ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2504 พระชายาแห่งแดนนรก
จื่อโยวกล่าวว่า “ยังไม่มีเลย! พวกเราจำเป็นต้องหาหอคอยนิรันดร์ให้เจอจริง ๆ หรือ? มีข้า เยี่ยและฝูเซิง หากมีอ๋องถึงสามคนล้อมโจมตีกิเลนแห่งนรกตัวนั้น เจ้าก็ยังกลัวว่าพวกเร ราจะจัดการมันไม่ได้อีกอย่างนั้นหรือ?”
“พวกของอาถิงไม่น่าจะพูดจาส่งเดชอยู่แล้ว นอกจากนี้เรื่องที่คราวที่แล้วจิ่วเยี่ยได้รับบาดเจ็บเจ้าเองก็รู้ดี” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
จื่อโยวกล่าวตอบว่า “มันก็จริง เยี่ยแล้วเจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ?”
จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ถึงจะเพิ่มเจ้าไปอีกสิบคน ก็เอาชนะไม่ได้หรอก”
“มันสู้ด้วยยากมากเกินไปจริง ๆ”
หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงตามหาหอคอยนิรันดร์ต่อไป และหลังจากที่ตามหาหอคอยนิรันดร์เจอแล้ว พวกเขาค่อยเคลื่อนไหว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “จื่อโยว เจ้าจงเอาข้อมูลของพื้นที่หลัก ๆ ทั้งพื้นที่ระดับล่าง พื้นที่ระดับกลาง และพื้นที่ที่มีมนุษย์อยู่กันอย่างเนืองแน่นทั้งหมดมาให้ข้า การรอข่าวคราวไม ม่ใช่เรื่องเดียวที่ต้องทำ แต่พวกเราจะต้องเจาะลึกเข้าไปในเครือข่ายข่าวกรองที่มีในแต่ละพื้นที่อีกด้วย ดังนั้นข้าจะเตรียมขยายหอหมอปีศาจต่อ ดูเหมือนว่าการอยู่แค่ในดินแดนทั้งสี ทิศ แดนซวนเทียน และแดนนรกจะยังไม่พอ”
จื่อโยวพยักหน้ากล่าวว่า “ตกลง!”
จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีเอาไว้พลางกล่าว “ซีอย่าได้ลำบากเกินไปนักเลย”
โลกที่มีอยู่มากมายขนาดนี้ มันจะต้องเป็นจำนวนที่แข็งแกร่งมากแน่นอน
“ตอนนี้ข้ามีลูกน้องที่มีประโยชน์อยู่มากมาย และข้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำทุกเรื่องด้วยตัวเอง ฉะนั้นมันไม่มีทางลำบากเกินไปได้หรอก! นอกจากนี้หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของข้าก็คือ การอยู่ข้างกายเจ้า เพื่อดูแลคนไข้อันดับหนึ่งของ…อื้อ…”
คำพูดของมู่เฉียนซียังไม่ทันจะพูดจบ มันก็ถูกริมฝีปากของจิ่วเยี่ยปิดเอาไว้เสียก่อน และเมื่อเขาจุมพิตจนมู่เฉียนซีหายใจไม่ออกจึงยอมจะคลาย หลังจากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอัน นแหบแห้งว่า “ซีพูดผิดแล้ว”
“คนของข้า คนของหมอปีศาจ มู่เฉียนซี! มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น” มู่เฉียนซีกล่าว
“อื้ม”
หลังจากที่จื่อโยวได้ส่งข้อมูลมาให้ มู่เฉียนซีก็ได้สั่งให้คนไปเตรียมการ เพราะคราวนี้เมืองหนามโลหิตได้สร้างชื่อเสียงไว้ในสงครามใหญ่ของแดนนรกอย่างมากเลยทีเดียว
และพวกเขาก็ยังรู้อีกว่าเจ้าเมืองของเมืองหนามโลหิตที่มีชื่อเสียงโด่งดังนี้ก็คือพระชายาของคุกโลหิต นอกจากนี้หนามโลหิตขั้นเทวะที่เคยเป็นถึงเจ้านายของคุกโลหิตก็ยังเป็นพ พืชกลายพันธุ์พันธสัญญาณกับพระชายาอีกด้วย
ตอนนี้มีผู้คนมากมายต้องการที่จะเข้าไปเป็นพลเมืองของเมืองหนามโลหิต แต่ทว่าเมืองหนามโลหิตไม่ใช่สถานที่ที่อยากจะเข้าไปเมื่อไรก็ย่อมได้อีกแล้ว
ในตอนที่สามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย พวกเขากลับไม่เห็นเมืองหนามโลหิตอยู่ในสายตา เพราะหวาดกลัวหนามโลหิต แต่ทว่าตอนนี้กลับเสียใจที่ทำเช่นนั้นลงไปจริง ๆ!
