ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2476 อ๋องแห่งคุกลับ
อ๋องแห่งคุกอสูรกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฆ่ามันซะ! กำจัดพวกมันให้สิ้นซาก อย่าเหลือไว้แม้แต่คนเดียว”
“ขอรับ!”
คนที่เป็นผู้นำของกลุ่มเมืองหนามโลหิตก็คืออวิ๋นจื่อ เขาเข้าร่วมสงครามแดนนรกครั้งนี้ ในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของเขตต้องห้ามทางตอนใต้สุด
หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในเมืองอันรกร้างแห่งนี้แล้ว อวิ๋นจื่อก็กล่าวว่า “สถานที่แห่งนี้มีค่ายกลป้องกัน พวกเราต้องตามหามันเดี๋ยวนี้ หลังจากนั้นก็หาวิธีเปิดใช้งานมัน บางทีอาจ จจะสามารถสกัดกั้นกองกำลังของคุกอสูรได้”
“ขอรับ!”
สำหรับพืชกลายพันธุ์จำนวนมากแล้ว การปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย พวกเขาสามารถหาตำแหน่งในการเปิดใช้ค่ายกลได้อย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นอวิ๋นจื่อก็เปิดใช้ค่ายก กลในทันที
ตูมม!
มีพลังบางอย่างปกคลุมเมืองร้างแห่งนี้เอาไว้อย่างกะทันหัน ทำให้กองกำลังของอ๋องแห่งคุกอสูรคาดไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาชนเข้ากับปราการป้องกันที่นอกเมืองเช่นนี้
ตูมมมม!
หอกยาวของอ๋องแห่งคุกอสูรไม่สามารถทำลายปราการป้องกันนี้ได้ เขาขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าวอย่างไม่พอใจ “คนของคุกโลหิตเหล่านี้ไม่เพียงขี้ขลาดที่แค่เห็นพวกข้าก็วิ่งหนีราวกับหนู เท่านั้น แต่ตอนนี้ยังแอบซ่อนอยู่ในกระดองเต่าอีก พวกเจ้าจงทำลายมันให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!”
หลังจากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวออกมา ซึ่งค่ายกลของเมืองร้างแห่งนี้ย่อมไม่สามารถทนไปได้ตลอดเป็นแน่
เฉี่ยอี้เริ่มร้อนรน “ท่านอวิ๋นจื่อ!”
อวิ๋นจื่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากปราการป้องกันนี้ถูกทำลายลง เช่นนั้นก็มีเพียงแต่ต้องต่อสู้กับพวกเขาไปให้ถึงที่สุด หากสามารถฆ่าได้สักคน ก็ถือว่าเป็นกำไรของพวกเราแล้ว”
“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง!” ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นพ้อง
พลังของระดับอ๋องนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็ดึงดูดความสนใจจากคนทั่วทุกหนแห่งได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
มู่เฉียนซีที่กำลังตามหาพวกของจิ่วเยี่ยในตอนนี้ก็สัมผัสถึงพลังนี้ได้แล้วเช่นกัน จื่อโยวกล่าวว่า “พลังระดับอ๋องนี้ไม่ใช่พลังของเยี่ยแน่นอน ข้ารู้สึกว่ามันจะคล้ายกับพลัง งของอ๋องแห่งคุกอสูรมากกว่า”
“อ่องแห่งคุกนรกอย่างนั้นหรือ! แค่พลังของอ๋องเพียงคนเดียว อีกฝ่ายต้องทุ่มพลังถึงขนาดนี้ นี่เขากำลังต่อสู้อยู่กับกองกำลังไหนกันแน่นะ?” มู่เฉียนซีตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะกำลังต่อสู้อยู่กับกองกำลังไหนก็ตาม แต่พวกเขาจะต้องกำลังต่อสู้อยู่กับคนของคุกโลหิตแน่นอน
กองกำลังที่ไม่มีระดับอ๋องเลยแม้แต่คนเดียวกำลังเผชิญหน้ากับกองกำลังที่มีอ๋องอยู่คนหนึ่ง สุดท้ายแล้วผลจะออกมาเป็นเช่นไร? พวกเขาย่อมรู้ดีที่สุดอยู่แล้ว
“ไปกันเถอะ!”
ไม่ได้มีเพียงมู่เฉียนซีที่สังเกตเห็นเท่านั้น กองกำลังอีกกลุ่มหนึ่งก็สังเกตเห็นเรื่องนี้แล้วเช่นกัน
ซึ่งกองกำลังนี้มีใต้เท้าระดับล่างคนหนึ่งเป็นผู้นำ แต่เขากลับมีระดับใต้เท้าที่ทรงพลังมากมายติดตามเขาอยู่ด้วย
“ทางนั้นมีการต่อสู้ที่มีระดับอ๋องอยู่ด้วย ข้าเบื่อมานานมากแล้ว ในที่สุดก็สามารถเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่น่าสนใจได้เสียที พวกเราไปกันเถอะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว!
