ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2478 แสวงหาโอกาส
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
พวกเขาพุ่งทะยานเข้าไปในซากโบราณสถานแห่งนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด
หลังจากที่เข้าไปในซากโบราณสถานแล้ว มันก็ทำให้พวกเขาหายใจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง ข้างในนี้ไม่มีพลังแห่งความตายเลยแม้แต่น้อยจริง ๆ ด้วย
จื่อโยวกล่าวว่า “เจ้าพวกนั้นหนีไปค่อนข้างเร็วเลยทีเดียว ในเมื่อพวกเขาชอบซากโบราณสถานแห่งนี้มากขนาดนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ปล่อยให้พวกเขาตายอยู่ข้างในนี้เลยดีหรือไม่?”
ในขณะที่พวกเขากำลังเดินหน้าไปในซากโบราณสถาน พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่อยู่ข้างหน้า แต่กลับไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตอยู่เลย
และด้านหน้าของพวกเขาก็คือกองทัพที่สวมชุดเกาะสีดำกองหนึ่ง พวกเขากล่าวอย่างกึกก้องว่า “ท่านอ๋องอัคคีเหลยถิงแห่งเมืองซากโบราณ ได้สั่งว่าให้สังหารผู้บุกรุกอย่างไร้ความปราน นี!”
มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง อ๋องอัคคีเหลยถิงหรือ นี่เขาเป็นอ๋องของแดนนรกในยุคสมัยไหนกันแน่?
จื่อโยวกล่าวว่า “เป็นอ๋องของเมื่อหมื่นปีที่แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเมืองซากโบราณจะอยู่ที่กรงร้อยศึกแห่งนี้ ไม่รู้ว่าที่นี่แอบซ่อนสมบัติอะไรเอาไว้บ้าง?”
“ไปจัดการกองกำลังนั้นก่อนค่อยว่ากันเถอะ” มู่เฉียนซีกล่าว
“ขอรับ” ทุกคนทำตามคำสั่งของมู่เฉียนซีและจื่อโยว ด้วยการพุ่งทะยานออกไปยังกองกำลังนั้นทันที
ตูมมมมม!
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ทว่าทางด้านของคุกโลหิตนั้นมีพลังรบดียิ่งกว่า
อย่างไรเสียกองกำลังของพวกเขาเหล่านี้ก็แข็งแกร่งกว่าอยู่แล้ว แต่หากเป็นกองกำลังอื่นมาเพื่อจัดการกับกองทัพชุดเกาะดำเหล่านี้ พวกเขาจะต้องถูกทำลายล้างอย่างแน่นอน
หลังจากที่เอาชนะกองทัพของเจ้าถิ่นได้แล้วพวกเขาก็เดินหน้าต่อไป และอีกกองกำลังหนึ่งก็ได้กวาดล้างผู้พิทักษ์ของเมืองซากโบราณนี้ไปตลอดทั้งเส้นทางเช่นกัน
ท่านอ๋องของเมื่อหมื่นปีก่อนนั้นทรงพลังมากจริง ๆ แต่ทว่าเขาได้ตายไปนานหลายปีแล้ว และพลังที่เขาเหลือเอาไว้ให้ลูกน้อง แน่นอนว่าไม่สามารถเทียบกับกองกำลังของคุกนรกทั้งเจ็ด ในเวลานี้ได้เลย ยิ่งไปกล่าวนั้นสถานที่แห่งนี้ยังมีอ๋องที่คอยบัญชาการอยู่ถึงสองคนอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ทหารชุดเกาะสีดำเหล่านี้จึงไม่สามารถสกัดกั้นการรุกล้ำของคนภายนอกได้ และพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้คนเหล่านี้เข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของสุสานของอ๋องอัคคีเหลย ยถิง
หลังจากที่ประตูบานนั้นถูกผลักออก ก็มีเสียงที่ทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “หลังจากที่ผ่านไปหมื่นปี ในที่สุดเพื่อนจากแดนนรกก็มายังสถานที่แห่งนี้เสียที”
“อ๋องอัคคีเหลยถิงหรือ!” มู่เฉียนซีกล่าวพลางมองไปยังสุสานที่ว่างเปล่า
ในเวลานี้ กองกำลังของคุกอสูรและคุกลับก็ได้มาถึงแล้ว และพวกเขาเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมาช้ากว่าคุกโลหิตไปก้าวหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นมาแล้ว คนของคุกโลหิตก็เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้อยู่ตลอดเวลา
เวลานี้อ๋องอัคคีเหลยถิงผู้นั้นก็กล่าวขึ้นมาว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงสุสานของข้าแล้ว ก็ถือว่ามันคือโชคชะตา แต่หากพวกเจ้ามีอะไรอยากจะทะเลาะกันก็ออกไปต่อสู้กันข้างนอก ข้า ไม่อนุญาตให้พวกเจ้ามาทำลายอาณาเขตของข้า! ”
ครืนนนน!
ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังออกมา
ที่นี่คืออาณาเขตของอ๋องอัคคีเหลยถิง หากไม่ทำตามกฎของเขา ก็จะต้องโดนการลงทัณฑ์จากสายฟ้าของเขาอย่างแน่นอน
หวงอู๋ไห่กล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว ประโยชน์ที่จะได้รับนั้นไม่สามารถตัดสินกันด้วยกำลังได้ แต่เรื่องนี้มันอยู่ที่การมองหาโอกาส สต่างหาก”
อ๋องเหลยถิงกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าหนูอย่างเจ้าอยากจะได้โอกาสจากข้ามากเลยสินะ เช่นนั้นข้าก็สามารถให้โอกาสแก่พวกเจ้าได้ และโอกาสนั้นก็อยู่ภายในประตูบานนี้ แต่ทว่าที่นี่เ เต็มไปด้วยพลังอสนีบาตของข้า ขอเพียงพวกเจ้าสามารถสกัดกั้นพลังอสนีบาตของข้าได้ โอกาสนั้นก็จะตกเป็นของพวกเจ้าเอง”
หลังจากนั้นประตูบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของพวกเขา ดูเหมือนว่าอ๋องอัคคีเหลยถิงผู้นี้จะพูดง่ายไปหน่อยแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ทุกคน จงรออยู่ที่นี่! หากมีอันตราย ต้องรีบถ ถอยทันที จื่อโยว เจ้าอยากจะลองไปหาโอกาสเป็นเพื่อนข้าหรือไม่? เจ้ากล้าหรือเปล่า?”
จื่อโยวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มีอะไรที่ไม่กล้ากันล่ะ?”
คนที่มาคราวนี้ไม่ใช่คนโง่เขลา และไม่ใช่คนสายตาสั้นที่ไม่เคยเห็นสมบัติมาก่อน ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของอ๋องอัคคีเหลยถิงจึงไม่ได้กระโจนเข้าใส่อย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป
อ๋องคุกอสูรกล่าวว่า “ฝ่าบาทอู๋ไห่ หรือว่าท่านจะรออยู่ข้างนอกนี่ดี ข้าจะพาคนเข้าไปลองดูก่อน เพื่อไม่ให้ท่านต้องตกอยู่ในอันตราย”
หวงอู๋ไห่กล่าวว่า “คนที่ข้าพามาสามารถปกป้องข้าจากอันตรายได้ ที่เจ้าอยากจะไปเองคงไม่ได้อยากจะฮุบเอาไว้เพียงคนเดียวหรอกใช่หรือไม่?”
“หากฝ่าบาทของพวกเราต้องการจะเข้าไป เช่นนั้นก็เข้าไปกันเถอะ!”
“ตกลง”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นพันธมิตรกัน แต่ก็ไม่สามารถเชื่อมั่นในอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์อยู่ดี
มู่เฉียนซีและจื่อโยวมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น ส่วนอีกฝ่ายกลับมีคนมากกว่าสิบคนเสียอีก ฉะนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่าพวกเขาคงมีความมุ่งมั่นที่จะได้รับโอกาสมากมายข้างในนั้นเป็นแน่
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “อยากจะเอาคนไปเพิ่มอีกสักหน่อยหรือไม่?”
“แม้ว่าข้าและจื่อโยวจะเจอเข้ากับอันตรายใด ๆ ก็ยังพอสามารถล่าถอยออกมาได้อย่างปลอดภัย วางใจเถอะ!” เนื่องจากนางไม่แน่ใจว่าอ๋องอัคคีเหลยถิงกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่ ดังนั้ นนางกับจื่อโยวจึงจะเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ก่อน
“ตกลง!”
อ๋องอัคคีเหลยถิงกล่าวว่า “สามารถเข้าไปได้แล้ว!”
เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว!
ในตอนที่ร่างของพวกเขาพุ่งทะยานเข้าไป ประตูบานใหญ่นั้นก็ปิดลงทันที และอ๋องอัคคีเหลยถิงที่เคยรู้สึกว่าเป็นคนสุภาพอ่อนโยนก่อนหน้านี้ก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่า า ฮ่า ฮ่า! ผู้แข็งแกร่งระดับอ๋องล้วนเข้าไปกันหมดแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไม่ได้ถือว่าเป็นภัยคุกคามอะไรแล้ว”
สีหน้าของอวิ๋นจื่อเปลี่ยนไปอย่างมาก “นี่เจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่?”