มู่เฉียนซีมีความสามารถเพียงพอที่จะช่วยพืชกลายพันธุ์ระดับเจ็ดดาวอย่างพวกเขาแปลงร่างได้ และเมื่อมีผู้มีชื่อเสียงอย่างฝูเซิงและอวิ๋นจื่อทั้งสองคนอยู่ด้วย ก็ยิ่งทำให้พืชกลายพันธุ จำนวนมากบากหน้ามาทันที นอกจากนี้การที่สามารถแปลงร่างได้โดยที่ยังไม่ถึงขั้นเทวะ ก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดพวกมันเป็นอย่างมากอีกด้วย
แต่ถึงกระนั้น มู่เฉียนซีที่ต้องการจะพัฒนาหอหมอปีศาจไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ก็มีกำลังคนไม่เพียงพออยู่ดี
อย่างระดับดินแดนทั้งสี่ทิศ นางก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่แดนซวนเทียนก็ดูเหมือนว่าจะมีไม่น้อยเช่นกัน ฉะนั้นความต้องการกำลังพลที่มากเช่นนี้จึงถือได้ว่าเป ป็นจำนวนที่มหาศาลมากเลยทีเดียว
แต่เมื่อขาดกำลังคน มู่เฉียนซีก็คิดถึงสถานที่แห่งหนึ่งขึ้นมาทันที
มู่เฉียนซีไปปรึกษากับจิ่วเยี่ย นางกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย ผู้คุมปีศาจแห่งความมืดถูกอู๋หยาช่วยไปแล้ว หากเขาไม่ได้ออกไปจากแดนนรกแล้วละก็ เขาจะต้องซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักที่ในแดน นรกเป็นแน่!”
“ถึงคุกนรกทั้งหกจะพ่ายแพ้ไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงเป็นเจ้านายที่ดูแลเรือนจำนรกทั้งหมดของแดนนรกอยู่ดี สถานะนี้ของเขา พวกเราก็ควรที่จะแย่งชิงมา จากนั้นก็ทำให้เขาหมดหนทางไปเสี ย ซึ่งข้าคิดว่าเราควรจะเริ่มจัดการเรือนจำนรกเหล่านั้นได้แล้ว และถือโอกาสนี้เก็บคนที่ใช้ประโยชน์ได้มาทำงานให้ตนเองกันเถอะ”
จิ่วเยี่ยพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เอาตามที่ซีต้องการเลย”
หลังจากที่ฝูเซิงเอาชนะเจ้าโลหิตของขุมนรกสีโลหิตได้แล้ว ขุมนรกสีโลหิตก็อยู่ในสถานะที่ไร้ผู้ปกครองมาโดยตลอด
และเมื่อเขาได้ยินว่าเจ้านายตัวน้อยของเขาต้องการพิชิตเรือนจำนรกทั้งหมด เขาก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว
เขากลับไปยังขุมนรกสีโลหิตอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ยึดขุมนรกสีโลหิตไว้อย่างสมบูรณ์
สุดท้ายแล้วคุกที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งอย่างขุมนรกสีโลหิต คุกโลหิตก็ยังสามารถยึดครองมาได้ เช่นนั้นคุกโลหิตจะต้องสามารถจัดการขุมนรกอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายแน่นอน