ในตอนที่กองกำลังของมู่เฉียนซีมาถึง ผนึกค่ายกลขนาดใหญ่ของเมืองร้างนั้นก็ได้ถูกทำลายลงแล้ว
ในตอนที่พวกเขากำลังเตรียมเดิมพันด้วยชีวิต ด้วยการต่อสู้อย่างนองเลือดไปจนถึงจุดจบอยู่นั้น บนท้องฟ้าก็มืดลงอย่างกะทันหัน และสัตว์ร้ายที่ทรงพลังมากตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น
“ข้าจะบอกอะไรให้นะอ๋องแห่งคุกอสูร การที่เจ้ามารังแกคนเช่นนี้ มันช่างไม่ดีเอาเสียเลย! ฉะนั้นข้าจะสั่งสอนเจ้าเอง”
“ใต้เท้าจื่อโยว คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาถึงแล้ว! แต่ระดับใต้เท้าเพียงคนเดียวอย่างเจ้าคิดจะต่อสู้กับข้า มันช่างน่าขันนัก หากเป็นหวงจิ่วเยี่ยมายังพอว่าไปอย่าง” อ๋องแห่งคุกอส สูรกล่าวอย่างหยิ่งผยองเป็นอย่างมาก
จื่อโยวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “เจ้าก็ลองดูสิ!”
ตูมมม!
พลังอันน่าอัศจรรย์ได้ระเบิดขึ้นไปในอากาศ อ๋องทั้งสองเริ่มต่อสู้กัน และคนอื่น ๆ ก็เริ่มต่อสู้ด้วยเช่นกัน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “โชคดีที่พวกเรามาทันเวลา ฆ่ามัน!” มิเช่นนั้นลูกน้องส่วนใหญ่ของนาง จะต้องมาตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
กองกำลังทั้งสองเข้าปะทะกัน และกลุ่มคนของคุกอสูรกลุ่มนี้ก็ลำบากขึ้นมาทันที เพราะเมื่อไม่มีคนระดับอ๋องคอยคุกคาม กองกำลังของเมืองหนามโลหิตก็เริ่มสังหารทุกคนอย่างไม่ไว้หน้า
มู่เฉียนซีพุ่งทะยานไปถึงข้างกายของอวิ๋นจื่อ นางกล่าว “ในฐานะที่เป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ เจ้ากลับไม่ยอมที่อยู่เมืองดี ๆ แต่ดันมาเข้าร่วมสงครามเสียอย่างนั้น!”
“นี่เจ้ากำลังดูถูกพลังในการต่อสู้ของพืชศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?” อวิ๋นจื่อกล่าวอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย
“ข้าก็แค่อยากปกป้องของหายากต่างหาก นักปรุงยาทุกคนล้วนมีจุดอ่อนเรื่องนี้กันทั้งนั้นแหละ” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หลังจากที่ร่างแยกของฝูเซิงระเบิดตนเอง ร่างหลักของเขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อพลังของเขาเป็นอย่างมาก เจ้าพอจะมีหนทางทำให้เขาฟื้นตัวได้เร็วขึ้นบ้างหรือไม่? ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
ราคาที่ฝูเซิงต้องชดใช้นั้นสูงเกินไป หากมีเวลาพอนางคงสามารถใช้พลังแห่งชีวิตและยาช่วยรักษาให้เขาไปแล้ว
แต่ทว่ากรงร้อยศึกแห่งนี้อันตรายมากเกินไป และสถานการณ์ในสนามรบก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งการฟื้นตัวที่รวดเร็วของฝูเซิงจะช่วยรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาให้มากขึ้นได้
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะให้ข้าช่วยรักษาหนามโลหิตที่เป็นพืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะเช่นนี้ มีพืชศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเขาทำเรื่องแบบนี้กันบ้าง!”
คุณลักษณะของทั้งสองฝ่ายแทบจะตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง และโดยสถานการณ์ทั่วไปแล้ว ล้วนถือว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเลยทีเดียว แต่เนื่องจากการมีอยู่ของมู่เฉียนซี จึงทำให้เจ้าหมอน นั่นและเขาสามารถอยู่กันได้อย่างสันติ
“หรือจะบอกว่า มีหนทางอยู่ใช่หรือไม่!” แววตาของมู่เฉียนซีเปล่งประกายระยิบระยับออกมาทันที
“เอาชนะเจ้าพวกนี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาว่ากันเถอะ!”
“ได้เลย ไม่มีปัญหา!”
