ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 47 ความฝันอันยิ่งใหญ่ของอู๋ตี้
“นายท่าน ท่านวางใจได้ รอข้าอู๋ตี้พลังฟื้นฟูกลับมา จะทำให้ชายคนนั้นยอมเชื่อฟัง ใครใช้ให้เขาโอหังแบบนี้ ให้เขาทำให้คนอื่นหวาดกลัว รอข้าต่อกรชนะเขาก่อนแล้วข้าจะทำให้เขาเป็นคนรับใช้ชายของนายท่านเอง”
“ถ้าจะให้พูดไปแล้ว ชายคนนี้หน้าตาไม่เลว ตามที่พูดนี้ก็แล้วกัน” อู๋ตี้พูดอย่างกระตือรือร้น
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตั้งมั่นเอาชนะจิ่วเยี่ย ทำให้จิ่วเยี่ยกลายเป็นคนรับใช้ชายให้กับนายท่านหญิงของตน นี่กลายเป็นเป้าหมายที่สำคัญของอู๋ตี้ไปแล้ว
มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก จิตใจอันไม่สงบเมื่อครู่นี้ก็หายไปสิ้นเมื่อได้ฟังความขำขันของเจ้าแมวขาวตัวนี้
ให้ซวนหยวนจิ่วเยี่ย บุรุษที่น่ากลัวเพียงนั้นมาเป็นชายผู้รับใช้ เจ้าแมวน้อยนี่ก็ช่างกล้าพูด
เวลาเจ็ดวัน ยังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง มู่เฉียนซีฆ่าสัตว์วิญญาณไป เก็บยาสมุนไพรวิญญาณไป แต่นางกลับพบว่าผลึกวิญญาณของนางหายไปเกือบครึ่ง นางโมโห
“อู๋ตี้ เจ้าอยากตายรึ ?! บังอาจแอบกินผลึกวิญญาณของข้าเสียได้”
อู๋ตี้อ้าปาก รู้สึกน้อยใจมาก เริ่มกล่าวขึ้น “นายท่าน เพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จ ข้าต้องทนกินสิ่งที่รสชาติไม่อร่อยอย่างแก่นผลึกสัตว์วิญญาณระดับต่ำสุด ข้าแทบจะสละชีวิตแล้ว นายท่านอย่าคิดมากไปเลยนะนายท่านนะ”
“เจ้าจะไม่ให้ข้าคิดมากได้อย่างไรกันเล่า ก็ข้าต้องใช้ผลึกวิญญาณนี่ให้ผ่านสนามสอบที่สาม”
“นายท่าน ท่านดูก่อนสิ ข้าเริ่มแข็งแกร่งขึ้นแล้ว อย่าโกรธไปเลยนะนายท่านนะ”
“อืม แข็งแกร่งขึ้นหน่อยแล้วจริง ๆ ในที่สุดก็กลายเป็นสัตว์วิญญาณระดับหนึ่ง” มู่เฉียนซีสำรวจอู๋ตี้
“แต่ว่า… เป็นสัตว์วิญญาณระดับหนึ่งแล้ว เจ้าสามารถคายผลึกวิญญาณของข้าออกมาได้ไหม ?” มู่เฉียนซีจับหูอู๋ตี้ พูดคุยกับเขาเรื่องทั่วไป เรื่องเหตุผลและอุดมการณ์
“ฮือ ๆ นายท่าน ข้าผิดไปแล้ว” อู๋ตี้ปั้นหน้าหม่นเศร้ากล่าววิงวอน “ต่อไปถ้าท่านไม่อนุญาต ข้าจะไม่กินเรื่อยเปื่อยอีก”
เวลาเจ็ดวันใกล้หมดลงแล้ว มู่เฉียนซีเริ่มเดินออกมาข้างนอกเพื่อเตรียมที่จะนำส่งผลึกสัตว์วิญญาณระดับหนึ่งสำหรับการสอบครานี้
— สวบ! —
จู่ ๆ มีหลายร่างที่มายืนขวางหน้านางไว้
“ผู้นำตระกูลมู่ การสอบในครั้งนี้ผลเป็นอย่างไรบ้าง ? ท่านมีน้ำใจมอบผลึกวิญญาณกับพวกข้าสักหลายสิบอันหน่อยไหม ?”
