ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 290 เดินทางถึงเมืองฉู่
“จิ่วเยี่ย เจ้า…” มู่เฉียนซีตกตะลึง
“ข้าบอกแล้วว่าก่อนที่ศาลานิรันดร์จะตื่นขึ้นมา ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงต่ำตามเคย
“เจ้า… พูดจริงรึ ?”
“เจ้าคิดว่าข้านั้นเป็นบุรุษที่ชอบกล่าวสิ่งใดแล้วคืนคำหรือ ?”
“แต่ว่าข้าอยากฝึกเพียงลำพัง ข้าจะต้องผ่านเทือกเขาชีชง”
จิ่วเยี่ยแข็งแกร่งเกินไป หากว่าเขาไปกับนาง เช่นนั้นบรรดาสัตว์วิญญาณแห่งเทือกเขาชีชงก็จะไม่กล้าเข้ามาก่อกวน หากเป็นเช่นนั้นนางจะไม่สามารถฝึกฝนอะไรได้เลย
“ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า ข้าจะไม่ลงมือ นอกจากเจ้าแล้วจะไม่มีใครหรือสัตว์วิญญาณตัวใดมองเห็นข้า”
จิ่วเยี่ยนั้นรวดเร็วเสียยิ่งกว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ มู่เฉียนซีใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็เข้าสู่เขตเมืองฉู่แห่งแคว้นชวน
หลังจากได้เข้ามายังจุดที่ใกล้ถึงประตูเมือง ร่างของจิ่วเยี่ยก็ได้แปรเปลี่ยนกลายเข้าสู่สภาวะล่องหน ทว่ามู่เฉียนซีนั้นรู้ได้ว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่นางอยู่เลย
มู่เฉียนซีเดินตรงไปยังเมืองฉู่ ที่แห่งนี้เป็นเมืองชายแดนและเป็นด่านของฝั่งตะวันตกจึงมีพ่อค้าและนักผจญภัยจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เมื่อเทียบกับเมืองจื่อตูและเมืองหลวงแคว้นชิงที่มู่เฉียนซีเคยได้ไปมา ที่แห่งนี้นับว่าเจริญและครึกครื้นกว่ามาก
หลังจากที่เข้าสู่เมืองฉู่แล้ว นางไม่ได้หยุดพักอยู่ที่นี่เพื่อซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ในการออกไปผจญภัยหรือทำเรื่องอื่นใด นางได้เตรียมสิ่งเหล่านั้นไว้พร้อมแต่แรกแล้ว
ส่วนเรื่องยาเม็ด แน่นอนนางมิขาดแคลน
แต่เมื่อมาถึงที่ประตูเมืองด้านตะวันตกของเมืองฉู่ นางก็ได้ถูกขวางเอาไว้
ทหารยามที่ประตูเมืองฝั่งตะวันตกกล่าวขึ้น “คุณชาย ตอนนี้ประตูฝั่งตะวันตกไม่สามารถเปิดให้เข้าไปได้”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน กล่าวถามขึ้นว่า “จะต้องผ่านประตูนี้ไปเท่านั้นถึงจะเข้าสู่เทือกเขาชีชงได้ เหตุใดในตอนนี้พวกเจ้าจึงไม่ยอมให้เข้าไป”
ทหารยามที่เฝ้าประตูอยู่นั้นกล่าวขึ้น “ที่เทือกเขาชีชงในช่วงนี้มีสัตว์วิญญาณออกอาละวาด พวกเหล่านักผจญภัยทุกคนจึงอยู่ในเมือง รอให้สัตว์วิญญาณเลิกอาละวาดแล้วถึงจะปล่อยให้เข้าไปได้”
“เสี่ยวกง ท่านช่างไม่มีประสบการณ์ในการผจญภัยเอาเสียเลย เมื่อเข้ามาที่เมืองฉู่ก็จะบุกเข้าไปในเทือกเขาชีชงทันที โดยปกติแล้วเหล่านักผจญภัยจะหาข่าวรออยู่ในเมืองแล้วค่อยเข้าไปกับกลุ่มผจญภัยกลุ่มเล็ก เช่นนี้จึงจะปลอดภัยเป็นที่สุด หากบุ่มบ่ามเข้าไปประเดี๋ยวโดนสัตว์วิญญาณเขมือบเข้าพอดี”
