ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 550 อยู่กับเจ้าตลอด
จื่อโยวยิ้ม “เยี่ย เจ้าหมอนี่มันเปิดทางให้แล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องเปลืองแรงไปฉีกมิติออก ก็สามารถไปที่แดนคุมขังได้”
ดวงตาสีเขียวฉายแววตื่นเต้น “และข้าคาดว่าทางผ่านนี้คงไปที่ค่ายของเจ้าไร้ความสามารถนั่น เมื่อถึงตอนนั้น เราก็จัดการมันได้เต็มที่ เจ้าว่าใช่หรือไม่ ?”
ชายในชุดคลุมสีดำตะลึงตาค้าง “เจ้าว่าอะไรนะ ? …ฝ่าบาทของพวกเราไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ ขอเพียงแค่เจ้ากล้าปรากฏตัวที่เขตแดนคุกดำ เจ้าจะต้องโดนแขวนคออย่างแน่นอน”
จื่อโยวกล่าวอย่างไม่กลัวเกรง “ก็ต้องมาดูกันว่าเขามีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้หรือไม่ ข้าว่าเขาจะต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างมากแน่ที่พาหมาป่าเข้าบ้าน” ชายชุดคลุมดำรู้สึกว่าทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้มีกลิ่นอายแห่งการฆ่าสังหารที่น่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ร้ายหรือน้ำหลากเสียอีก หากว่าทำภารกิจสำเร็จแล้ว เขาไม่อยากตาย
หนี!
ต้องหนี!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่น่ากลัวถึงสองคน หากเขาต้องการหนีเอาชีวิตรอด การจับตัวประกันสักคนหนึ่งเอาไว้ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี
มู่เฉียนซีเป็นสตรีที่น่าจะอ่อนแอและต้องการการปกป้องเป็นที่สุด จึงได้กลายมาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เขาต้องจับนางมาเป็นตัวประกัน
“ระวัง!” โม่จิ่นกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนเมื่อรู้สึกได้ถึงเงาร่างสีดำน่ากลัวที่กำลังใกล้เข้ามา สีหน้าของจื่อโยวพลันเปลี่ยนไป “ว่าอย่างไร ?”
มู่เฉียนซียังไม่ทันตั้งตัว จิ่วเยี่ยจับมือนางข้างที่กุมกระบี่เอาไว้ กระบี่มังกรเพลิงพลันเคลื่อนไหวแทงเข้าใส่ชายชุดคลุมดำผู้ซึ่งวิ่งเข้ามาหาที่ตาย
นี่คือร่างจริงของเขา ร่างจริงที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เมื่อถูกกระบี่แทงเข้าไป เขากลับไม่ตอบโต้แม้แต่กระบวนท่าเดียว เขาเบิกตากว้างมองกระบี่สนิมเล่มนี้ราวกับว่าอย่างไรเสียก็ไม่อยากจะเชื่อว่ากระบี่เล่มนี้จะทำอะไรเขาได้ ด้วยความสัมพันธ์ในแบบของผู้ทำพันธสัญญาต่อกัน มู่เฉียนซีจึงรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของเจ้ากระบี่ตะกละเล่มนี้
จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งทำให้มันเอิบอิ่ม
วิญญาณที่มีความชั่วร้ายอย่างที่สุด รสชาติของมันเอร็ดอร่อยมากจริง ๆ!
