู่ฝ่ายเดียวกับข้า ข้าจะต้องดูแลเจ้าอย่างดี และจะไม่มีทางปล่อยให้เจ้าต้องมาเจอะเจอประสบการณ์ของสงครามอันโหดร้ายเช่นนี้อย่างแน่นอน”
นี่อ๋องของคุกลับผู้นี้กำลังใช้อุบายกับอ๋องจิ่วเยี่ยอย่างโจ่งแจ้งเลยสินะ!
จิตสังหารระเบิดออกมาในความว่างเปล่า และยังไม่ทันที่จะเข้าไปในสนามรบที่กำหนดเอาไว้ จิ่วเยี่ยก็เริ่มลงมือก่อนแล้ว
ใครใช้ให้อ๋องแห่งคุกลับไปสะกิดต่อมโมโหของจิ่วเยี่ยกันล่ะ
ในเวลานี้ มู่เฉียนซีก็เอ่ยปากออกมาว่า “ข้าขอปฎิเสธ เจ้าทั้งแก่ทั้งขี้เหร่ไม่หล่อเหลาเหมือนจิ่วเยี่ยของข้า แล้วเหตุใดข้าจะต้องไปอยู่กับเจ้าด้วย? แม้ว่าจะมีอันตราย แต่อันตรายนั นก็คือพวกเจ้าต่างหาก”
ถึงแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับอ๋องทั้งหก แต่นิสัยของมู่เฉียนซีก็ยังเย่อหยิ่งอยู่ดี นอกจากนี้ยังมีความเย่อหยิ่งและมั่นใจมากเป็นพิเศษอีกด้วย
อ๋องแห่งคุกลับกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าแม่สาวน้อยอย่างเจ้าจะได้รับความโปรดปรานจากอ๋องจิ่วเยี่ยอย่างบ้าคลั่งเลยอย่างนั้นสินะ! แต่เมื่อถึงตอนที่มีอันตราย เจ้าก็อย่าร้องไห้ออกมาก็แล้ วกัน!”
อ๋องแห่งคุกลับสกัดกั้นการโจมตีนี้ของจิ่วเยี่ยเอาไว้ได้ พลางกล่าวว่า “เข้าไปในกรงร้อยศึก!”
จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เข้าไปสิ!”
เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว!
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วน ก็พุ่งทะยานเข้าไปในกรงร้อยศึก
และในขณะที่พวกเขากำลังเข้าใกล้ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องอันแหลมสูงของนกดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ในตอนที่เสียงของนกดังกึกก้องออกมา ก็มีกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกและชั่วร้ายลอยตามออกมาด้วย ทุกคนต่างผงะไปครู่หนึ่ง และดูเหมือนว่ากรงร้อยศึกแห่งนี้จะมีความผิดปกติบางอย่าง
กรงร้อยศึกแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานานมากแล้ว ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะมาที่นี่ และพวกเขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของที่นี่มากเท่าไรนักอีกด้วย
แต่ทว่าอ๋องแต่ละคนต่างมีความมั่นใจในความสามารถของตนเองเป็นอย่างมาก และคิดว่าไม่ว่าในแดนนรกแห่งนี้จะมีอันตรายอะไรก็ตาม ก็ยากที่จะหยุดพวกเขาได้
ในตอนที่พวกเขาฝ่ากฏข้อห้ามของกรงร้อยศึกเข้าไปในมิติของกรงร้อยศึกได้จริง ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายจำนวนนับไม่ถ้วนอบอวลไปทั่วทุกพื้นที่แห่งนี้เล ลยทีเดียว
ทันใดนั้นค่ายกลขนาดใหญ่ก็เริ่มทำงาน และมิติของกรงร้อยศึกก็ถูกแยกและแบ่งออกจากกัน ซึ่งมันก็ทำให้ทุกคนต่างทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”