ทหารยามที่ประตูตะวันตกชายตามองการแต่งกายของมู่เฉียนซีก็รู้ได้ทันทีว่าคุณชายผู้นี้นั้นไม่ธรรมดา แต่อายุของเขานั้น ดูแล้วมากสุดก็คงเพียงแค่สิบหกหรือสิบเจ็ดปีเท่านั้น ยังจะกล่าวอย่างเบิกบานว่าจะเข้าไปที่เทือกเขาชีชงอีกหรือ ? นั่นไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดสักเท่าไรนัก
มู่เฉียนซี “ขอบคุณที่เตือนข้า ข้านั้นรีบร้อนเกินไปหน่อย”
ทหารยามที่ประตูรู้สึกปลื้มปีติอย่างยิ่ง พวกเขารู้ว่าถ้าหากชายหนุ่มผู้นี้เป็นเหล่าลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ ๆ ละก็ คงจะไม่ทำตัวมีมารยาทแสดงอาการนอบน้อมขอบคุณกับทหารยามอย่างพวกเขาเป็นแน่
ทหารยามที่ประตูกล่าวเตือนอย่างมีเจตนาดีว่า “สัตว์วิญญาณในป่ากำลังจะอาละวาดในอีกไม่ช้า คุณชายสามารถเข้าร่วมกิจกรรมล่าสัตว์ที่ท่านเจ้าเมืองจัดเอาไว้ได้ เป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่จะขึ้นไปบนเทือกเขาชีชงพอดี ดีหรือไม่ ?”
“อืม ก็ดี อย่างไรข้าจะไปคิดดูให้ดี ๆ แล้วกัน”
อุ่นเครื่อง… ฟังดูแล้วก็ไม่เลว
ในเมื่อเวลานี้ไม่เหมาะที่จะออกเดินทาง มู่เฉียนซีจึงตัดสินใจพักอยู่ที่เมืองฉู่สักหน่อยหนึ่ง นางถือโอกาสทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เสียหน่อยดีกว่า
การเข้าไปใกล้เทือกเขาชีชงนั้นอันตรายนัก ที่นั่นมีสัตว์วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน ที่แห่งนั้นจึงถือว่าอันตรายกว่าหลายสถานที่ที่นางเคยไปมาก่อน ถึงแม้ว่าจะมีเสี่ยวหงและอู๋ตี้อยู่ด้วยก็ตามที มันก็ไม่อาจเป็นไปได้ที่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงใด ๆ ต่อพวกนางเลย
มู่เฉียนซีเข้าไปโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง กล่าวขึ้นกับข้ารับใช้ประจำโรงเตี๊ยม “ข้าต้องการห้องชั้นบนหนึ่งห้อง”
ข้ารับใช้ผู้นั้นกล่าวขึ้น “โชคของคุณชายไม่เลวเลย วันนี้โรงเตี๊ยมของเรามีห้องชั้นบนว่างอยู่ห้องหนึ่งพอดิบพอดี เป็นห้องดีเสียด้วย หนึ่งคืนหยกวิญญาณหนึ่งชิ้นขอรับ”
เมืองฉู่นั้นอยู่ใกล้กับเทือกเขาชีชงมากที่สุด ที่นี่มีผู้ฝึกตนอยู่ไม่น้อย หยกวิญญาณจึงได้กลายเป็นสกุลเงินยอดนิยมของที่แห่งนี้ ในสายตาของผู้ฝึกตนหลายคน เงินทองไม่ได้มีความหมายอะไรกับพวกเขาอีกต่อไป
มู่เฉียนซีเพิ่งจ่ายหยกวิญญาณไป นางคิดว่าจะขึ้นไปพักผ่อน ทว่าในตอนนั้นเอง ที่ด้านหลังของนางมีเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นมา “เตรียมห้องใหญ่ที่สุดที่ชั้นบนให้ข้า”
ผู้มาเยือนนั้นมาพร้อมกับชายร่างกายกำยำดูดุร้าย ทั้งยังเต็มไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า