มู่เฉียนซีแสยะยิ้มมุมปาก เจ้ากระบี่นี่มิได้กลัวแต่อย่างใดว่าการตะกละตะกลามกินเช่นนี้ ‘ระบบย่อยอาหาร’ ของมันจะไม่ดีเอาได้
นางรู้สึกได้ถึงมือเย็นยะเยือกที่จับนางอยู่นั้น มือทั้งสองประสานกัน ค่อย ๆ เกิดความอบอุ่นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ใจของนางสั่นเบา ๆ หากจิ่วเยี่ยไม่ลงมือ แม้ว่านางจะมีอาวุธแห่งการฆ่าล้างที่ร้ายกาจเช่นกระบี่มังกรเพลิง ก็ไม่อาจที่จะทำอะไรกับเจ้าคนน่ากลัวผู้นี้ได้ พลังนั้นแตกต่างกันเกินไปอย่างเห็นได้ชัดเจน
ทว่าตอนนี้ กระบี่มังกรเพลิงอยู่ในมือของมู่เฉียนซี กอปรกับมีพลังของจิ่วเยี่ยรวมเข้าไปอีก
“อ๊าก! ไว้… ชีวิต… ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ ชายชุดคลุมดำกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า วิญญาณของเขาที่สั่งสมมานับพันปีถูกกลืนกินไม่มีเหลือเลย
เขากำลังจะตาย วิญญาณของเขาค่อย ๆ แตกสลายล่องลอยไป มู่เฉียนซีมองเขาด้วยแววตาเยือกเย็น เดิมทีชายชุดคลุมดำผู้นี้คิดที่จะบีบบังคับนาง มาตอนนี้กลับขอให้นางปล่อยเขาไป
นั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน!
ขณะนั้นจื่อโยวมองมาทางจิ่วเยี่ยกับมู่เฉียนซี
มือข้างหนึ่งถือกระบี่ อีกข้างโอบเอวบางเอาไว้
ทั้งสองคนนั้น แต่ละคนช่างงดงามไร้ที่ติยากจะหาผู้ใดเทียบเทียม ยิ่งเวลานี้พวกเขายืนอยู่ข้างกัน มันส่องประกายเจิดจ้าเสียจนแทบจะทำให้จื่อโยวถึงกับตาบอดเลยทีเดียว เขาพึมพำอยู่ด้านข้าง “ถุย! นับวันเยี่ยยิ่งจีบสตรีได้เก่งขึ้น นั่นเป็นเพราะข้า เพราะข้าล้วน ๆ ฮิ ๆ ๆ”
“ฮึ่ม! แต่การไม่รู้คุณอาจารย์เช่นนี้ เยี่ยเอ๋ย เจ้าจะตายไวหรือเปล่านะ ?” จื่อโยวนั้นเป็นพวกปากสุนัขปากอีกา ตอนที่เขาเพิ่งกล่าวจบก็เกิดเรื่องไม่มงคลขึ้นในทันที
— แกรก! —
เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา กระบี่มังกรเพลิงของมู่เฉียนซีหักไปเสียแล้ว
ชายชุดคลุมดำผู้นั้นอันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์ ขณะที่ปลายกระบี่แหลมสีแดงค่อย ๆ ร่วงโรยหล่นลงบนพื้นดิน
— เคร้ง! —
มู่เฉียนซีถือกระบี่สนิมที่ไร้ซึ่งปลายกระบี่ด้วยสีหน้าตกตะลึง
กระบี่มังกรเพลิงหักแล้ว! มันหักไปแล้ว!
กระบี่ในตำนานที่จักรพรรดิแห่งสงครามขวางอวิ๋นใช้มันแสดงแสนยานุภาพไปทั่วทั้งทวีปเซี่ยโจวหักเสียแล้ว นี่มันเรื่องล้อเล่นอันใด ?
มู่เฉียนซีถามขึ้นมา “เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่นี้เป็นสิ่งที่เกิดจากเจ้าหมอนั่น เขาทำกระบี่ของข้าหักรึ ?”
จิ่วเยี่ยตอบด้วยเสียงต่ำ “ไม่ใช่ เขาไม่มีความสามารถเช่นนั้น”
“แล้วมันคืออะไรกัน ?” มู่เฉียนซีข้องใจยิ่งนัก ไม่ง่ายเลยกว่านางจะหาอาวุธที่เข้ามือได้สักชิ้น แต่มันกลับมาหักเอาเช่นนี้
“ปลายกระบี่นั้นมีจิตวิญญาณ มันสามารถดูดซับเศษซากวิญญาณได้ เมื่อมันดูดซับจนฟื้นฟูได้ถึงระดับหนึ่ง ตัวของกระบี่เล่มนี้ก็ไม่อาจที่จะแบกรับมันได้ไหวอีกต่อไป” จิ่วเยี่ยอธิบาย ปลายกระบี่ลอยขึ้นไปกลางอากาศ เปล่งแสงอันเจิดจ้าร้อนแรงออกมา ราวกับมันจะบอกว่าจิ่วเยี่ยกล่าวถูกต้อง
มู่เฉียนซี “เจ้ากระบี่ เจ้าหักกลายสภาพเป็นเช่นนี้ จะให้ข้าใช้เจ้าได้อย่างไร หรือว่าข้าควรทิ้งเจ้าไปเลยดี ?”
