ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2480 อ๋องแห่งคุกรากษส
หลังจากที่มู่เฉียนซีเข้าไปใกล้ป้ายศิลา ก็ต้องเจอกับการโจมตีอันแข็งแกร่งของอสนีบาต เพียงแต่ว่าเพลิงอัสนีเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายนางได้อีกต่อไป
มู่เฉียนซียืนอยู่หน้าป้ายศิลา ตัวอักษรที่อยู่ด้านบนก็ไม่ได้ซับซ้อนเท่าไรนัก และสิ่งที่สลักไว้ก็คือทักษะต้องห้าม มันคือทักษะต้องห้ามที่สามารถควบคุมจิตวิญญาณได้
หรือจะเป็นเพราะทักษะต้องห้ามนี้ ที่ทำให้อ๋องอัคคีเหลยถิงสามารถรักษากองทัพของเขาเอาไว้ได้ อีกทั้งยังสามารถหลงเหลือจิตวิญญาณไว้ได้แม้จะตายมานับหมื่นปีแล้วก็ตาม
ทักษะต้องห้ามนี้สามารถชำนาญได้ไม่ยาก และหลังจากที่นางได้อ่านแล้ว นางก็สามารถเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้นางยังได้รู้อีกว่าสถานะที่แข็งแกร่งที่สุดของอ๋องอัคคีเหล ลยถิง ไม่ใช่สถานะของกองทัพชุดเกาะดำก่อนหน้านี้เหล่านั้น แต่เป็นสถานะของจิตวิญญาณ ที่ลอบโจมตีเหมือนกับวิหคนรกแห่งความตายก็มิปานนั้นต่างหาก
อ๋องอัคคีเหลยถิงตั้งใจที่จะหลอกล่อพวกเขาให้มายังสถานที่แห่งนี้ และคาดว่าขั้นต่อไปเขาน่าจะลงมือกับกองกำลังของพวกเขาอย่างแน่นอน ฉะนั้นนางต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด
เนื่องจากมีการรบกวนจากสายฟ้าจึงทำให้หาทางออกได้ยาก แต่ทว่ามู่เฉียนซีไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดกลัวต่อสายฟ้าฟาดเหล่านี้ ดังนั้นหากนางต้องการหาทางออกจึงไม่ใช่เรื่องยากเลย
ในตอนที่มู่เฉียนซีหาทางออกเจอและพุ่งทะยานออกไป นางก็ค้นพบว่าการต่อสู้ด้านนอกนั้นดุเดือดอย่างที่คาดการณ์ไว้จริง ๆ และสถานการณ์ที่ทำให้พ่ายแพ้กันทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ ก็เป็นส สถานการณ์ที่ทำให้กองกำลังของสถานะจิตวิญญาณเหล่านั้นตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด ซึ่งมันก็ฉวยโอกาสนี้โจมตีทันที
เข็มยาจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานออกไป และมันก็ทำการรักษาคนที่ได้รับบาดเจ็บทันที ซึ่งเมื่อคนของคุกโลหิตเห็นมู่เฉียนซี บนใบหน้าของพวกเขาก็ปรากฏความปีติยินดีขึ้นมา ใต้เท้าจื อโยวไม่ได้หลอกพวกเขาจริง ๆ ด้วย
“เจ้าเศษสวะเหล่านี้ กล้าดีอย่างไรมาลอบทำร้ายคนของข้า” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
พวกของหวงอู๋ไห่เองก็ทุลักทุเลเช่นกัน เขากล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าว่าใครเป็นเศษสวะฮะ? พวกข้าไปลอบโจมตีพวกเจ้าตอนไหนกัน”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าไม่ได้พูดกับเจ้ามาตั้งแต่แรกแล้ว มีแต่เจ้าที่ร้อนตัวขึ้นมาเอง เช่นนั้นมันก็ช่วยไม่ได้”
พลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีระเบิดออกมา ซึ่งก็ทำให้กองกำลังของอ๋องอัคคีเหลยถิงเหล่านั้นไม่กล้าเข้ามาใกล้กองกำลังของคุกโลหิตอีก ซึ่งพลังจิตวิญญาณของมู่เฉียนซีเพียงคนเดียวสามารถ ถปกป้องคนได้นับพันคนเลยทีเดียว
“เจ้า…” เดิมทีการที่มู่เฉียนซีสามารถมีชีวิตรอดออกมาจากเขตแดนเพลิงอัสนีแห่งนั้นได้ก็ทำให้ผู้คนประหลาดใจมากพออยู่แล้ว แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าพลังจิตวิญญาณของนางจะแข็งแกร่งจน วิปลาสขนาดนี้
“ลงมือเสียสิ! พวกเจ้ากลัวอะไรกันอีกล่ะ?” อ๋องอัคคีเหลยถิงตะคอกกล่าว แต่ด้วยการควบคุมจิตวิญญาณอันทรงพลังนี้ทำให้กองกำลังเหล่านี้อยู่ในการควบคุมของนางได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้ นมู่เฉียนซีจึงไม่เพียงแต่ไม่กลัวการคุกคามอีกต่อไป อีกทั้งพวกของมู่เฉียนซียังพร้อมใจกันพุ่งทะยานออกไปเตรียมจะโต้กลับอีกครั้งด้วย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “จนตายเจ้าก็ยังคงเรียนรู้ทักษะลับของตนเองได้ไม่เชี่ยวชาญเท่าไรเลยสินะ ตอนนี้จึงถึงทำได้เพียงแค่นี้น่ะ?”
“เจ้าพูดอะไรกัน? นี่เจ้าหมายความว่าอะไร หรือว่า…” อ๋องอัคคีเหลยถิงตื่นตกใจเป็นอย่างมาก และทันใดนั้นมู่เฉียนซีก็ยืนยันการคาดเดาของเขาด้วยการปฏิบัติจริง
พลังจิตวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัวพัดโหมกระหน่ำไปทั่วทุกพื้นที่ในสุสานของอ๋องอัคคีเหลยถิง หลังจากนั้นมันก็ได้ตัดขาดการเชื่อมโยงระหว่างอ๋องอัคคีเหลยถิงกับกองกำลังของเขา
สุดท้ายอ๋องอัคคีเหลยถิงก็ได้กลายเป็นผู้บัญชาการที่ไร้กองกำลังติดตามไปอย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นแม่ทัพของกองกำลังหนึ่งก็เดินมาถึงเบื้องหน้าของมู่เฉียนซี และกล่าวขอบคุณนาง
เป็นเรื่องจริงที่อ๋องอัคคีเหลยถิงเป็นท่านอ๋องที่เขาจงรักภักดี แต่ทว่าในตอนที่ท่านอ๋องกำลังจะตาย เขากลับสังหารพวกเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ทีละคน ขนาดตายไปแล้วก็ยังดึงจิตวิญญ ญาณของพวกเขาออกมา และควบคุมเอาไว้อย่างสมบูรณ์
ถึงพวกเขาจะมีความจงรักภักดีแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเหมือนเป็นผู้หญิงของเขา ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มันจึงทำให้ภายในใจของพวกเขารู้สึกเกลียดชังความเห็นแ แก่ตัวของอ๋องอัคคีเหลยถิงเป็นที่สุด แต่เนื่องจากพวกเขาถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ พวกเขาจึงไม่สามารถต้านทานได้เลย
“นายท่านได้โปรดพาเขาออกมาด้วยขอรับ พวกข้าอยากจะแก้แค้น” เขาขอร้อง
“กล้ามาใช้กลอุบายกับข้า แล้วยังมาทำให้ลูกน้องของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก แม้เจ้าจะไม่พูดข้าก็คิดที่จะลงโทษเขาให้สาสมอยู่แล้ว” ภายในแววตาของมู่เฉียนซีฉายแววอันตรายออกมา
หลังจากนั้นอ๋องอัคคีเหลยถิงก็ถูกมู่เฉียนซีตามหาจนเจอ
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!
