ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 57 มีสัตว์พันธสัญญาจะชนะไหม ?
ใบหน้าของซวนหยวนหลี่เทียนหม่นคล้ำลง เขาได้เห็นความสามรถในการต่อสู้ของมู่เฉียนซีมาแล้ว และเขาก็พ่ายแพ้ให้กับนางในลักษณะเดียวกัน
แม้ส่วนใหญ่เขาจะพ่ายแพ้แก่มู่เฉียนซีเพราะประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป ก็จำต้องยอมรับว่ามู่เฉียนซีคือสตรียากที่จะรับมือ หลังจากที่มีนิสัยเปลี่ยนไป นางก็เสมือนเปลี่ยนกลายเป็นคนละคน
ให้ตายเถอะ! โอวหยางเหว่ยน่าจะซุกซ่อนแผนการไว้ ไม่น่าจะปล่อยให้มู่เฉียนซีเอาชนะได้ในวันนี้
แม้ตอนนี้ นางจะมีสภาพน่าสังเวชเล็กน้อย แต่โอวหยางเหว่ยยังคงมองมู่เฉียนซีด้วยท่าทีเย่อหยิ่งไม่เปลี่ยน
“มู่เฉียนซี อย่าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้ เทียบกับข้าแล้ว ฝีมือเจ้ากับข้ายังห่างกันอีกไกลนัก”
พลังวิญญาณของโอวหยางเหว่ยเพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง บรรลุขึ้นมาถึงผู้บำเพ็ญภูตระดับแปด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?”
“ตระกูลโอวหยางมีไพ่ซ่อนไว้มากมาย พวกเขามีทักษะที่สามารถทำให้เพิ่มระดับอีกหนึ่งขั้น”
“ช่องว่างถึงสองระดับขั้นถือว่าห่างกันมาก แม้มู่เฉียนซีจะเป็นอัจฉริยะ อย่างไรก็คงไม่พ้นพานพบกับความพ่ายแพ้”
— พรึ่บ! —
เยวี่ยเจ๋อลุกขึ้นยืนจากที่นั่งของเขา มองมู่เฉียนซีด้วยอาการตื่นตะหนก
ความแตกต่างของช่องว่างหนึ่งระดับสามารถใช้พรสวรรค์ของนางทดแทนได้ แต่ตอนนี้… มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะโอวหยางเหว่ยที่มีความแตกต่างกันถึงสองระดับ
มู่เฉียนซียิ้มบาง ๆ “โอวหยางเหว่ย เจ้าช่างไร้เดียงสาเกินไป เจ้าคิดว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้หลังจากจากที่เจ้าบรรลุผู้บำเพ็ญภูตระดับแปดจริง ๆ รึ ?”
“มู่เฉียนซี ใกล้จะถึงวาระการตายของเจ้าแล้ว ยังจะกล้าปากเก่งอีก คำพูดเช่นนี้ รอข้าส่งเจ้าไปนรกแล้วเจ้าค่อยมาพูดเถอะ!”
ด้วยการขยับใบมีดของนาง ก่อตัวเป็นเหมือนพระจันทร์เต็มดวง พุ่งเข้าใส่มู่เฉียนซีพร้อมกับสายลมกระโชกแรง
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรงนี้ ยังคงยืนอย่างสงบอยู่ที่เดิม ไม่มีท่าทางที่จะหลบเลี่ยงใด ๆ
มู่เฉียนซียกมือขึ้นเบา ๆ กล่าวสบาย ๆ
“โล่วิญญาณวารี” จบคำ ม่านน้ำของนางพลันปิดกั้นการโจมตีที่รุนแรงนี้ไว้
— ตูม! —
พื้นที่บริเวณโดยรอบร่างของมู่เฉียนซีกลายเป็นหลุมเป็นบ่อเนื่องจากการโจมตีครั้งนี้ หากแต่นางไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
ฝูงชนทั้งหมดในงาน ลูกตาแทบถลนออกมานอกเบ้า “นั่น… นั่นคือพลังของธาตุวารี”
“มู่เฉียนซีเป็นผู้บำเพ็ญภูตธาตุวารี โอ้สวรรค์!”