“แค่ผลึกวิญญาณไม่กี่สิบอันเอง ข้าคิดว่าผู้นำตระกูลมู่คงไม่ตระหนี่ถี่เหนียว”
“หึ! ทำมาใช้วาจา พวกเจ้าต้องการจะปล้นข้าล่ะสิ” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ฮิ ๆ ๆ ก็ใช่ พวกข้าจะปล้นเจ้า รีบนำแก่นผลึกวิญญาณออกมาเสียดี ๆ ทางสำนักศึกษาอนุญาตให้ทำแบบนี้ได้ในการสอบ เราสามารถต่อสู้แย่งชิงเพื่อนนักเรียนได้ทุกครั้ง”
คนพวกนี้หัวเราะเยาะได้เจ้าเล่ห์มาก มู่เฉียนซียิ้ม มองพวกเขา
“โง่นัก กลายเป็นพวกเจ้ากลับบอกข่าวสารที่ไม่เลวให้กับข้า งั้นดีเลย ข้าจะนำแก่นผลึกวิญญาณของพวกเจ้ามาแทนของที่อู๋ตี้กินไป”
คนพวกนี้ไม่อยากจะเชื่อหูของตนเอง แต่มู่เฉียนซีเริ่มลงมือแล้วจริง ๆ
— ฟิ้ว! —
เงาอันสวยงามใกล้เข้ามา ร่างกายพวกนั้นก็กระเด็นลอยออกไปอย่างง่ายดาย ร่างของพวกเขากระแทกเข้ากับต้นไม้อย่างแรง แรงกระแทกทำให้พวกเขาวิงเศียรเวียนเกล้า
“อ่อนแอเกินไป” มู่เฉียนซีกล่าวง่าย ๆ
คนพวกนี้ ความแข็งแกร่งอย่างมากก็แค่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสี่ ต่อสู้กับพวกเขาเพียงใช้แรงเล็กน้อยก็พอแล้ว
แต่คนพวกนี้ตกใจอย่างยิ่ง
“ไอ้หยา แย่แล้ว แย่ ๆ ๆ นี่เราคงเห็นผีแน่ มู่เฉียนซีเป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับห้า”
“สวรรค์! ระดับห้า”
อายุยังไม่ถึงสิบหกเต็มก็เป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับห้าได้ ในแคว้นจื่อเยี่ยนั้นเปรียบเสมือนดาราที่เจิดจรัส แม้ว่าพวกเขาจะรู้ทั้งรู้ว่ามู่เฉียนซีเอาชนะเยวี่ยซู่ได้ แต่ก็ไม่คิดว่าระดับนางจะโหดเพียงนี้
เหตุใดจึงไม่เหมือนคำเล่าลือที่ว่า นางไม่มีแม้แต่ความสามารถอันเล็กน้อย แต่เยวี่ยซู่ก็โง่มาก ยืนให้นางโจมตีไม่ตอบโต้ พวกเขาหลงผิดคิดว่ามู่เฉียนซีความสามารถคงไม่เกินระดับสี่ ไม่คิดว่านางจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าไม่ต้องการเสียเวลากับพวกเจ้าแล้ว รีบนำออกมาเร็วเข้า”
คนทั้งหมดสิบสองคน แต่มีผลึกวิญญาณไม่เกินยี่สิบอัน และยังเป็นผลึกวิญญาณของสัตว์วิญญาณระดับหนึ่งทั้งหมด
มู่เฉียนซีกล่าว “มีแค่นี้เองรึ ?”
พวกเขายิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงประจบ “พวกเราไม่ได้ร้ายกาจเหมือนผู้นำตระกูลมู่ ดังนั้นได้ผลึกวิญญาณมาแค่นี้ก็ถือว่าสุดความสามารถแล้ว”
“ผู้นำตระกูลมู่ ท่านก็ช่วย ๆ เราหน่อยเถอะ ผลึกวิญญาณระดับหนึ่งท่านคงไม่ต้องการ ก็เหลือให้พวกเราทุกคนคนละอันเถอะนะ ถ้าไม่มีแม้แต่อันเดียว พวกเราคงไม่สามารถเลื่อนชั้นขึ้นไปห้องเรียนระดับกลางได้”
น้ำเสียงของพวกเขาปนอาการสะอึกสะอื้น ทำกรรมอะไรไว้ก็ควรก้มหน้ายอมรับ ปล้นใครก็ไม่ปล้น ดันมาปล้นหญิงโรคจิตนี่เสียได้!
