ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 50 ท่านผู้นำตระกูลมู่อยากรับเขาเข้าตระกูล
โอวหยางเหว่ยที่มาในวันนี้ เพื่อมาดูคนไร้ความสามารถอย่างมู่เฉียนซี ว่าครั้งก่อนยังไม่ตาย หลังจากนั้นนิสัยกลับเปลี่ยนไป ไม่คิดว่ารอมาตั้งนานคนผู้นั้นก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา
ตอนนี้เอง ร่างบางในชุดกระโปรงยาวผ้าแพรสีม่วงอ่อนปรากฏกายขึ้นท่ามกลางสายตาผู้คน
“ว้าว!”
เพียงได้เห็นโฉมหน้าของนาง ทุกคนต่างสูดลมเย็นเข้าปอดไป
หญิงคนนั้นงดงามเหมือนดังภาพวาด ไม่ตกแต่งใบหน้า แต่เหนือกว่าหญิงงามนับไม่ถ้วน เป็นมู่เฉียนซีจริงหรือ ?
เมื่อก่อนนางแต่งหน้าตาทาปากเข้ม เหมือนอย่างกับเอาแป้งผัดหน้าทุกรูปแบบที่มีฉาบลงบนใบหน้าให้หมดในคราเดียว นี่คือผู้นำตระกูลมู่ มู่เฉียนซีผู้หยาบคายคนนั้นจริง ๆ หรือ ?
เยวี่ยเจ๋ออึ้งไปสักพัก ตั้งแต่เกิดมาเป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเยวี่ย เขาพบเจอสาวงามมาไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับหญิงสาวที่อยู่ต่อหน้านี้ กลับไม่สามารถเทียบกันได้เลยแม้เพียงนิด
รูปหน้าของนางวิจิตรงดงาม ผิวพรรณนวลเนียนขาวดั่งเช่นหิมะ ผิวอ่อนเยาว์บอบบางดูชุ่มชื้นสุขภาพดีราวกับว่าถ้าได้บีบก็อาจมีน้ำไหลออกมา ผิวพรรณช่างเปล่งปลั่งยิ่งนัก
ดวงตาคู่นั้นเสมือนดวงดาวส่องแสงระยิบระยับยามราตรี เพียงมองแวบเดียวสามารถทำให้ผู้คนที่พบเห็นหลงใหลได้โดยไม่ทันตั้งตัว
จมูกโด่งอันจิ้มลิ้ม ดูโค้งมนสวยงาม ริมฝีปากสีเชอร์รี่เปรียบเสมือนกลีบดอกไม้งามก็ไม่ปาน
ผมสีดำของนางสยายลงมาที่ด้านหลังดูสง่างามเสมือนผ้าเนื้อดี การเคลื่อนกายนุ่มนวลเหมือนดังสายเมฆอยู่บนขอบฟ้า
ก่อนหน้านั้นเขาเคยเจอมู่เฉียนซี เมื่อก่อน เพียงแค่เห็นนางครั้งหนึ่งเขาก็ไม่อยากทำร้ายดวงตาของเขาด้วยการมองนางอีกเป็นครั้งที่สอง แต่วันนี้นางทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้ การเปลี่ยนแปลงของคนหนึ่งเป็นไปได้มากถึงขนาดนี้เลยหรือ ?