มีสายฟ้าผ่าลงมาจากกลางอากาศนับครั้งไม่ถ้วน เขากล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ดี พวกเจ้านี่ช่างดีจริง ๆ! คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าทรยศข้า คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะกล้าทรยศข้า!”
เสียงของอสนีบาตที่น่าสะพรึงกลัวดังก้องออกมา และความวิปลาศที่เกิดขึ้นในซากโบราณสถานแห่งนี้ ก็ทำให้สีหน้าของอ๋องแห่งคุกอสูรเปลี่ยนไปอย่างมาก เขากล่าวอย่างรีบร้อนว่า “ถอย ! รีบถอยเดี๋ยวนี้!”
จื่อโยวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ตายมาหลายปีแล้วยังคิดที่จะมาสู้กับข้าอีกหรือ ช่างรนหาที่ตายจริง ๆ!”
อ๋องอัคคีเหลยถิงผู้นี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจื่อโยวเลย เขาและมู่เฉียนซีร่วมมือกันเพื่อปราบจิตวิญญาณของอ๋องอัคคีเหลยถิงผู้นี้ “ข้าคืออ๋องที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนนรก แข็งแก กร่งที่สุด…”
นึ่คือความหมกมุ่นของอ๋องอัคคีเหลยถิง ที่แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ยังไม่อาจปล่อยวางได้
“พรูดดด! อ๋องที่แข็งแกร่งที่สุดหรือ ชีวิตนี้ของเจ้าไม่มีทางได้เป็นหรอก” จื่อโยวกล่าวพลางยิ้มเยาะ
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “พวกเจ้าอยากจะแก้แค้น ก็จงไปแก้แค้นเสียเถอะ! ตอนนี้เขาไม่ใช่คนที่จะสู้พวกเจ้าได้แล้ว”
“ขอบคุณมากขอรับ”
“ไล่ตามไป!” ถึงพวกของอ๋องแห่งคุกอสูรจะหนีไปก่อนแล้ว แต่มู่เฉียนซีก็ไม่อยากจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ อยู่ดี
“ขอรับ!”
หวงอู๋ไห่กล่าวว่า “เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้นกันแน่?”
อ๋องแห่งคุกอสูรกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องที่นางไม่ถูกฟ้าผ่าตายยังไม่เท่าไร แต่พลังจิตวิญญาณนั้นแข็งแกร่งมาก หญิงสาวที่ทำให้อ๋องจิ่วเยี่ยชื่นชอบได้ผู้นี้ ช่ างไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ! พวกเรารีบกลับไปรายงานบิดาของท่านกันก่อนเถอะ!”
ทันทีที่พวกของอ๋องแห่งคุกอสูรออกมาก็เห็นอีกกองกำลังหนึ่งเข้าพอดี ดูไม่เหมือนกองกำลังของศัตรู แต่เป็นพันธมิตรกัน อ๋องแห่งคุกอสูรกล่าวว่า “นั่นมันคนของคุกรากษส”
รูปร่างหน้าตาของอ๋องแห่งคุกรากษสนั้นพิเศษมาก ลักษณะของตำแหน่งที่อยู่บนใบหน้าของเขาเหมือนว่าจะถูกวางเอาไว้ผิดที่ก็มิปาน ซึ่งมันดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
เขาเอ่ยปากกล่าวว่า “นี่มันอ๋องคุกอสูรกับฝ่าบาทอู๋ไห่มิใช่หรือ? ภายในซากโบราณแห่งนั้นมีอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้พวกท่านมีสภาพที่ทุลักทุเลเช่นนี้?”