หลังจากที่ผ่านการทดสอบแล้ว นักโทษที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมจะสามารถออกมาได้ ส่วนคนที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมก็จะต้องอยู่ข้างในต่อไป
หลังจากที่จัดการเรือนจำนรกอื่น ๆ ในคุกโลหิตเรียบร้อยแล้ว เรือนจำนรกในคุกมืด คุกทมิฬและคุกวิญญาณต่างก็ไม่รอดเช่นกัน
พวกเขาได้สอบถามเกี่ยวกับข้อมูลของเรือนจำนรกหลัก ๆ อีกสองสามแห่ง แต่ก็ไม่พบที่อยู่ของผู้คุมปีศาจแห่งความมืดอยู่ดี
และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนั่นไปซ่อนตัวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่ใดกันแน่
นอกจากนี้ยังมีเรือนจำนรกหลักอีกสามแห่งที่มีชื่อเสียงพอ ๆ กับขุมนรกสีโลหิต นั่นก็คือเรือนจำนรกในขุมนรกอสูร ขุมนรกรากษส และขุมนรกลับ
ในตอนนี้มู่เฉียนซีและจิ่วเยี่ยก็มาถึงอาณาเขตของขุมนรกอสูรแล้ว ดินของขุมนรกอสูรนั้นล้วนเป็นสีดำ ซึ่งมันก็ทำให้เมืองแต่ละเมืองนั้นก็ดูมืดมนเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากยึดสิทธิ์ในการควบคุมดูแลเรือนจำนรกต่าง ๆ มาแล้ว มู่เฉียนซีและจิ่วเยี่ยยังถือโอกาสชมวิวทิวทัศน์เรือนจำนรกหลักอื่น ๆ นอกเหนือจากคุกโลหิตอีกด้วย
ทิวทัศน์ของที่นี่ไม่งดงามเหมือนกับอาณาเขตอื่น ๆ มันทั้งมืดมน รกร้าง และไม่มีใครต้องบอกคนที่มาถึงเลยว่า สถานที่แห่งนี้คือดินแดนนรก
และในตอนที่มู่เฉียนซีกำลังเตรียมจะไปดูหอหมอปีศาจ กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอเข้ากับนักปรุงยาของแดนนรกกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปประท้วงที่หอหมอปีศาจ “หอหมอปีศาจของพวกเจ้าจ จะบ้าอำนาจเกินไปแล้ว”
“นี่ไม่คิดจะให้หนทางรอดกับนักปรุงยาอย่างพวกข้าเลยหรืออย่างไร ข้าต้องการให้หมอปีศาจมาอธิบายกับข้า”
“ใช่แล้ว! หมอปีศาจอะไรกัน ข้าได้ยินมาว่าเขาไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน ข้าว่าพวกเจ้าก็แค่กำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่เท่านั้นแหละ”
เนื่องจากนักปรุงยาของแดนนรกมีจำนวนน้อยมาก ฉะนั้นก่อนหน้านี้นักปรุงยาจึงสามารถหารายได้ได้อย่างงดงามในแดนนรกแห่งนี้
แต่ทว่านับตั้งแต่การปรากฏตัวของหอหมอปีศาจ นักปรุงยาที่ไร้ความสามารถเหล่านี้ต่างก็หารายได้ได้ไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงปากท้อง
ถึงหอหมอปีศาจจะไม่มียาลูกกลอนขาย แต่พวกเขาก็คงไม่โง่พอที่จะไปซื้อยาลูกกลอนขยะที่ทั้งแพงทั้งไร้ประโยชน์ของนักปรุงยาเหล่านี้หรอก!