เยวี่ยเจ๋อรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นระส่ำอย่างประหลาด
เยวี่ยเจ๋อนิ่งอึ้งไป ทุกคนต่างก็อึ้งตาม
“ท่านผู้นำตระกูลมู่ช่างงดงามมาก ได้ข่าวว่าคุณชายอวู่ซวงยกเลิกการหมั้นหมายของท่านผู้นำตระกูลมู่แล้ว ข้าต้องรีบให้ผู้ใหญ่ในบ้านข้าไปสู่ขอ หญิงที่งดงามและมีเงินเช่นนี้ จะไปหาที่ไหนได้อีกล่ะ”
“ใช่ซี่ ต่อให้เมื่อก่อนมีประวัติไม่ดี ข้าก็ยอมรับ รีบให้ท่านแม่ไปสู่ขอนางเลย งดงามเพียงนี้ หากไม่รีบมีแต่จะเสียดาย”
“…”
ชายหนุ่มในสนามต่างตะโกนก้องในใจ ในส่วนหญิงสาวจำนวนไม่น้อยที่เคยดูถูกมู่เฉียนซี ตอนนี้ล้วนแต่ตาแดงก่ำด้วยความริษยานาง มู่เฉียนเหตุใดจึงเปลี่ยนมางดงามได้ถึงเพียงนี้
มือของโอวหยางเหว่ยกำแน่น นิ้วจิกเข้าไปที่เนื้อ แม้แต่เลือดไหลออกมาก็ยังไม่รู้สึกตัว นางกล่าวด้วยความเคียดแค้นเต็มหัวใจ “มู่เฉียนซี ให้ตายเถอะ! ทำไมเจ้าถึงยังไม่ตาย ?”
เวลานี้เอง เสียงของมู่เฉียนซีดังมา
“เยวี่ยเจ๋อ เจ้าส่งจดหมายท้าประลองข้าเพราะอะไร ?”
อยู่ต่อหน้าสายตาอันเรียบเฉยของมู่เฉียนซีนั้น เยวี่ยเจ๋อรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
“เยวี่ยซู่พ่ายแพ้ในการประลองรอบที่สอง กลับบ้านถูกท่านพ่อตีเกือบตาย ดังนั้นข้า… ข้า…” เขาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่สามารถพูดให้จบประโยคสมบูรณ์ในเวลาเดียวกันได้
มู่เฉียนซีกล่าว “อยู่ที่ลานประลองจินอู๋ถาง ผู้ชนะสามารถเสนอข้อเรียกร้องต่อผู้แพ้ เจ้าจะร้องขอให้ข้าทำอะไรหากเจ้าชนะ ?”
“ข้า… ข้าเพียงแค่อยาก… อยากให้เจ้าขอโทษอาซู่”
เยวี่ยเจ๋อไม่ใช่คนพูดจาติดอ่าง ทว่ายามอยู่สนามประลองนี้ต่อหน้ามู่เฉียนซี วาจาของเขาดูติดขัดไปหมด
ในใจของชายหนุ่มทุกคนต่างก็มีเทพธิดาหรือเซียนสาวอันงดงามอยู่ในใจ และลักษณะภายนอกของมู่เฉียนซีที่เปลี่ยนแปลงไป นางกลายเป็นเซียนสาวที่อยู่กลางใจของเยวี่ยเจ๋อไปเสียแล้ว
หน้าตาแสนงดงาม ลักษณะสง่างามสูงศักดิ์ ทุกกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากนางดูโดดเด่นสูงส่ง
แต่นี่เป็นเพียงแค่ภายนอก หลังจากนั้นที่เยวี่ยเจ๋อรู้จักมู่เฉียนซีลึกขึ้น เขาถึงรู้ว่าในตอนนั้นเขาช่างไร้เดียงสานัก
ถ้ามู่เฉียนซีเป็นเทพธิดา ไม่ก็เซียนสาว จะต้องเหมือนกับเห็นผีแน่ ๆ
มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก “เจ้าลองเดาดูสิ หากข้าชนะ ข้าจะเสนอข้อเรียกร้องอะไร”
“ข้า… ข้าจะรู้ได้อย่างไร ?”
มู่เฉียนซีกล่าว “เยวี่ยเจ๋อ ถ้าหากข้าชนะ เจ้ามาเป็นน้องชายข้าหนึ่งปีเป็นยังไง ?”