“ฝันไปเถอะ!” มู่เฉียนซีแค่นเสียงทิ้งคำพูดไว้ก่อนจะนำพวกผลึกนี้ไปด้วย
เมื่อครบกำหนดเจ็ดวัน การสอบสนามที่สามจบลง มีการเริ่มนับคะแนน
ผู้สอบได้ที่หนึ่งในสนามแรกคือมู่เฉียนซี สอบได้คะแนนที่หนึ่งในสนามที่สองก็คือมู่เฉียนซี …สนามสอบที่สามก็ยังคงมู่เฉียนซีเหมือนเดิม
โดยเฉพาะสนามสอบที่สามที่มู่เฉียนซีทำคะแนนทั้งหมดทิ้งห่างจากคนที่สอบได้ที่สองไปหลายหมื่นลี้ คะแนนนี้ทำให้คนทั้งสำนักศึกษาตกตะลึง สีหน้าอ่านยาก กล่าวสิ่งใดแทบไม่ออก
“อะไรนะ ?! มู่เฉียนซียังมีชีวิตรอดกลับมา อีกทั้งยังได้อันดับหนึ่ง” ซวนหยวนเจียกล่าว อารมณ์โกรธเกรี้ยว
“สวรรค์! มู่เฉียนซีที่ไร้ความสามารถสอบครั้งสุดท้ายได้อันดับหนึ่ง มันเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ”
“ข่าวของเจ้าเก่าไปแล้ว มู่เฉียนซีชนะอัจฉริยะน้อยอย่างเยวี่ยซู่ ไม่ได้เป็นคนไร้ความสามารถตั้งนานแล้ว”
“แต่ว่าได้ที่หนึ่งของปี ถือว่าความสามารถนางท้าทายสวรรค์อย่างมาก”
มู่เฉียนซีที่ดูมีความสามารถเพียงธรรมดาสามัญ แต่เมื่อมีผลงานขึ้นมาก็โดดเด่น ทางสำนักศึกษาเห็นผลงานของนางก็ตกตะลึง ผู้นำตระกูลมู่ไร้ความสามารถผู้นี้ ในที่สุดก็แสดงความสามารถออกมาแล้ว
รองอาจารย์ใหญ่มีใบหน้ายิ้มแย้ม กล่าวกับมู่เฉียนซี “นักเรียนมู่เฉียนซี ครั้งนี้เจ้าสอบได้คะแนนที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทางสำนักศึกษาจึงมีมติให้เจ้าข้ามไปเลย ข้ามไปเป็นนักเรียนในห้องเรียนระดับสูง”
มู่เฉียนซีไม่สนใจว่าจะได้อยู่ห้องไหน ขอเพียงนางไม่ใช่ผู้นำตระกูลคนแรกและคนเดียวของแคว้นจื่อเยี่ยที่ถูกสำนักศึกษาไล่ออกก็พอแล้ว
มู่เฉียนซีพยักหน้า “อ้อ ข้าทราบแล้ว ขอขอบคุณมาก”
มู่เฉียนซีแสดงอาการออกมาอย่างเฉยเมย ทำให้รองอาจารย์ใหญ่รู้สึกผิดหวัง
ทั้งแคว้นจื่อเยี่ย คนที่สามารถข้ามระดับสามปี น้อยนักจะมีสักคน นี่ถือว่าเป็นเกียรติแล้ว เหตุใดนางถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ล่ะ ?!
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “รองอาจารย์ใหญ่ ข้าจะขอลาหยุดสักระยะหนึ่ง นานเท่าไหร่นั้นข้าไม่แน่ใจ”
ใบหน้าของรองอาจารย์ใหญ่แข็งทื่อ “นักเรียนมู่เฉียนซี เจ้าเพิ่งเลื่อนชั้นไปอยู่ห้องเรียนระดับสูง เรื่องนี้…”
มู่เฉียนซีค่อยเอ่ยขึ้นมา “รองอาจารย์ใหญ่ ถ้าเช่นนั้น ข้าจะสมทบทุนช่วยเหลือสำนักศึกษาในปีหน้า…”
มู่เฉียนซียังพูดไม่จบ รองอาจารย์ใหญ่ก็มีใบหน้าอันยิ้มแย้มสดใส รีบกล่าวตกลง
“ได้! ผู้นำตระกูลมู่ เจ้าเป็นผู้นำของตระกูลใหญ่ ต้องมีธุระให้จัดการมากมาย เป็นธรรมดาที่ไม่สามารถเข้าเรียนได้ทุกวัน เพียงแต่ว่าสอบปลายภาคอย่างไรก็อยากจะขอให้เจ้ามาเข้าร่วม เรื่องอื่นเจ้ามีธุระไม่มาก็ได้ เรื่องลานี่ข้าอนุมัติให้เจ้า”
“ต้องขอบคุณท่านรองอาจารย์ใหญ่มาก” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อลาพักแล้ว มู่เฉียนซีก็เตรียมเก็บของกลับบ้าน
ในที่พักไม่เห็นแม้แต่เงาของจิ่วเยี่ย เขาคงเบื่อไม่มีอะไรทำถึงมาเดินเล่นที่สำนักศึกษา ต่อไปก็คงไม่มาอีกแล้ว
“ท่านผู้นำ” คนขับรถม้ามายืนรออยู่ที่หน้าประตูสำนักศึกษาก่อนแล้ว รอเพียงมู่เฉียนซีมา จะได้กลับกัน
แต่ยามที่นางเปิดผ้าม่านเพื่อที่จะขึ้นรถม้า ใบหน้านางแข็งทื่อในทันใด …ในรถม้าของนางมีคนอยู่หนึ่งคน อีกทั้งคนคนนั้นยังมีชีวิต
คนที่นั่งอยู่ในรถม้า มีใบหน้าอันเยือกเย็น งดงามมีเสน่ห์ ผมสยายยาวลงมาราวกับน้ำตก นั่งอยู่ข้างในอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาสีฟ้าจ้องมองมาที่มู่เฉียนซี
“ท่านผู้นำ เป็นอะไรหรือไม่ ?”