“แคว้นจื่อเยี่ยของพวกเรามีผู้บำเพ็ญภูตธาตุอัจฉริยะคนที่สองขึ้นแล้ว”
ตอนนั้นเอง องค์ชายรัชทายาทที่นั่งดูการประลองอย่างสงบขยับกายหยุกหยิก สายตาของซวนหยวนหลี่ซางที่มองมายังร่างมู่เฉียนซี เขารู้สึกสนใจนางมากขึ้น
เพราะผู้บำเพ็ญภูตธาตุอัจฉริยะคนแรกเป็นเขาเอง เขาซึ่งมีพลังธาตุวายุ
‘ผู้บำเพ็ญภูตธาตุวารีรึ ?’ โอวหยางเหว่ยโมโหควันออกหู หน้าคล้ำดำเขียว
แม้ว่าถูกมู่หรูหยาน สตรีชั้นต่ำนั้นปีนข้ามหัวนางขึ้นไปแล้ว มาวันนี้พรสวรรค์ของมู่เฉียนซียังจะแซงหน้านางไปอีก นางแทบอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
มู่เฉียนซี หากวันนี้ไม่ตาย ในใจของนางก็ไม่มีวันสงบลง
ในเวลานี้ โอวหยางเหว่ยลืมคำเตือนที่ซวนหยวนจือกล่าวเอาไว้ ภายในใจของนางเคืองแค้นอัดแน่น ต้องการจะให้มู่เฉียนซีตาย ๆ ไปเสียให้จบสิ้น!
ผู้บำเพ็ญภูตธาตุ สามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้ ผู้ฝึกตนทั้งเซี่ยโจวต่างทราบกันเป็นอย่างดี
แต่มู่เฉียนซี นางต้องต่อสู้กับพลังที่เหนือกว่าถึงสองระดับขั้น การที่นางจะเอาชนะได้ ช่างเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างแท้จริง
เงามีดนับไม่ถ้วนถูกตวัดออกไป โอวหยางเหว่ยรู้สึกอิจฉามู่เฉียนซี ปล่อยให้ตนเองจมดิ่งเข้าสู่การต่อสู้อันบ้าคลั่งกระหายเลือด
มู่เฉียนซีใช้พลังธาตุวารีในการหลบหลีกและป้องกัน โอวหยางเหว่ยไม่สามารถทำอะไรนางได้เลยแม้เพียงนิด
นางยิ้มมุมปากน้อย ๆ หัวเราะออกมาเบา ๆ “มีความอดทนเพียงแค่นี้เองรึ ? เห็นทีข้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับเจ้าอีกต่อไป”
“มังกรวารี ไป!”
สิ้นเสียงตะโกนเยือกเย็น มังกรวารีตัวหนึ่งก็พุ่งตรงไปที่โอวหยางเหว่ยรวดเร็วราวสายลมแห่งวสันตฤดู
— ตูม! —
“ม่ายยยย” โอวหยางเหว่ยกรีดร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง ร่างกายของนางลอยขึ้นไปกลางอากาศในฉับพลัน
“อ๊าาาา!” เสียงร้องโหยหวนน่าสมเพชอย่างยิ่งนั้น ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกเจ็บปวดแทน
เวลานี้ ร่างโอวหยางเหว่ยได้รับบาดเจ็บนอนอยู่บนลานประลองการต่อสู้ที่แตก ๆ หัก ๆ ด้วยใบหน้าซีดเผือดไร้สีโลหิต
“นี่คือพลังของผู้บำเพ็ญภูตธาตุวารีใช่หรือไม่ ? โอ… แข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
“ผู้บำเพ็ญภูตธาตุวารี ช่างเป็นลูกรักของสรรพสิ่งทั้งหลายจริง ๆ!”