“หืม ? เป็นน้องชายเจ้ารึ ?” เยวี่ยเจ๋ออึ้งไป รู้สึกข้อเสนอนี้ประหลาดพิกล
“คำร้องขอนี้อาจจะทำให้เจ้าลำบากใจ กฎเกณฑ์ของข้าสามารถเปลี่ยนได้ ถ้าหากว่าข้าแพ้ ข้าจะขอโทษเยวี่ยซู่ และจากวันนี้เป็นต้นไป หากเจ้าฝึกฝนและจำเป็นต้องใช้ยา ไม่ว่าจะเป็นยาอะไร ยาวิญญาณ ยาขั้นสูง ข้าจะให้การสนับสนุนทั้งหมด อ้อ ถ้าหากเจ้ามาเป็นน้องชายข้า ข้อตกลงนี้ก็ยังมีอยู่ เจ้าจะว่าอย่างไร ?” มู่เฉียนซีถาม
เมื่อก่อนนี้ เงินทองส่วนใหญ่ของตระกูลมู่มักจะถูกนำไปใช้เลี้ยงพวกขี้ข้าหมาป่าตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่อง ตัวเองยังรู้สึกว่าขาดทุนเยอะ
ไม่เหมือนเอามาเลี้ยงเยวี่ยเจ๋อ รากฐานของเยวี่ยเจ๋อมั่นคง พรสวรรค์กก็ไม่เลว
ที่สำคัญ เขาสามารถลากตระกูลเยวี่ยเข้ามา ตระกูลมู่มีศัตรูรอบด้าน ถ้าพวกเขาร่วมมือกันต่อต้านตระกูลมู่ กลัวว่าแม้จะมีเงินทองเยอะแยะมากมายล้นฟ้าดิน มียอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นจื่อเยี่ยอยู่ ก็อาจจะยังหมดสิ้นหนทางได้
หากมีตระกูลเยวี่ยเข้ามาเป็นเสมือนเกราะคุ้มกันคอยปกป้อง ถึงพวกนั้นอยากจะโจมตีตระกูลมู่ให้ตาย ก็ทำได้ยากมากขึ้น
“ฮืม…” เยวี่ยเจ๋อส่งเสียงในลำคอ คิดหนัก …ไม่ว่าใครแพ้ชนะ เขาจะได้ผลประโยชน์ไม่น้อย เยวี่ยเจ๋ออึ้งไป
การเงินตระกูลเยวี่ยของพวกเขาต้องคอยโอบอุ้มคนทั้งตระกูล ธรรมดาก็ลำบากมากแล้ว แทบจะไม่มีเหลือพอที่จะซื้อยาวิญญาณต่าง ๆ การฝึกฝนของเขาจึงพัฒนาล่าช้ากว่าเหล่าอัจฉริยะรุ่นเดียวกันมาก หากมียาวิญญาณ ยาขั้นสูงที่เพียงพอในการสนับสนุน สถานการณ์ก็คงจะแตกต่างออกไป
แต่ถ้าจะให้ตระกูลไหนสามารถพูดคำนี้ออกมาได้นั้น นอกจากตระกูลมู่ ตระกูลอื่นคงทำเช่นนี้ไม่ได้
เพราะการเลี้ยงคนที่มีพรสวรรค์ จำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก
“เชอะ! เยวี่ยเจ๋อ เจ้าหมอนี่ช่างโชคดีเสียจริงถึงมาเจอเรื่องดี ๆ แบบนี้ได้” ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับเยวี่ยเจ๋อพร่ำบ่น แววตาฉายความอิจฉาอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าว่าผู้นำตระกูลมู่ต้องตาต้องใจเยวี่ยเจ๋อเข้าให้แล้ว นางคงอยากให้แต่งเข้าตระกูลมู่ โอกาสดีเช่นนี้เหตุใดมาไม่ถึงข้านะ”