ข้ารับใช้มองไปยังแขกผู้มาเยือนก่อนจะกล่าวตอบ “ท่านฮุยหลาง เอ่อ… ห้องที่ดีที่สุดเรามีแขกมาเข้าพักแล้ว ท่านสามารถ…”
“ผู้ที่จะมาอยู่ในโรงเตี๊ยมของเจ้าเป็นนักปรุงยาระดับสูงผู้หนึ่ง เขานั้นไม่คุ้นชินที่จะอยู่ที่พักกลุ่มเทียนหลางของเรา แต่พวกเจ้ากลับไม่ยอมให้ห้องพักเขาเช่นนั้นรึ ? หยกวิญญาณร้อยชิ้น! ข้าฮุยหลางขอเหมาทั้งโรงเตี๊ยมของเจ้า เอาหรือไม่รีบกล่าวมา!” ฮุยหลางยิ้มร้าย แววตาแฝงความบังคับ
“เอ่อ… ท่านทำให้เราลำบากใจเสียแล้ว”
“ได้ เช่นนั้นข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ” ทันใดนั้นฮุยหลางหันไปกล่าวกับพรรคพวกของตน “พวกเจ้า ไล่คนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ออกไปให้หมด”
— ปัง! —
ฮุยหลางโยนหยกวิญญาณจำนวนหนึ่งร้อยชิ้นออกมา แล้วกล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าขาดทุนเป็นแน่”
ข้ารับใช้ในโรงเตี๊ยมแห่งนั้นกลัวจนใบหน้าเผือดซีด
แขกของโรงเตี๊ยมเองก็กลัวจนหน้าซีดเช่นกัน “นั่นเป็นคนของหลางเทียน หลางเทียนเป็นกลุ่มนักผจญภัยที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฉู่”
“ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาหยิ่งยโสและไร้เหตุผลอย่างมาก หากไปล่วงเกินพวกเขานั้น ไม่ว่าผู้ใดหน้าไหนก็จะไม่ได้ตายดีแน่”
เพียงแค่อยากจะหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนสักที่ก็วุ่นวายถึงเพียงนี้ มู่เฉียนซีจนปัญญานัก
“เจ้าหนู เหตุใดจึงยังยืนโง่อยู่ตรงนั้นเล่า ? ยังไม่ไสหัวออกไปอีก พวกเราเหมาโรงเตี๊ยมแห่งนี้แล้ว เจ้าไปซะ!”
ในขณะที่เขากำลังจะเอามือผลักมู่เฉียนซีออกไปนี้เอง นางหลบหลีกมือนั้นอย่างรวดเร็ว พลันพลังปราณของนางแผ่ขยายออกมา
มู่เฉียนซีตบฮุยหลางประหนึ่งว่าตบแมลงวันที่ขวางหูขวางตาให้ลอยกระเด็นออกไป
— ปั้ก! —
ไม่รอให้ฮุยหลางทันได้สติ เขาก็ได้ยินเสียงที่กล่าวขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน “พวกเจ้าเหมาโรงเตี๊ยม เช่นนั้นข้าจะซื้อโรงเตี๊ยมทั้งโรง ว่าอย่างไร ?”
ฮุยหลางมองเด็กหนุ่มที่ดูงดงามอย่างยากจะหาใครมาเทียมเทียบแล้วกล่าวขึ้น “ซื้อทั้งหมดรึ ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าซื้อโรงเตี๊ยมในเมืองฉู่นั้นต้องใช้เงินเท่าไหร่ ? เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้าจะซื้อทั้งหมด ความคิดเจ้านี่ช่างประหลาดเกินจริงไปหน่อยแล้วกระมัง!”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้านั้นไม่รู้” มู่เฉียนซีหันไปกล่าวกับข้ารับใจจากโรงเตี๊ยมผู้นั้น “เจ้า! เจ้าพูดมาว่าซื้อทั้งโรมเตี๊ยมแห่งนี้ต้องใช้เงินเท่าไร ?”