หลังจากนั้น พวกเขาก็รู้สึกว่ากำลังถูกล้อมไว้ด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวที่ปรากฏตัวออกมา มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ แต่กลับไม่มีศัตรู…
ไม่ใช่สิ!
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ระวังตัวด้วย นี่เป็นการโจมตีด้วยจิตวิญญาณ! ทุกคนรีบรวบรวมพลังจิตวิญญาณ และสังเกตการเคลื่อนไหวรอบทิศให้ดี”
อ๋องอัคคีเหลยถิงกล่าวว่า “เลี่ยเจิ้น ฆ่าพวกมันซะ!”
“เจ้าพวกเด็กน้อยผู้กล้าหาญ ในเมื่อพวกเจ้ากล้าเข้ามาในสุสานของข้า เช่นนั้นชะตาของพวกเจ้าก็คือการกลายมาเป็นของเซ่นไหว้ของข้า นี่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถรอดพ้นไปได้ ไม่มีทางรอด ดไปได้แน่นอน”
บรรยากาศของสุสานเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดไปทันที การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายที่เดิมทีหยุดไปแล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
มีทั้งศัตรูแบบเปิดเผย ส่วนจิตวิญญาณเหล่านั้นก็แอบลอบโจมตีพวกเขาจากในที่ลับ ถึงสถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายจะไม่เอื้ออำนวยเท่าไรนัก แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็อยู่เหนือการควบคุมไปแล้ว
การเปิดโอกาสนี้ของอ๋องอัคคีเหลยถิง เป็นการแยกผู้นำของพวกเขาออกไปอย่างสมบูรณ์ และเมื่อกองกำลังที่ไม่มีแม่ทัพความสามารถสูงอยู่ ย่อมต้องตกอยู่ในความวุ่นวายอยู่แล้ว
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ทุกท่านใจเย็นก่อน ศัตรูจะต้องถูกทำลาย! ส่วนจิตวิญญาณที่แอบอยู่ก็ต้องป้องกันเช่นกัน พวกเราจะต้องรอจนกว่าพวกเขาจะออกมาได้แน่”
“ขอรับ!” พวกเขาตอบกลับมาด้วยเสียงหนักแน่น
ครืนนนนน!
ตอนนี้พวกของมู่เฉียนซีที่เข้าไปในประตูบานนั้นล้วนถูกอสนีบาตที่น่าสะพรึงกลัวโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่า
“จื่อโยว หลีกไป!” มู่เฉียนซีผลักจื่อโยวออก และพลังสายฟ้านั้นก็โจมตีลงมาบนร่างของนาง
หวงอู๋ไห่กล่าวว่า “ช่างเป็นคนที่ไม่เจียมตัวเลยจริง ๆ มาจนถึงจุดนี้แล้วคิดไม่ถึงเลยว่ายังจะมีกะจิตกะใจไปช่วยเหลือจื่อโยวอีก”
“พวกเจ้า แน่นอนว่าจะต้องคุ้มครองข้าให้ดี! ถึงพลังแห่งสายฟ้าเช่นนี้จะทำอันตรายข้าไม่ได้ก็เถอะ” หวงอู๋ไห่กล่าวอย่างหยิ่งผยอง
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือ การที่มู่เฉียนซีเดินออกมาจากภายในสายฟ้านั้นอย่างปลอดภัย อีกทั้งยังไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ อีกด้วย
จื่อโยวกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “คนงาม ถึงอย่างไรข้าก็มีร่างสายฟ้าเช่นกัน สำหรับข้าแล้วสายฟ้าเพียงเล็กน้อยแค่นี้ไม่สามารถสร้างอันตรายใด ๆ ให้ข้าหรอก”
อสนีบาตเหล่านี้ทำให้พวกเขารู้สึกคัน ๆ เท่านั้น เพราะอย่างไรเสียมู่เฉียนซีก็ฝึกฝนการขัดเกลาร่างกายอยู่แล้ว และพลังอสนีบาตที่นางเจอมาก่อนหน้านี้เหล่านั้น ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าตอ อนนี้เสียอีก
ภายในพื้นที่อสนีบาตแห่งนี้ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นอยู่เลย นอกจากนี้ก็ไม่เจอสมบัติอะไรอีกด้วย หวงอู๋ไห่กล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “นี่มันโอกาสที่ไหนกัน หรือว่าตาเฒ่าหมื่นปีที่ตาย ไปแล้วผู้นั้นจะหลอกพวกเราอย่างนั้นหรือ?”