ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2465 คิดร้ายอีกครั้ง
จิ่วเยี่ยต้องการที่จะกอดมู่เฉียนซีเอาไว้ให้แน่น แต่มู่เฉียนซีกลับกล่าวว่า “รูปแบบของค่ายกลมิตินี้ช่างยิ่งใหญ่มากเลยจริง ๆ! จิ่วเยี่ย ข้าสงสัยว่า…”
ทันใดนั้นอ้อมแขนของจิ่วเยี่ยว่างเปล่าอย่างกะทันหัน พลังแห่งมิติได้พามู่เฉียนซีไป มู่เฉียนซีจึงรีบกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ใจเย็นลงก่อน การต่อสู้ครั้งนี้ เจ้าจะต้องชนะ! และข้าจะกลับ ไปสมทบกับเจ้าให้ได้”
“ซีเอ๋อร์ หากข้าลงมือแล้วละก็ พลังแห่งมิตินี้ก็ไม่สามารถพาเจ้าไปได้ แต่เจ้าน่ะ! คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่ยอมให้ข้าลงมือ” ทันใดนั้นเสียงของสุ่ยจิงอิ๋งก็ดังขึ้นมา
“วิธีนี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก มันเหมือนกับวิธีที่อู๋หยาใช้ตอนอยู่ที่บึงโลหิตเลย สุ่ยจิงอิ๋งเจ้าก็รู้สึกเหมือนกันมิใช่หรือ? อู๋หยาลงมือเป็นครั้งที่สามแล้ว เช่นนั้นข้าจะช่วยเ เขาเปิดหูเปิดตาเอง!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ซีเอ๋อร์ เจ้านี่มั่นใจในตนเองเสียเหลือเกิน เรื่องที่เจ้ากล้าเสี่ยง คาดว่าเจ้าคนผู้นั้นก็น่าจะคำนวณเอาไว้แล้วเช่นกัน คนที่ถูกสวรรค์เลือกให้เป็นเทพพยากรณ์อันดับหนึ่งของเผ่ าเทพ จะต้องมีความคิดที่น่ากลัวไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปแน่นอน ข้ากลัวว่าซีเอ๋อร์จะตกอยู่ในอันตราย” สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“อู๋หยาต้องการจะฆ่าข้า ฉะนั้นข้าก็จะใช้ประโยชน์จากแรงกดดันชนิดต่าง ๆ ที่เขาสร้างขึ้น เพื่อให้สามารถยกระดับได้เร็วมากยิ่งขึ้น ข้ารู้ว่านี่เป็นกลยุทธ์ที่อันตราย แต่หากสำเร็ จ สิ่งที่จะได้รับกลับมาย่อมไม่เลวเช่นกัน”
มีเพียงภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถระเบิดศักยภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นออกมาได้
ภายในขุมนนรกสีโลหิต ร่างกายของนางเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้น คราวนี้นางก็ต้องการจะใช้สถานการณ์ที่อันตรายนี้ เพื่อบรรลุระดับให้ได้หนึ่งหรือสองขั้นเช่นกัน
ที่นางติดตามจิ่วเยี่ยมาเข้าร่วมสงครามใหญ่ระดับคุกนรกเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่ได้คิดจะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของจิ่วเยี่ยตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะมันไม่มีความท้าทายเลยแม้แต่น้อย มิเช่นนั นนางจะมาที่นี่ทำไมกันล่ะ? ให้นางมาคอยปรบมือให้กำลังจิ่วเยี่ยอยู่ข้าง ๆ หรืออย่างไร?
สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ข้าสามารถปกป้องซีเอ๋อร์ได้ เขาเป็นเพียงแค่เบี้ยตัวหนึ่งของสวรรค์และเผ่าเทพเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องการชีวิตของซีเอ๋อร์เช่นนี้ ช่างเป ป็นความคิดเพ้อฝันที่ไร้สาระจริง ๆ”
เมื่อออกมาจากภายในรอยแตกของความว่างเปล่าแล้ว มู่เฉียนซีก็ตกลงบนพื้นทันที
รูปแบบของค่ายกลมิติที่อู๋หยาใช้นั้น เป็นการนำคนจำนวนมากจากทั้งสองกลุ่มแยกจากกันจนแต่ละคนเหลือเพียงลำพัง และกระจายไปตามสถานที่ต่าง ๆ ของกรงร้อยศึกแห่งนี้
ทั้งสองฝ่ายสามารถค้นหาคู่หู จัดกลุ่ม และร่วมมือกันจัดการศัตรูก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำลายล้างศัตรูเพียงลำพังก็ได้เช่นกัน
ค่ายกลนี้ของอู๋หยาทำให้การต่อสู้แบบตัวต่อตัวที่เรียบง่ายมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับคุกโลหิตแล้วไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีประโยชน์ เพราะคนของคุกโลหิตมีจำนวนน้อยนั่นเอง
แม้ว่าจิ่วเยี่ยที่อยู่ในฐานะอ๋องจะแข็งแกร่งพอ แต่ข้อเสียในเรื่องของจำนวนคนก็สามารถทำให้คุกโลหิตได้รับความเสียหายอย่างหนักได้เช่นกัน
เนื่องจากตอนนี้ถูกแยกออกเป็นส่วน ๆ แล้ว ฉะนั้นถึงจะมีจำนวนคนที่เยอะก็ไม่แน่ว่าจะมีกำลังที่เหนือกว่าเสมอไป
แม้ว่าอู๋หยาจะมีความตั้งใจที่อยากจะฆ่านาง แต่สำหรับความภักดีที่เขามีต่อจิ่วเยี่ยนั้นไม่ใช่ของปลอมแต่อย่างใด
ซึ่งนั่นเป็นความภักดีชนิดที่ว่ายอมพลีชีพ และยอมที่จะชดใช้ด้วยชีวิตของตนนั่นเอง
การเคลื่อนไหวนี้ของอู๋หยาเป็นการกระทำที่ผิดต่อคุกนรกทั้งหก แต่มันกลับเป็นการช่วยคุกโลหิตแทน
แน่นอนว่า เป้าหมายที่แท้จริงของเขาน่าจะเป็นการทำให้นางออกห่างจากจิ่วเยี่ย หลังจากนั้นก็วางกลอุบายเพื่อกำจัดนางก็เถอะ!
ผนึกที่เขาสลักไว้บนร่างของจิ่วเยี่ยได้ถูกจิ่วเยี่ยลบล้างออกไปหมดแล้ว ซึ่งเขาไม่สามารถควบคุมคำสาปให้มันระเบิดได้ และไม่สามารถบังคับให้จิ่วเยี่ยหลับลึกได้อีกแล้ว นอกจากนี้ เขาน่าจะต้องการให้อ๋องของคุกนรกคนอื่น ๆ สกัดจิ่วเยี่ยเอาไว้ตอนที่แยกออกจากกัน จากนั้นค่อยลงมือกับนาง
จากประสบการณ์ที่ถูกอู๋หยาวางแผนร้ายมาถึงสองครั้งก่อนหน้านี้ ทำให้ตอนนี้มู่เฉียนซีได้เรียนรู้และวิเคราะห์ความคิดกับกลอุบายของอู๋หยาได้แล้ว ซึ่งมันก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่นาง งไม่ได้เตรียมตัวเลยแม้แต่น้อยอีกต่อไป
มู่เฉียนซีจ้องมองไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ ซึ่งมันก็มีกระดูกมากมายอยู่ตรงหน้าของนาง
และไม่เพียงเท่านั้น ตอนนี้นางยังอยู่ที่ใจกลางกรงร้อยศึก อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายอีกด้วย
นางเคยเจอกับต้นไม้แห่งความตายมาก่อน ซึ่งมู่เฉียนซีก็รู้สึกว่ากลิ่นอายแห่งความตายของที่นี่มีต้นกำเนิดเดียวกับต้นไม้แห่งความตายเลย กรงร้อยศึกแห่งนี้ไม่ง่ายเลย มันอันตรายมา ากทีเดียว
แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว สถานที่ที่อู๋หยาจะใช้ในการสังหารนาง ย่อมต้องไม่ใช่สถานที่ที่สะดวกสบายอยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังเกรงว่า เขาน่าจะเป็นเพียงคนเดียวที่มีความเข้าใจต่อกรงร้อยศึกแห่งนี้เป็นอย่างดี
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ไปตามหาคนของคุกโลหิตหรือคนของเมืองหนามโลหิตก่อนเถอะ แล้วค่อยไปตรวจสอบสถานการณ์ของกรงร้อยศึกสักหน่อยด้วย”
ตอนนี้จิ่วเยี่ยก็ล่วงลงมาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งแล้วเช่นกัน เขาต้องการที่จะติดต่อกับสุ่ยจิงอิ๋งเพื่อยืนยันตำแหน่งของซี แต่ทว่ามันกลับเกิดการแทรกแซงมิติ…
“อู๋หยา!” จิ่วเยี่ยพ่นคำคำนี้ออกมาอย่างเย็นชา
“เช่นนั้นก็จัดการฆ่าคนทั้งหกคนนั้นก่อนก็แล้วกัน!” หลังจากนั้นพลังของจิ่วเยี่ยก็เริ่มไหลทะลักไปทั่วกรงร้อยศึกแห่งนี้ ซึ่งมันก็ทำให้คนที่อยู่โดยรอบสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายข ของจิ่วเยี่ยได้ทันที
“ฝ่าบาทอยู่ทางนั้นหรือ? พวกเรารีบไปกันเถอะ”
“เป็นท่านอ๋องจิ่วเยี่ย พวกเรารีบหนีกันเถอะ!”
