ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 582 เจ้าแกะอ้วนสองตัว
สีหน้าฉินปาพลันเผือดซีด เขากล่าวขึ้น “สวรรค์! สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสอง เราจะทำเช่นไรดีล่ะนี่ ?”
“เราจะไปทำอะไรได้ ? วิ่งสิ วิ่งอย่างเดียวเท่านั้น!” มู่เฉียนซีตะเบ็งเสียงตอบ
นี่เป็นการสอบแบบจำลอง หากไม่มีอันตรายถึงชีวิต นางจะไม่ให้เสี่ยวหงและอู๋ตี้ออกมาช่วยเป็นอันขาด
“วิ่ง!”
พวกเขาทั้งสามคนพุ่งออกไปด้วยความเร็วขั้นสูงสุด ทว่าความรวดเร็วของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสองนั้นก็มิได้อ่อนด้อย อีกอย่าง หมาป่าสายฟ้าตัวนั้นได้ชื่อว่าเป็นราชาความรวดเร็วแห่งป่าทมิฬ
“ตาเฒ่า เตรียมตัวช่วยเหลือเร็วเข้า!”
“สวรรค์ช่างกลั่นแกล้ง! เพิ่งเข้าไปในเขตของป่าทมิฬก็เจอเข้ากับหมาป่าสายฟ้าเข้าให้แล้ว เจ้าเด็กสามคนนี้โชคร้ายยิ่งนัก”
“ต้องรีบหน่อยแล้ว เจ้าสามคนนี้เป็นถึงอัจฉริยะ ถ้าหากพวกเขาได้รับบาดเจ็บหนัก อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาหนานเฟิงคงจะรู้สึกเจ็บปวด”
แต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าในตอนที่หมาป่าสายฟ้าได้ไล่ตามพวกเขามาทันแล้ว มันกลับวิ่งวนไปมาอยู่ ณ ที่ตรงนั้นราวกับแมลงวันตัวหนึ่งที่บินวนไม่ไปไหน
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหมาป่าสายฟ้านั่น ? มันโดนสิ่งชั่วร้ายเข้าไปหรือไร ?” “มันไม่ไล่ตามไปแล้ว นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน ?”
“เจ้าหนูสามคนนั่นทำอะไรลงไป ? แปลกจริง ๆ”
ในที่สุดพวกเขาก็หนีออกห่างจากหมาป่าสายฟ้าได้เสียที ฉินปาเอนหลังพิงต้นไม้ เป่าลมหายใจออกมาคำใหญ่ ๆ “ฮู่ววว! ให้ตายเถอะ ข้าคิดว่าจะเสร็จมันเสียแล้วสิ”
“พี่ใหญ่มู่ เมื่อครู่นี้ทำอะไรลงไปรึ ? เจ้าหมาป่าสายฟ้าบ้านั่นถึงได้เลิกตามเรามา”
มู่เฉียนซีตอบ “ก็แค่ผงที่สร้างความสับสนชนิดหนึ่งเท่านั้น ที่ทำให้มันมึนงงจนจับทิศทางไม่ถูกและตามเรามาไม่ได้” โม่ซางคงกล่าวอย่างดีใจทันที “โอ้! ตามเจ้ามาปลอดภัยที่สุดอย่างที่คิดไว้จริง ๆ!”
“ที่เจ้ากล่าวมานั้นมิผิด แต่ก็ต้องดูกันว่าพวกเจ้าสามารถตามข้าทันหรือเปล่า”
บนตัวนางนั้นมีผงยาอยู่ไม่น้อยเลย ถ้าหากมิใช่เพราะพบเจอสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษละก็ พวกเขาคงจะวิ่งหนีอย่างเดียว
ร่างมู่เฉียนซีอันตรธานหายตัวไปอีกครั้ง ฉินปาเองก็จนปัญญา
“พี่ใหญ่มู่แข็งแกร่งเกินไป เมื่อครู่วิ่งมาไกลขนาดนั้น ข้านี่เหนื่อยแทบตายอยู่แล้ว แต่นางกลับไม่เป็นอะไรเลย” โม่ซางคงกล่าวเตือนอย่างเป็นมิตร “เก็บแรงที่เอามาพูดไว้ตามนางให้ทันกันดีกว่า”
มู่เฉียนซีนั้นสามารถที่จะรับมือกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งตัวหนึ่งได้ด้วยตัวคนเดียว และในการต่อสู้โม่ซางคงกับฉินปาที่ร่วมมือกันก็สามารถที่จะรับมือกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งหนึ่งตัวได้เช่นกัน
หากพบเจอสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ระดับขั้นสูงกว่าระดับหนึ่งขึ้นไปนั้น แน่นอนว่าจะต้องหนีตายก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
มู่เฉียนซีเองก็ได้ให้ผงยาแก่พวกเขาไปบางส่วนเพื่อเอาไว้ป้องกันตัว แต่ทุกครั้งที่ฉินปาได้เห็นยาเม็ดที่มู่เฉียนซีใช้ เขาก็อยากจะพุ่งเข้าไปถามตรงหน้านางว่า ‘ยานี้ ไม่เก็บเงินข้าใช่หรือไม่ ?!’
