ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 470 ซิวหลัวลงมาบนโลก
“เจ้า… เจ้า…” สีหน้าของอวิ๋นหวงเปลี่ยนเป็นหม่นคล้ำ
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? นางกลายเป็นบุคคลระดับจักรพรรดิแล้วแท้ ๆ เหตุใดยังไม่สามารถจัดการสาวน้อยผู้นี้ได้
อวิ๋นหวงกัดฟันแน่นเตรียมจะพุ่งเข้าไปอีกครั้ง
“ข้าแนะนําให้เจ้ายอมแพ้ ครั้งหน้าข้าคงไม่ได้อ่อนโยนเช่นนี้แล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา
“ข้าไม่เชื่อวาจาบ้า ๆ ของเจ้า กระบวนท่าเมื่อครู่นี้เกรงว่าจะทําให้เจ้าหมดแรง เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้ารึ ?” อวิ๋นหวงกล่าวเสียงเข้มพลันพุ่งร่างเข้าใส่มู่เฉียนซีและรวบรวมพลังวิญญาณทั้งหมด เตรียมเอาชีวิตของนางในครั้งเดียว
อวิ๋นปู้ป้ายนั้น เขาเองก็คิดว่าการโจมตีนี้เพียงพอที่จะทําให้ระดับราชาอย่างมู่เฉียนซีสูญเสียพลังทั้งหมด เขาจึงไม่ได้ขัดขวางการกระทําของบุตรสาวตัวเอง ทว่าเมื่อทักษะเทียนซวนถูกแสดงออกมา สองพ่อลูกอวิ๋นปู้ป้ายและอวิ๋นหวงรู้สึกราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย
มู่เฉียนซีนางแข็งแกร่งจริง ๆ!
“เสี่ยวหวง รีบหลบเร็วเข้า!” อวิ๋นปู้ป้ายตะโกนเสียงดัง
พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ตกลงมาจากฟากฟ้า ไม่ว่าจะเป็นความรวดเร็วหรือพละกำลังก็ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นหวงจะสามารถหลบได้
— ปัง! —
กระบวนท่านี้ตกลงมาบนร่างของนาง เกราะป้องกันของนางนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์อันใดเลย
“อ๊า!” อวิ๋นหวงร้องตะโกน เวลานี้กระดูกในร่างนางแตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว
หากไม่ใช่เพราะมีชุดเกราะอยู่ เกรงว่าคงจะกลายเป็นผงในทันที
— ฟึ่บ! —
“สวรรค์โปรด!”
เมื่อมองไปยังอวิ๋นหวงที่หมอบคลานอยู่ ทุกคนต่างอุทานออกมาคําหนึ่งด้วยความตกใจ ช่างเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
อวิ๋นหวงเจ็บปวดจนเป็นลมไปหลายต่อหลายครั้ง
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าเตือนเจ้าแล้วแท้ ๆ เจ้ากลับยังรนหาที่ตาย เช่นนั้นตอนนี้เจ้าอดทนกับความทุกข์ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน”
“สาวน้อยเจ้าบังอาจนัก กล้าลงมืออย่างโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าสํานักอวิ๋นเยียนของเรามีไว้แค่โอ้อวดรึ ?!”
บุตรสาวสุดที่รักของตนเองได้รับบาดเจ็บขนานหนักเช่นนี้ อวิ๋นปู้ป้ายก็โกรธจนอยากจะฆ่าคนแล้ว แรงกดดันของจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าแข็งแกร่งกว่าอวิ๋นหวงมาก
สํานักอวิ๋นเยียนปกครองแบบเผด็จการมาแต่ไหนแต่ไร หากรองเจ้าสำนักอวิ๋นอย่างอวิ๋นปู้ป้ายคิดจะรังแกคนผู้น้อยอย่างไร้ยางอาย คนอื่นก็ทําอะไรเขาไม่ได้
ทันใดนั้นเชียนอ้าวเซี่ยกล่าวขึ้น “รองเจ้าสํานักอวิ๋น บนเวทีประลอง การได้รับบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เจ้าไม่สามารถโกรธผู้อื่นได้เพียงเพราะบุตรสาวของเจ้าได้รับบาดเจ็บ”
อวิ๋นปู้ป้าย “แม้แต่ฮ่องเต้เหวินเต๋อก็ยังไม่กล้ากล่าวกับข้าเช่นนี้ เจ้าเป็นเพียงขยะ จะบังอาจเกินไปหน่อยแล้ว”
“แล้วเจ้าต้องการอะไร ?” มู่เฉียนซีแค่นเสียงเย็นชา
“ทําลายเจ้าแล้วพาเจ้ากลับไปยังสํานักอวิ๋นเยียน” อวิ๋นปู้ป้ายกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
“เจ้ามีสิทธิ์อะไร ?” เวลานี้มู่เฉียนซีไม่อยากเปิดเผยความแข็งแกร่งของตนเองมากนัก ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนางในเวลานี้นั้น จักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าก็ทําอะไรนางไม่ได้
“ข้าเป็นรองเจ้าสํานักอวิ๋นเยียน!”