มู่เฉียนซียืนอยู่ด้านบน มองไปที่โอวหยางเหว่ย กล่าวเสียงเรียบ “โอวหยางเหว่ย เจ้าแพ้แล้ว”
โอวหยางเหว่ยคลานขึ้นมาจากหลุมช่องว่างบนพื้นด้วยความยากลำบาก กัดฟันพูดขึ้น “ข้าไม่แพ้ ข้าจะแพ้ได้อย่างไร ?! มู่เฉียนซี เร็วเกินไปที่เจ้าจะดีใจ”
“หงถิงออกมา! จงไปฉีกนางให้เละเป็นชิ้น ๆ เสีย” โอวหยางเหว่ยแสยะยิ้มก่อนจะตีหน้าขรึม ภาพร่างเปื้อนโลหิตของนางในขณะนี้ ทำให้ภาพสตรีอันดับหนึ่งของนางหายไปเสียสิ้น นางกลายสภาพเป็นเหมือนผีร้ายที่คลานมาจากนรกอเวจีหมายจะมาเอาชีวิตสตรีชุดม่วง
“โฮก!”
เสียงคำรามของเสือดังขึ้น ในเวลาต่อมา เสือกายสีแดงดั่งเปลวเพลิงก็ปรากฏกายต่อหน้าโอวหยางเหว่ยในทันที
ร่างกายของเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ มีความยาวอย่างน้อยเจ็ดเมตร กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของสนามประลองที่ผุพังไปกว่าครึ่ง ตรงหน้าผากมีคำว่า ‘ราชา อยู่ ดูยิ่งใหญ่สูงส่ง
“นั่น…! เสืออัคคีหงถิง สัตว์วิญญาณระดับสาม”
“ตระกูลโอวหยางสามารถหาสัตว์วิญญาณระดับสามมาให้คุณหนูใหญ่ทำพันธสัญญาได้ ตระกูลโอวหยาง ช่างลึกล้ำจริง ๆ”
“ใช่! การจับสัตว์วิญญาณระดับสามถึงแม้จะไม่ยาก แต่การต้องเชิญผู้ฝึกสัตว์นั้นมิใช่เรื่องง่าย แคว้นจื่อเยี่ยของพวกเราไม่มีผู้ฝึกสัตว์เลยสักคน ไม่รู้ว่าตระกูลโอวหยางไปหาผู้ฝึกสัตว์มาจากที่ใด”
ดวงตาของซวนหยวนจือปรากฏแสงอันตรายแวบผ่านเข้ามา ตระกูลโอวหยางหาผู้ฝึกสัตว์ให้โอวหยางเหว่ยฝึกฝนสัตว์วิญญาณระดับสาม เรื่องนี้เขาไม่เคยรู้เสียด้วยซ้ำ
เรื่องอันตรายที่เหนือการควบคุมนี้ มันไม่ดีเอาเสียเลย
ผู้นำตระกูลโอวหยางมีลางสังหรณ์ไม่ดี ฮ่องเต้ของพวกเขาองค์นี้ขี้ระแวงสงสัย อีกทั้งเอาแต่ประโยชน์ส่วนตน
แต่เดิมเขาคิดว่าการต่อสู้ของเหว่ยเหว่ยกับมู่เฉียนซี ไม่จำเป็นต้องใช้สัตว์พันธสัญญา แต่ไม่คาดคิดว่ามู่เฉียนซีจะเปลี่ยนไปมากกว่าที่คิดไว้ ทำให้เหว่ยเหว่ยต้องมาถึงขั้นนี้
“สัตว์วิญญาณระดับสาม ความสามารถในการสู้รบเทียบได้กับระดับขั้นของจอมภูต ถึงแม้ท่านผู้นำตระกูลมู่จะมีพรสวรรค์มากมายเพียงใด ก็ไม่สามารถเอาชนะได้”
“ช้าก่อน อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ มันไม่แน่เสมอไป บางทีท่านผู้นำตระกูลมู่อาจจะมีสัตว์พันธสัญญาอยู่ก็เป็นได้”