และในเมื่อพวกเขาไม่สามารถอยู่รอดได้อีกต่อไป จึงอดไม่ไหวจนต้องออกมาสร้างความวุ่นวายเช่นนี้
ความจริงแล้วพวกนักปรุงยาที่ยอดเยี่ยมยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ในแดนนรกได้อย่างสุขสบาย นอกจากนี้ยังมีบางคนที่เข้าร่วมกับหอหมอปีศาจอีกด้วย
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้าต้องการจะพบหมอปีศาจอย่างนั้นหรือ ข้ามาแล้ว จงดูเสียให้เต็มตา หลังจากนั้นพวกเจ้าก็ไสหัวไปได้แล้ว หากยังมาสร้างความรำคาญอีกครั้ง พวกเจ้าไม่ก กลัวว่าจะถูกหอหมอปีศาจของข้าฆ่าปิดปากเอาหรอกหรือ? ดูเหมือนคนไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้า หากต้องการจะฆ่าก็คงใช้แรงไม่เท่าไรหรอกกระมัง”
นักปรุงยาที่มาสร้างความวุ่นวายเหล่านั้นต่างก็ผงะไปเล็กน้อย พวกเขาหัวเราะเยาะพลางกล่าวว่า “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! อะไรนะ? เจ้าคือหมอปีศาจหรือ? คิดไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยอย่างเจ้าจะบอกว่าตนเอง งคือหมอปีศาจ? มีระดับถึงเจ้าครองดินแดนแล้วอย่างนั้นหรือ? ยาลูกกลอนระดับนั้นเจ้าจะสามารถกลั่นออกมาได้อย่างไรกัน”
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อในคำพูดของมู่เฉียนซีเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้พวกเขาแต่ละคนยังหัวเราะกันยกใหญ่อีกด้วย
จิ่วเยี่ยโมโหมาก คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าพวกไร้ค่าเหล่านี้จะกล้ามาสร้างปัญหาต่อหน้าซี
ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกคู่นั้นพลันกวาดไปยังพวกเขาทีละคน ทันใดนั้นคนเหล่านี้ก็รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงไปชั่วขณะอีกด้วย
ในเวลานี้ ผู้ดูแลหอหมอปีศาจแห่งนี้ก็ได้มาถึงแล้ว เมื่อเห็นมู่เฉียนซีและหวงจิ่วเยี่ยเขาก็อดที่จะเหงื่อแตกพลั่กออกมาไม่ได้ เขากล่าวว่า “คารวะท่านเจ้าเมืองขอรับ”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ตอนอยู่ที่หอปีศาจ พวกเจ้าเรียกข้าว่าท่านเจ้าหอก็ได้!”
“ขอรับ! ท่านเจ้าหอ!”
ดวงตาของคนกลุ่มนั้นแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว เจ้าหออย่างนั้นหรือ สาวน้อยที่ดูแล้วอายุไม่น่าถึงยี่สิบปีคนนี้ ก็คือเจ้าหอของหอหมอปีศาจอย่างนั้นหรือ?
นี่พวกเขากำลังล้อเล่นกันอยู่หรือ!
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “แทนที่พวกเจ้าจะมาสร้างความวุ่นวาย และทำให้หอหมอปีศาจของข้าไม่พอใจเช่นนี้ ไม่สู้กลับไปศึกษาทักษะการปรุงยาให้มากขึ้นไม่ดีกว่าหรือ หอหม มอปีศาจของข้าไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยและขยะอย่างพวกเจ้าหรอก ก็แค่ฆ่าทิ้งเท่านั้น ไม่มาหวงแหวนเหมือนคนอื่น ๆ หรอกนะ”
พวกเขาถูกทำให้หวาดกลัวจนเหงื่อไหลทะลักออกมาไม่หยุด และแรงกดดันของพลังวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวก็ทำให้พวกเขารู้สึกขวัญหนีดีฟ่อไปหมดแล้ว
พวกเขารีบคุกเข่าอย่างรีบร้อนพลางกล่าวว่า “ท่านหมอปีศาจ โปรดไว้ชีวิตด้วย!”
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “จิ่วเยี่ย ข้ารู้สึกว่าชื่อของท่านหมอปีศาจของข้าน่าจะต้องโด่งดังกว่านี้อีกหน่อย เพื่อทำให้พวกเขายอมจำนน เจ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”
“ใช่ ทำให้พวกเขาได้รู้ว่า หมอปีศาจก็คือภรรยาของข้า คือพระชายาของแดนนรก เป็นนายหญิงของแดนนรกแห่งนี้! ดูสิว่าพวกเขายังกล้าที่จะไม่ยอมจำนนอีกหรือไม่? หากผู้ใดไม่ยอมจำนน ก็ฆ่าทิ้งไปเสีย!” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างดุดัน