กระบี่มังกรเพลิงกระโจนขึ้นลงไปมาอย่างรุนแรงรวดเร็วปานสายฟ้า มันหาเป้าหมายที่จะระบายอารมณ์ของมันพบแล้ว
มันกลายสภาพเป็นมังกรสีแดงฉานไปลอยวนอยู่รอบกายของโม่จิ่น
— แควก! —
อาภรณ์บนกายโม่จิ่นถูกกระบี่มังกรเพลิงฉีกขาดออกจนหมด เหลือไว้ก็เพียงแต่กางเกงชั้นในเท่านั้น! โม่จิ่นร้องคร่ำครวญ ใบหน้าแดงก่ำราวกับผลหยางเหมย “สวรรค์! ข้าไปทำอะไรให้ผู้ใดโกรธกริ้วกันนี่ ? และข้ายังเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บเสียด้วย เหตุใดถึงได้มารังแกข้าเช่นนี้ ?!”
‘ก็เพราะว่าเจ้านั้นรังแกได้ง่ายที่สุดยังไงเล่า!’ ถ้าหากว่ากระบี่มังกรเพลิงสามารถพูดได้ มันจะต้องพูดประโยคที่จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกโมโหแทบกระอักเลือดนี้ออกมาแน่
จิ่วเยี่ยบังสายตามู่เฉียนซีเอาไว้ ดวงตาสีฟ้าเย็นยะเยือกนั้นจ้องมองกระบี่มังกรเพลิงที่ทำท่าทีเสมือนว่าขอความดีความชอบอยู่ก็มิปาน
เห็นได้ชัดว่ากระบี่มังกรเพลิงเป็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ธาตุอัคคี แต่ในตอนนี้ มันกลับรู้สึกหนาวเหน็บและอยากที่จะให้ผู้เป็นเจ้าของมอบความอบอุ่นให้แก่มัน
มู่เฉียนซีมองกระบี่มังกรเพลิงอย่างพินิจพิจารณา นางกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า เจ้าสามารถใช้งานได้ แต่ใช้ได้เพียงแค่ในรูปแบบของอาวุธลับเท่านั้น” “ขอเพียงสามารถตีตัวกระบี่ที่รองรับมันได้ขึ้นมาใหม่สักเล่มหนึ่ง ก็ใช้งานต่อได้แล้ว”
ปลายกระบี่ขยับซ้ายขวาราวกับส่ายหน้า มันไม่อยากที่จะได้ตัวกระบี่ที่ทำขึ้นใหม่อย่างมั่วซั่วเหล่านั้น แต่มันอยากที่จะได้ตัวกระบี่ดั้งเดิมของมัน
มันเพิ่งกลืนกินวิญญาณและฟื้นฟูพลังขึ้นมาได้บ้างบางส่วน แต่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของมันคุกรุ่นขึ้นมาไม่น้อยเลย
มู่เฉียนซีพยักหน้า นางกล่าวกับจิ่วเยี่ย “อืม… เมื่อไปถึงทวีปเสียโจว ข้าจะหาทางตีตัวกระบี่ขึ้นมาก่อน ส่วนเรื่องที่จะหาตัวกระบี่เดิม เกรงว่าคงจะยากเย็นอยู่บ้าง เวลาผ่านพ้นมาเนิ่นนานหลายปี ไม่รู้เลยว่าตัวกระบี่ของมันถูกทิ้งเป็นขยะอยู่ที่ซากปรักหักพังแห่งหนใด”
ขยะ! กระบี่มังกรเพลิงพลันเกรี้ยวโกรธ ตัวกระบี่ดั้งเดิมที่ว่านี้ เป็นถึงร่างของท่านมังกรเพลิงเชียวนะ! ถึงต่อให้ผ่านไปหลายพันปีมันก็จะไม่กลายเป็นเศษเหล็ก แต่แม่นางมู่ผู้นี้กลับบอกว่าขยะ!