อ๋องแห่งคุกอสูรจะหลุดปากบอกไปว่าตนเองถูกคนอื่นวางกับดักได้อย่างไร เขาจึงกล่าวว่า “พอดีว่าเจอกับคนของคุกโลหิตเข้าน่ะ”
“เจ้าได้เจอกับอ๋องจิ่วเยี่ยอย่างนั้นหรือ?” เจ้าแห่งคุกรากษสกล่าวอย่างตื่นตกใจ
“ไม่ใช่สิ หากคนที่เจ้าเจอเป็นอ๋องจิ่วเยี่ยแล้วละก็ เกรงว่าตอนนี้เจ้าน่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแค่นี้หรอก!” เขากล่าวอีกครั้ง
ในเวลานี้ พวกของจื่อโยวได้พาคนไล่ตามเขามาทันแล้ว
อ๋องคุกรากษสกล่าวว่า “ใต้เท้าจื่อโยวเพียงคนเดียว ก็สามารถทำให้พวกเจ้าจนตรอกได้ถึงขนาดนี้แล้วหรือ ข้าว่าความสามารถของอ๋องแห่งคุกอสูรอย่างเจ้ายังไม่ดีพอนะ!”
“อ๋องคุกรากษส นี่เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่อย่างนั้นหรือ?” จื่อโยวกล่าวอย่างโกรธเคือง
“ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเราสองคนอยู่ดี อ๋องคุกรากษส พวกเรามาร่วมมือกันจัดการใต้เท้าจื่อโยวผู้เป็นมือขวาของอ๋องจิ่วเยี่ยก่อนเถอะ หลังจากนั้นค่อ อยไปจัดการอ๋องจิ่วเยี่ยด้วยกันกับอ๋องแห่งคุกลับ” อ๋องแห่งคุกอสูรกล่าว
ก่อนหน้านี้การเผชิญหน้ากับพวกเขาแบบตัวต่อตัวนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ทว่าตอนนี้กองกำลังของพวกเขาได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นคนของคุกโลหิตเหล่านั้นจะต้องถูกทำลายล้าง และพวกเขา ก็ไม่คิดจะเกรงใจแน่นอนอยู่แล้ว
จื่อโยวกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ฆ่ามัน! คิดว่าข้าจะกลัวเขาอย่างนั้นหรือ?”
แม้ว่าจะได้รับความเสียหายไปไม่น้อย แต่กองกำลังของคุกโลหิตในตอนนี้ยังคงมีขวัญกำลังใจที่แข็งแกร่งอยู่ ฉะนั้นเมื่อได้รับคำสั่งจากจื่อโยว พวกเขาทั้งหมดจึงพุ่งทะยานเข้าใส่กองกำล ลังของศัตรูอย่างไร้ความเกรงกลัว
ตูมมม!
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอีกครั้ง ส่วนจื่อโยวก็เผชิญหน้ากับอ๋องทั้งสองคนนั้น
ความสามารถของอ๋องจากคุกอสูรและคุกรากษสทั้งสองไม่ใช่สิ่งที่จะเอาคนของโยวจีเหล่านั้นมาเปรียบเทียบได้ ฉะนั้นเมื่อเริ่มต่อสู้กับพวกเขา สถานการณ์ของฝ่ายคุกโลหิตจึงไม่ค่อยราบรื่ นเท่าไรนัก
แววตาของหวงอู๋ไห่ฉายแววเย็นยะเยือกออกมาทันที ในที่สุดก็สามารถแก้แค้นได้แล้ว เขากล่าวว่า “แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ? นางไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนแล้ว? ไปจับตัวนางมาให้ข้า”
เขาค้นพบว่ามู่เฉียนซีหายไปตัวอย่างคาดไม่ถึง หวงอู๋ไห่กล่าวว่า “ตามหานาง นางจะต้องซ่อนตัวอยู่แน่ ๆ นั่นคือผู้หญิงของหวงจิ่วเยี่ย พวกเราต้องจับนางและเอานางมาทรมานอย่างโหดเ เหี้ยมให้ได้”