ในทวีปเซี่ยโจว สํานักอวิ๋นเยียนคือราชา กล่าวได้ว่ามีอํานาจไม่เป็นสองรองใคร
ในตอนนี้เอง เสียงที่เย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น “เป็นเพียงสํานักนิกายระดับหนึ่งเล็ก ๆ กลับกล้าแตะต้องผู้หญิงของข้า”
อากาศทั่วทั้งลานจัดงานราวกับถูกแช่แข็งไป… เงาร่างสีดํายาวเดินออกมาจากความว่างเปล่า ใบหน้างดงามไร้ที่ตินั้นทําให้ผู้คนรู้สึกหลงใหล
ผมสีหมึกแผ่สยายกระจายออกไป ดวงตาสีฟ้าเย็นเยือกคู่นั้นลึกล้ำราวกับหุบเหวลึก สงบนิ่งจนไม่สามารถเกิดระลอกคลื่นได้ ราวกับสามารถกลืนกินวิญญาณมนุษย์ได้
จมูกของเขาสูงโด่ง ริมฝีปากบางแดงเรื่อ สองส่วนเป็นความเยือกเย็นและอีกสองส่วนเป็นความน่าหลงใหล แต่มีหกส่วนของความชั่วร้ายที่พุ่งเข้ามาลึกถึงในกระดูกของผู้พบเห็น เขาเป็นเหมือนราชาซิวหลัวที่เย็นชา เหมือนกับปีศาจชั่วร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ความงามขององค์รัชทายาทเซี่ยงดงามมีเสน่ห์ แต่ความงามของบุรุษชุดดำผู้นี้ ช่างเป็นความงามดั่งสวรรค์สร้าง ทําให้ทุกชีวิตต้องก้มหัวคารวะ
จิ่วเยี่ยยื่นมือออกไปกอดมู่เฉียนซีไว้ในอ้อมแขน ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เข้าใกล้นางเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว เขากอดนางแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเพราะคะนึงหา
เชียนอ้าวเซี่ยอยากจะแยกเขี้ยวตะปบเล็บไล่บุรุษตรงหน้านี้ออกไปเสีย แต่หลังจากที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวราวกับปีศาจ ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด ร่างเขาแข็งทื่อไม่อาจขยับ
เสียงของบุรุษชุดดำผู้นี้… เขาเคยได้ยินมาก่อน
วันนั้น เขาบอกอย่างโหดร้ายถึงเรื่องจริงเรื่องหนึ่งของพวกเขา เมื่อเผชิญหน้ากับเขา เกรงว่าเขากับอวี้ แม้แต่ความยุติธรรมในการประลองพลังความสามารถก็คงไม่มี
ความแข็งแกร่งของบุรุษชุดดำมีมากเสียจนเขาสามารถคิดอยากครองโลกทั้งใบของซีเอ๋อร์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเหลือช่องว่างไว้ให้ผู้ใด
บุรุษเหี้ยมโหดเช่นนี้จะยอมให้สมบัติของเขาถูกผู้อื่นแย่งชิงไปได้อย่างไร ? หากถูกผู้อื่นแย่งชิงก็จะต้องทำให้พังพินาศไป
อวิ๋นปู้ป้ายหัวใจสั่นสะท้าน เขารู้สึกว่าตนเองกำลังยืนอยู่ตรงหน้าชายที่เหมือนดั่งปีศาจที่น่ากลัวที่สุด ตัวเขาเองดูหดเล็กลงมาก… บุรุษชุดดำผู้นี้ ราวกับว่าเพียงแค่เขาลงมืออย่างสบาย ๆ ตัวเขาก็จะสลายหายไปในทันที
จิ่วเยี่ยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้ามองไปที่อวิ๋นปู้ป้าย
— ปัง! —
แม้แต่เจ้าสํานักอวิ๋นเยียนผู้สูงส่ง ก็ยังคุกเข่าลงเช่นนี้
การคุกเข่าลงนั้นน่าอัปยศอย่างไร้ที่เปรียบ แต่ก็ไม่อาจขัดขืนได้
ทุกคนต่างจ้องมองไปยังชายหนุ่มที่ดูเหมือนเทพมารซิวหลัวผู้นั้นด้วยอาการอ้าปากค้าง เขายืนอยู่ตรงนี้ ราวกับว่าทุกอย่างในโลกล้วนเป็นมดปลวก ยกเว้นสตรีในอ้อมกอดของเขา
“การประลองในครั้งนี้ อวิ๋นหวงแพ้แล้วจึงต้องยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี เมื่อครู่ข้าเพียงแค่ล้อเล่นกับคุณหนูมู่ ไม่มีความคิดที่จะทําร้ายนางอย่างแน่นอน” อวิ๋นปู้ป้ายรีบกล่าว
มุมปากของทุกคนกระตุกเล็กน้อย ล้อเล่น! หากบุรุษชุดดำแข็งแกร่งผู้นี้ไม่ปรากฏตัวขึ้น คุณหนูมู่ที่มีพลังเพียงระดับราชาก็อาจจะถูกสํานักอวิ๋นเยียนของพวกเขากลั่นแกล้ง
“ซี!”
ดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นมองไปยังมู่เฉียนซี และปล่อยให้นางตัดสินใจเองทั้งหมด นางจะฆ่าหรือไว้ชีวิตก็แล้วแต่นาง
มู่เฉียนซี “รองเจ้าสํานักอวิ๋นคงจําการเดิมพันระหว่างข้ากับคุณหนูอวิ๋นหวงได้กระมัง หลังจากที่นางพ่ายแพ้ นางต้องทำอย่างไร”
อวิ๋นปู้ป้าย “ตําแหน่งของเสี่ยวหวงย่อมต้องให้นายน้อยน่าหลานอวี้อย่างแน่นอน”
“เหมือนว่ารองเจ้าสํานักอวิ๋นจะลืมเรื่องอื่นไปเสียแล้ว…”
‘ต้องทำลายเส้นปราณพลังวิญญาณของตัวเอง ทำลายใบหน้าตัวเองแล้วก็กินยาพิษจนเป็นใบ้พูดไม่ได้ไปเดินร่อนเร่ข้างทาง’ คำพูดประโยคนั้นของบุตรสาวตนเองดังขึ้นมาในหัวของเขา
อวิ๋นปู้ป้ายหน้าซีดเผือด นี่คือบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขา เขาจะปล่อยให้นางเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ?
“เวลานี้หวงเอ๋อร์น่าสงสารพอแล้ว ข้า…”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “แพ้ก็คือแพ้ ในเมื่อพ่ายแพ้ก็ต้องทําตามสัญญาที่ให้ไว้ แสร้งทําเป็นน่าสงสารต่อหน้าข้า รองเจ้าสำนักอวิ๋น! ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะ”
“อ้อ และพูดถึงยาพิษ ยาของสํานักอวิ๋นเยียนของพวกเจ้าข้าคิดว่าไม่ได้ดีอะไร ข้าค่อนข้างเชื่อในยาของหอหมอปีศาจมากกว่า ยาพิษหนึ่งเม็ดนี้ทำให้เกิดผลตามที่ผู้แพ้จะต้องเป็นได้ในเม็ดเดียว ขอให้รองเจ้าสํานักอวิ๋นมอบมันให้คุณหนูอวิ๋นหวงด้วย”
“เจ้า… เจ้า…”
รองเจ้าสํานักอวิ๋นโกรธแทบกระอักเลือด ทว่าเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่มองไม่เห็น เขาก็พยายามกลั้นคําพูดต่อไปเอาไว้ เขาเงยหน้ามองชายที่ทําให้ผู้คนหวาดกลัว และไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมาอีกแม้แต่คําเดียว
ผ่านไปสักพัก เขาก็กล่าวขึ้นว่า “ศิษย์ของสํานักอวิ๋นเยียนของข้าย่อมพ่ายแพ้”
เขารับเม็ดยามา เตรียมจะให้อวิ๋นหวงกลืนลงไป
บทสนทนาเมื่อครู่ แม้อวิ๋นหวงจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่หูก็ยังใช้การได้ดี นางกรีดร้อง “ท่านพ่อ! ข้าไม่ต้องการ… ข้าไม่กิน… ข้าไม่เอา!”
“เสี่ยวหวงเจ้ารีบกินเถอะ ไม่เช่นนั้นพวกเราทุกคนจะต้องตาย…” อวิ๋นปู้ป้ายกล่าวอย่างจนปัญญา เขารู้ดีว่าบุรษชุดดำกระหายเลือดผู้นั้นจะสามารถทําลายล้างทั้งสำนักของพวกเขาได้อย่างแน่นอน
มันก็แค่ยาพิษชนิดหนึ่งเท่านั้น เขาเชื่อว่าสํานักอวิ๋นเยียนของพวกเขาจะต้องหาวิธีล้างพิษได้ เวลานี้พวกเขาต้องผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
อวิ๋นหวงถูกอวิ๋นปู้ป้ายบังคับให้กลืนยาลงไป ขณะเดียวกันมู่เฉียนซีไม่ได้อยากบีบบังคับพวกเขาให้ร้อนรนเกินไป นางไม่คิดจะอยู่ดู
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ในเมื่อที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน”
. .