มู่เฉียนซีเก็บปลายกระบี่มังกรเพลิงเอาไว้ มาถึงตอนนี้ มันได้กินอิ่มหนำเต็มที่ เรียกได้ว่าไม่จำเป็นต้องกินอะไรเพิ่มอีกแล้ว นางตัดสินใจแล้วว่าจากนี้ไปจะใช้มันเป็นอาวุธลับ ทว่าพลังในการฆ่าล้างของมันนั้นยังคงแข็งแกร่งอยู่เช่นเดิม
มู่เฉียนซีมองกลับไปทางจื่อโยว ก่อนจะถามออกมา “จื่อโยว ทีนี้เราจะทำเช่นไรต่อ ?”
“จะทำเช่นไรน่ะหรือ ? พวกเราจะไปแดนคุมขัง ให้เยี่ยจัดการอุดมันเอาไว้เสียหน่อยก็น่าจะเรียบร้อยแล้วล่ะ” “ข้านั้นมีตำแหน่งของข้าอยู่ ณ ที่ตรงนี้ มันไม่ง่ายที่จะลงมือ แต่หลังจากที่ไปถึงฝั่งนั้น คิดจะทำเช่นไรก็ทำได้เลย”
“อ้อ และข้าจะถือโอกาสไปจัดการรังของเจ้าแห่งคุกดำด้วย ถือโอกาสคิดบัญชีเก่า ๆ ซะเลย”
มู่เฉียนซีตะลึงงัน “หืม ? เจ้าจะกลับแล้วรึ ?”
สุ่ยจิงอิ๋งให้เขาตามหาอาถิง เรื่องนั้นทำสำเร็จแล้ว เศษเสี้ยวของสุ่ยจิงอิ๋งก็หาพบแล้ว ฉะนั้น เขาควรกลับไปยังโลกของตัวเอง
นิ้วมือที่เย็นเฉียบค่อย ๆ วางทาบลงไปตรงด้านบนหัวใจของมู่เฉียนซีที่มีดอกไม้สีจาง ๆ อยู่ นางบังเกิดความรู้สึกชาขึ้นมาทันที มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “จิ่วเยี่ย เจ้าจะสัมผัสอะไร ?!”
จื่อโยวเป็นคนกล่าวออกมาแทน เขากล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมเลย “ที่จริงแล้วที่ไหนเยี่ยก็อยากจะสัมผัสเจ้าทั้งนั้น ทว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก หรือว่าเราเดินทางกันช้าลงหน่อย ให้จิ่วเยี่ยได้ทำสิ่งที่ต้องการก่อนแล้วค่อยเดินทาง”
จิ่วเยี่ยขยับกายเข้ามาใกล้ชิดมู่เฉียนซีพลางกระซิบข้างหูนาง “ซีจำเอาไว้ ข้าอยู่กับเจ้าเสมอ ขอเพียงเจ้าต้องการข้า”
หัวใจของมู่เฉียนซีพลันเต้นแรงขึ้นมา เสียงของเขาเย็นชาอย่างชัดเจน ทว่ามันกลับทำให้นางมีความรู้สึกอบอุ่นจากก้นบึ้งของหัวใจ
เขาอยู่กับนางเสมอ ตั้งแต่ตอนที่นางข้ามเวลามายังโลกที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ ที่ผ่านมา… เสมือนกับว่ามีเงาร่างของเขาอยู่ด้วยตลอดเวลา
“อืม ข้ารู้”
“ดี”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของมู่เฉียนซียังคงนิ่งสงบอยู่เช่นเดิม จิ่วเยี่ยจึงโน้มใบหน้างามของตนลงมาประทับรอยจุมบิตแผ่วเบาของเขาลงไป เขาทิ้งกลิ่นอายของตัวเองไว้
.