ข้ารับใช้ของโรงเตี๊ยมกล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่น ๆ “ระ… เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็ไม่แน่ใจ อย่างน้อยก็คงจะต้องใช้หยกวิญญาณหลายแสนชิ้นถึงจะซื้อได้ ต้องเป็นเถ้าแก่ถึงจะตอบเรื่องนี้ได้ขอรับ” ฮุยหลาง “เจ้าหนู ถ้าหากว่าข้าเป็นเจ้าละก็ ข้าคงไปจากที่นี่นานแล้ว อย่าได้มาทำตัวเป็นนายน้อยร่ำรวยล้นฟ้าแถวนี้”
มู่เฉียนซี “หากว่าข้าซื้อมันมาได้ เจ้ากับคนของเจ้าจะต้องไสหัวออกไปจากที่นี่ ออกไปให้พ้นหน้าข้า”
ฮุยหลางได้ยินวาจาโอหังของเด็กหนุ่มตรงหน้า พลันกล่าวโต้อย่างดุร้าย “หากเจ้าซื้อมันไปได้จริง เช่นนั้นข้าจะรีบไปทันที แต่ถ้าหากเจ้าทำไม่ได้อย่างที่ปากดี ๆ ของเจ้าว่า หึ ๆ… เจ้าหนู ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองผลของการยั่วยุคนเยี่ยงข้า”
มู่เฉียนซีกล่าวกับข้ารับใช้ของโรงเตี๊ยมอีกครั้ง “เจ้าไปหาเถ้าแก่ของที่นี่ บอกว่าข้าจะซื้อโรงเตี๊ยมนี้ ให้จ่ายเท่าไรก็ว่ามาได้เลย”
นางเห็นโอกาสในการทำเงินหากำไรที่ซ่อนอยู่ของเมืองฉู่แล้ว เพียงซื้ออสังหาสมบัตินี้ไว้ก่อนก็ไม่เป็นปัญหา
“ได้…” ข้ารับใช้ประจำโรงเตี๊ยมแห่งนี้กำลังจะออกไป ทันใดนั้นมีเสียงที่ดูแก่ชราดังขึ้นมา
“ข้าได้ยินมาว่ามีคนต้องการซื้อโรงเตี๊ยมที่ทรุดโทรมของข้ารึ ? ย่อมได้ ขอเพียงนํายาเม็ดหลิงเชิงระดับเจ็ดออกมาให้ข้า โรงเตี๊ยมนี้ก็จะเป็นของเจ้า” เสียงที่กล่าวขึ้นมานี้ดูแก่ชรานัก ทว่ากลิ่นอายของเขาแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยที่สุดเขาก็คงเป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิ
ทุกคน ณ ที่นั้นนิ่งอึ้งตะลึงลาน
ยาเม็ดระดับเจ็ด!
มีเพียงนักปรุงยาระดับสูงเท่านั้นที่จะหลอมออกมาได้ อีกทั้งสมุนไพรวิญญาณที่ใช้ในการหลอมยาหลิงเชิงก็ต้องมีฤทธิ์รุนแรงและหายากอย่างมาก ตามหาทั่วทั้งเมืองฉู่ก็น่าจะยังไม่พบสักเม็ด
ข้ารับใช้ของโรงเตี๊ยมกล่าวขึ้น “เถ้าแก่ ท่านมาแล้ว ท่าน…”
ฮุยหลางยกยิ้มมุมปากก่อนจะกล่าว “ยาระดับเจ็ดหลิงเชิง ข้าดูแล้วเด็กอย่างเจ้าอย่างไรก็คงไม่สามารถเอามันออกมาได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจงไสหัวออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ซะ!”
ฮุยหลางกับคนอื่น ๆ ที่ตามเขามาพากันยิ้มอย่างผู้ชนะ ทว่าหารู้ไม่ว่าอึดใจต่อมาพวกเขาต้องอ้าปากค้าง
“เหอะ! ก็แค่ยาหลิงเชิงมิใช่รึ ?” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเฉยเมย
.