ด้วยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ทำให้ปฏิกิริยาของคนสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เวลานี้ ด้านนอกกรงร้อยศึกที่มีพระราชวังอยู่แห่งหนึ่ง พระราชวังแห่งนี้ที่เป็นถึงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพ ได้มีร่างสีขาวนวลร่างหนึ่งที่เวลานี้เต็มไปด้วยเลือดปรากฏขึ้น
พรวด!
เขายังคงกระอักเลือดออกมาต่อเนื่องอย่างบ้าคลั่ง
“เพื่อจัดการแม่นางน้อยเพียงคนเดียว เท่านี้ยังไม่พออีกหรือ! ดูท่านสิ บาดเจ็บถึงขนาดนี้ ร่างแยกนี้ของท่านกำลังจะดับสูญแล้วนะ! ท่านอู๋หยา” มีร่างเงาสีดำร่างหนึ่งอยู่ข้างหลั งของเขา
เขาจ้องมองไปยังอู๋หยาที่ขาวซีดโดยไม่มีเลือดเลยแม้แต่น้อย และถึงแม้ว่าเขาจะพยายามลุกขึ้นมาแต่ก็ลุกไม่ขึ้น ทว่ากลับมีรอยยิ้มที่เยาะเย้ยปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาแทน
“ท่านมีสภาพที่น่าสังเวชเช่นนี้ เมื่อถึงเวลาที่ข้าไปจับฝ่าบาทของท่านเอาไว้ ข้าคิดว่าท่านก็คงไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะขวางข้าได้หรอก! แล้วท่านจะทำเช่นไรล่ะ?”
อู๋หยากล่าวอย่างเย็นชาว่า “อย่างเจ้าน่ะหรือ! ไม่มีทางหรอก อย่าได้ฝันไปเลย ฝ่าบาทจิ่วเยี่ยจะต้องฆ่าเจ้าด้วยตนเองแน่นอน”
“ท่านยังคงเชื่อมั่นในตัวเขาเช่นนั้นสินะ! หรือท่านไม่รู้ว่าตอนแรกที่เขาอยู่ในคุกนรกของข้า ข้าสามารถทำร้ายเขาได้อย่างอิสระ เจ้าเด็กน้อยนั่น ตอนที่ไร้พลัง…มันช่างน่ารักน น่าชังเสียจริง ๆ!”
“รนหาที่ตายนัก!” สีหน้าของอู๋หยาเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นมาทันที ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใส่ร้ายฝ่าบาทจิ่วเยี่ยผู้สูงส่งของเขา
“เช่นนั้นท่านก็จงมีชีวิตต่อไปเถอะ แล้วคอยดูก็แล้วกัน!”
กรงร้อยศึกเต็มไปด้วยความเสียหาย และพื้นที่ที่เป็นหลุมเป็นบ่อมากมาย และในเวลานี้มู่เฉียนซีก็สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายแห่งความตายได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
หากเป็นเพียงคนธรรมดาคงไม่มีทางรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นแน่ แต่ทว่าพลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีนั้นแข็งแกร่งพอ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากการรับรู ของนางได้
แม้ว่าจะมีประสบการณ์ในการจัดการกับอู๋หยา แต่มู่เฉียนซีก็ไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วเขาวางกับดักไว้มากมายเพียงใด แผนการของร่างทรงอย่างอู๋หยาผู้นี้ จะต้องมีหลายต่อหลายชั้นอย่า างแน่นอน
กรงร้อยศึกมีขนาดที่ใหญ่เป็นอย่างมาก พวกเขาต่างถูกทำให้กระจัดการะจายกันออกไป และมู่เฉียนซีก็ได้ผ่านเมืองที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง
เพราะสงคราม ได้ทำลายมันจนกลายเป็นซากปรักหักพังและไม่เหลือร่องรอยของอดีตไว้เลยแม้แต่น้อย
และมู่เฉียนซีก็ได้เจอคนกลุ่มหนึ่งที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นคนกลุ่มนี้คือหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวที่โดดเด่น ซึ่งมู่เฉียนซีก็เดาได้ว่าคนพวกนี้ต้องเป็นคนของคุกมืด ดอย่างแน่นอน
“ที่นี่ยังมีน้องสาวตัวน้อยอยู่อีกคนหนึ่งด้วยสินะ! แล้วเจ้าเป็นคนของกองกำลังฝ่ายไหนกันล่ะ?”
“ท่านพี่ สายตาท่านไม่ดีไปแล้วหรือไง หรือท่านมองไม่ออกว่าผู้หญิงคนนี้ก็คือพระชายาของคุกโลหิตคนนั้น!”
“เป็นพระชายาที่น่าสงสารจริง ๆ! ต้องออกมาจากการคุ้มครองของอ๋องจิ่วเยี่ยแห่งคุกโลหิต และถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังในสนามรบแห่งนี้ จนดอกไม้อันบอบบางอย่างนี้กำลังจะเหี่ยวเฉาอย ยู่แล้ว!”