“ก็ใช่ เยวี่ยเจ๋อนอกจากไม่มียศอย่างเชื้อพระวงศ์ อย่างอื่นก็ไม่ได้แย่กว่าองค์ชายเจ็ด อีกทั้งพรสวรรค์ดีกว่าองค์ชายเจ็ดตั้งเยอะ”
“ว่าอย่างไร เยวี่ยเจ๋อ เจ้าตกลงไหม ?” มู่เฉียนซีถาม
นี่เหมือนกับขนมปังที่ตกลงมาจากฟากฟ้า อีกทั้งเขาก็ไม่น่าที่จะแพ้
เยวี่ยเจ๋อกล่าวเรียบ ๆ “มันไม่ยุติธรรมกับเจ้า”
“เจ้าอย่าเพิ่งคิดว่ายุติธรรมหรือไม่ เพียงตอบข้ามา ว่าเจ้าตกลงหรือไม่ก็พอ”
“ก็ได้ ข้าตกลง”
เขาตอบกลับไปแล้ว อึดใจนั้น เยวี่ยเจ๋อก็เห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของมู่เฉียนซี รู้สึกเหมือนตกเข้าไปในหลุมพรางของนาง
มู่เฉียนซียิ้ม นางกล่าว “ในเมื่อเจ้ารับปากแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็… เริ่มประลองกันเลย”
ไม่จำเป็นต้องทำหนังสือสัญญา เพราะอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย ตระกูลเยวี่ยก็ไม่มีหน้าที่จะเสียใจ อีกทั้งคนของตระกูลเยวี่ยพูดคำไหนเป็นคำนั้น
ผู้ตัดสินของจินอู๋ถางยืนขึ้น กล่าวประกาศด้วยเสียงอันดังก้อง
“การแข่งขัน เริ่มได้”
ลูกธนูอยู่บนสาย จำเป็นต้องต่อสู้ การประลองครั้งนี้ เขาต้องชนะให้จงได้
แต่เขาจะระมัดระวังไม่ให้นางบาดเจ็บ
“ระวังด้วย!” ร่างสีฟ้าของเยวี่ยเจ๋อเคลื่อนที่ พลังวิญญาณครอบคลุมเรือนร่าง สมาธิพร้อม กายพร้อม ใจพร้อม เขาพุ่งตรงไปที่มู่เฉียนซี
“ผู้บำเพ็ญภูตระดับหก เยวี่ยเจ๋อยังไม่ครบสิบแปดปีก็แข็งแกร่งถึงปานนี้ ช่างเก่งกาจจริง ๆ”
“ผู้นำตระกูลมู่ต้องแพ้แน่ ๆ มีคู่ต่อสู้เป็นผู้บำเพ็ญภูตระดับหก นี่จะต่อสู้กันอย่างไร ?”
“…”
ผู้คนกำลังพูดคุยกัน ไม่ว่าอย่างไรต่างก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉียนซีจะร้ายกาจกว่าเยวี่ยเจ๋อได้
เผชิญหน้าการโจมตีของเยวี่ยเจ๋อ มู่เฉียนซีไม่หลบหลีก ขณะเดียวกันก็ระเบิดพลังผู้บำเพ็ญภูตระดับหกออกมาเช่นกัน พลางตั้งรับกับฝ่ามือของเยวี่ยเจ๋อ
— ตูม! —
ทุกคนต่างใช้มือขยี้ตา
“นั่น! ข้าไม่ได้มองผิดไปใช่ไหม ? ผู้บำเพ็ญภูตระดับหก พลังของมู่เฉียนซีกับเยวี่ยเจ๋อเท่ากัน มีอะไรผิดไปหรือเปล่า ?!”
“ต้องเป็นอาการหลอนแน่ ๆ ข้าคงมีอาการหลอนถึงเห็นภาพนั้น”
— ปัง! —
ห้องอันหรูหราห้องหนึ่ง ถูกพลังฝ่ามือกระแทกจนแตกกระจาย มีน้ำเสียงโมโหดังออกมา
“มู่เฉียนซียังฝึกฝนวิชาได้อีกรึ ?! อีกทั้งเวลานี้นางยังมีพลังผู้บำเพ็ญภูตระดับหก”
.