เมื่อกองกำลังทั้งสองร่วมมือกัน อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการร่วมมือกันที่ทรงพลังที่สุดเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการมีอยู่ของพวกทานหลางทั้งหกคนอีกด้วย
และตอนนี้เองอวิ๋นจื่อก็สังเกตเห็นหนุ่มน้อยที่วิปลาสทั้งหกคนนั้นแล้ว เขาขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “นี่เจ้าได้เด็กวิปลาสมาอีกสามคนแล้วหรือ คิดไม่ถึงเลยว่าอู๋หยาจะโจมตีเจ้าอีกแล ล้ว”
อวิ๋นจื่อรู้ดีว่า ทุกครั้งที่อู๋หยาลงมือโจมตีมู่เฉียนซีนางจะต้องเจอกับวิกฤติที่อันตรายมาก เพราะอย่างไรเสียในครั้งแรกที่นางเจอเข้ากับวิกฤต โชคดีที่มีเขาอยู่ด้วยพอดี มิเช่ นนั้นมันคงเป็นสถานการณ์ที่อันตรายจนไม่อาจพูดถึงเลยทีเดียว
ส่วนในวิกฤตครั้งที่สอง นางก็ถูกต้อนจนต้องเข้าไปในขุมนรกสีโลหิต และรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด
และนี่ก็คงเป็นฝีมือของอู๋หยาอีกเช่นกัน ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเจ้าพืชกลายพันธุ์ขั้นเทวะผู้นั้นถึงได้บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าวว่า “อื้ม! ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเกรงว่าอู๋หยาจะยังสร้างสถานการณ์ที่อันตรายขึ้นในกรงร้อยศึกแห่งนี้อีกด้วย และดูเหมือนว่าสถานการณ์ในตอนนี้ก็เริ่มจะย่ำ ำแย่มากแล้ว”
สถานการณ์ของคุกอสูรในตอนนี้น่าอนาถเป็นอย่างมาก แต่ทว่าท่านอ๋องของพวกเขาในตอนนี้กำลังต่อสู้อยู่กับใต้เท้าจื่อโยว จึงไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้เลย
อ๋องคุกอสูรกล่าวว่า “สมกับที่เป็นสุนัขรับใช้ที่อยู่ข้างกายอ๋องจิ่วเยี่ยจริง ๆ เจ้าค่อนข้างมีความสามารถมากเลยทีเดียว”
จื่อโยวโกรธเคืองเป็นอย่างมาก “เจ้าสิเป็นสุนัข! ตระกูลของเจ้าก็เป็นสุนัข ไปตายซะเถอะ!”
ตูมมม!
มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวออกมา ราวกับภูเขาถล่มแผ่นดินแยกจากเลยทีเดียว
และคนของคุกอสูรกลุ่มนี้ ก็ได้ต้อนรับการมาถึงของกองกำลังเสริมอีกกลุ่มหนึ่ง
“ดูเหมือนว่าข้าจะมาได้ถูกเวลาจริง ๆ เลย!” พลันนั้นเสียงที่หยิ่งผยองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“พันธมิตรคุกลับมาแล้ว คอยดูเถอะว่าพวกเจ้าจะหยิ่งผยองไปได้สักแค่ไหนกัน!” เดิมทีคนของคุกอสูรเหล่านี้ต่างก็พ่ายแพ้ยับเยินไปแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าคนของคุกลับมาถึงแล้ว ใบหน้า ของพวกเขาก็เผยความปีติยินดีออกมาทันที
“เป็นฝ่าบาทหวงอู๋ไห่จากคุกลับ เขามียอดฝีมืออยู่ข้างกายนับไม่ถ้วน คนเหล่านี้จะต้องตายอย่างแน่นอน”
กองกำลังนี้ ได้ผ่าวงล้อมของกองกำลังเมืองหนามโลหิตเข้ามา เพื่อมาสมทบกับกองกำลังของคุกอสูร
มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง พลางกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าคนเก่งของพวกเจ้าจะมาแล้วสินะ! ฆ่าพวกมันซะ! วันนี้ไม่ว่าใครก็จะต้องพ่ายแพ้และสูญเสียอย่างหนักด้วยน้ำมือของข้า ”
ตูมมมม!
ทันใดนั้นพลังในการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายก็ระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์
“เอ๊ะ!” ในขณะที่กำลังต่อสู้หวงอู๋ไห่ก็ได้สังเกตเห็นร่างเงาสีม่วงร่างหนึ่ง และหลังจากนั้นแววตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที “นั่นมันผู้หญิงของหวงจิ่วเยี่ยนี่ ก่อนหน้านี้ตอน นที่อยู่นอกกรงร้อยศึก หวงจิ่วเยี่ยเอาแต่ปกป้องนางอย่างใกล้ชิดจนแทบมองไม่เห็นใบหน้าของนางเลย พอได้มาดูใกล้ ๆ ตอนนี้แล้ว นางช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามมากจริง ๆ!”
“ซึ่งก็ไม่ได้งดงามน้อยไปกว่ามารดาของหวงจิ่วเยี่ยเลยจริง ๆ!”
“ตามข้ามา ข้าต้องการจะไปจับหญิงสาวผู้นั้นด้วยตนเอง หากข้าแย่งผู้หญิงของหวงจิ่วเยี่ยมาไว้ในมือได้ ข้าก็ไม่รู้ว่าหวงจิ่วเยี่ยจะโกรธมากเพียงใด!” หวงอู๋ไห่กล่าวอย่างชั่วร้ าย