“สัตว์พันธสัญญา จะเป็นไปได้อย่างไร ? แม้ตระกูลมู่จะมีเงิน แต่ถึงจะให้เงินผู้ฝึกสัตว์ เขาก็คงไม่สนใจ อีกทั้งแคว้นจื่อเยี่ยของพวกเราไม่มีผู้ฝึกสัตว์”
เยวี่ยเจ๋อทนไม่ไหว ลุกขึ้นพูด “ฝ่าบาท การแข่งขันครั้งนี้ โอวหยางเหว่ยใช้สัตว์พันธสัญญา เป็นการไม่ยุติธรรม ฝ่าบาทได้โปรดให้นางเก็บสัตว์พันธสัญญาด้วยเถอะ”
ซวนหยวนจือต้องการให้มู่เฉียนซีพ่ายแพ้ จะได้ไม่ต้องให้รางวัลตามสัญญาคำขอสองข้อที่ให้ไว้ เขาจะให้โอวหยางเหว่ยเก็บสัตว์พันธสัญญาไปได้อย่างไร ?
เขากล่าวขึ้น “สัตว์พันธสัญญา ก็ถือว่าเป็นความสามารถของบุคคลอีกชนิดหนึ่ง ก่อนการประลอง ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตกลงกันว่าจะไม่ใช้สัตว์พันธสัญญา ดังนั้นเหว่ยเหว่ยใช้สัตว์พันธสัญญาในการต่อสู้ ข้ามิถือเป็นการผิดกฎ”
เยวี่ยเจ๋อมองออกว่าฮ่องเต้กับตระกูลโอวหยางเป็นฝ่ายเดียวกัน
เขามองหญิงสาวที่อิสระดั่งสายลมซึ่งยืนอยู่บนเวทีการประลอง อายุของนางยังไม่ครบสิบหกปีเต็มเสียด้วยซ้ำ แต่ต้องมารับผิดชอบแทนทั้งตระกูลมู่เช่นนี้
อีกทั้งผู้มีอำนาจทั้งสองขั้วอำนาจของแคว้นจื่อเยี่ย ทุกคนต้องการจะนำนางไปสู่ความตาย
สามปีที่ผ่านมา นางต้องผ่านความยากลำบากมามากเท่าไหร่
จู่ ๆ เยวี่ยเจ๋อรู้ก็สึกว่าตนเองโชคดีมาก ๆ ถึงแม้ท่านพ่อจะกวดขันตนอย่างหนัก ในตระกูลไม่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อยาวิญญาณเพื่อเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนให้ตนเอง
แต่ว่า… เขาไม่เคยใช้ชีวิตที่อยู่ท่ามกลางอันตรายหนักหนาถึงแก่ชีวิตอย่างนี้มาก่อน ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังใคร
หญิงสาวคนนี้ที่ทำให้คนเฝ้ามอง ตอนนี้เขารู้สึกห่วงใยนางขึ้นมา
เขามองมู่เฉียนซี อยากบอกให้นางยอมแพ้ไป
เขาไม่อยากให้นางบาดเจ็บสาหัสเลย…
เห็นสายตาห่วงใยของเยวี่ยเจ๋อ มู่เฉียนซีส่งรอยยิ้มอุ่นหน่อย ๆ ให้เขาวางใจ นางไม่ได้รับความยุ่งยากใด ๆ ผู้ที่จะตกที่นั่งลำบากคือโอวหยางเหว่ยต่างหาก มิใช่นาง
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเยือกเย็น “เหอะ! โอวหยางเหว่ย เจ้าคิดว่าจะมีเพียงเจ้าที่มีสัตว์พันธสัญญารึ ?”
.