ถึงต่อให้เขาได้ถามออกไป คาดว่ามู่เฉียนซีก็คงจะตอบอย่างนิ่งเฉยว่า ‘เดิมทีข้าก็ไม่ต้องการเงินของเจ้าอยู่แล้ว’ — ปึก ปัก ปึก ปัก! —
เมื่อเอาชนะพวกที่ขวางทางอยู่ตรงหน้าได้ พวกมู่เฉียนซีตั้งใจจะดิ่งลึกเข้าไปในการฝึกฝนต่อไป แต่ที่รอบด้านนั้นพลันปรากฏเสียงเท้าดังแว่วมา
มู่เชียนซีหยุดฝีเท้าลง ส่วนฉินปาถามขึ้นด้วยเสียงเบาราวกระซิบ “อ๊ะ! พี่ใหญ่มู่ มีอะไรหรือ ?”
“มีคนมารึ ?” มู่เฉียนซีถาม
“อืม มีคนมา ทว่าเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาคนหนึ่งเท่านั้นเอง พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา” ฉินปากล่าวขึ้นด้วยความมั่นใจเต็มสิบส่วน
ทว่าโม่ซางคงกลับเห็นต่าง “ถึงแม้ว่าป่าทมิฬเป็นสถานที่ที่เอาไว้จำลองการสอบของสถานศึกษาหนานเฟิงในครั้งนี้ แต่สถานที่อันตรายกว้างใหญ่เช่นนี้ มันไม่ได้เป็นป่าของพวกเราสำนักศึกษาหนานเฟิง ที่ป่าทมิฬแห่งนี้อาจจะมีผู้อื่นก็เป็นได้”
มู่เฉียนซี “อา… เท่าที่ข้ารู้สึกได้ ผู้มาเยือนนั้นมีกลิ่นอายสงบนิ่ง ฝีเท้าก็เบาบาง อย่างน้อยพวกนั้นคงเป็นระดับจักรพรรดิทั้งหมด ฉะนั้นแล้วพวกเขามิใช่คนของสำนักศึกษาเรา”
“โอ้! นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอหน้ากันไวเช่นนี้” “เพื่อที่จะฝึกนักเรียนเหล่านี้ ตาเฒ่าหนานเฟิงนั่นก็ได้ใช้วิธีการอันโหดเหี้ยมกับพวกเราสินะ”
“ในป่าทมิฬแห่งนี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดมิใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นนักล่าเงินรางวัลอิสระ เจ้าเฒ่าหนานเฟิงถึงกับบอกพวกนั้นว่าให้แย่งกันจับตัวนักเรียนของพวกเขาได้ตามสบาย เหอะ! ถ้าหากว่าข้ามีอาจารย์ใหญ่เช่นนี้ละก็ เกรงว่าคงจะเอากระสอบผ้าไปคลุมตัวเขาแน่”
ชายชราหลายคนซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้สูงตระหง่านและเริ่มพูดคุยกัน
และแล้ว คนเหล่านั้นใกล้เข้ามา พวกเขามิใช่นักเรียนของสำนักศึกษาหนานเฟิงจริง ๆ เสียด้วย แต่เป็นกลุ่มคนที่จัดขึ้นโดยชายผู้หนึ่งที่อายุสามสิบสี่ปี
เขาผู้นั้นมีผิวกายสีทองแดงดูโบราณและมีสายตาแหลมคม ดูแล้วยากที่จะรับมือได้อย่างแท้จริง “ท่านผู้นำ เรามาเจอกลุ่มเด็กน้อยอีกแล้วดูสิขอรับ แล้วในบรรดาพวกมันก็มีอัจฉริยะที่เป็นคนของสำนักนิกายระดับหนึ่งหรือครึ่งระดับอยู่ด้วย ถึงแม้พวกมันจะล่าสัตว์วิญญาณได้ไม่มากมายนัก แต่ยาเม็ดที่ติดตัวมานั้นคงจะมีไม่น้อยเลย” หนึ่งในนั้นยิ้มหลังจากที่กล่าวออกมาเช่นนี้ สายตาก็กวาดมองไปที่พวกมู่เฉียนซี
เสื้อผ้าที่มู่เฉียนซีและโม่ซางคงสวมใส่อยู่นั้นให้ความรู้สึกไม่ธรรมดา กลุ่มกำลังทั่วไปไม่อาจที่จะชุบเลี้ยงเช่นนี้ได้ อย่างน้อยจะต้องเป็นคนของสำนักนิกายระดับหนึ่ง
ส่วนฉินปาดูธรรมดาพวกเขาจึงมองข้ามไป แค่เพียงมีแกะอ้วนสมบูรณ์สองตัวนั้นก็เพียงพอแล้ว
จากสิ่งที่พวกเขากล่าวออกมา มู่เฉียนซีรู้ได้ทันใดว่าพวกนั้นคิดจะทำอะไร นางกล่าวเสียงแข็ง “หมายความว่า พวกเจ้าคิดว่าพวกข้านั้นร่ำรวยมากจึงจะปล้นชิงพวกข้างั้นรึ ?”
“ถ้าใช่แล้วเจ้าจะทำไมข้า ?”
ฉินปากล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “พวกท่านลุงทั้งหลายอายุปูนนี้แล้วยังจะมาปล้นชิงพวกเรา พวกท่านไม่รู้สึกว่ามันน่าอายบ้างหรือไง ?”
พวกเขายิ้มน่ารังเกียจออกมา “น่าอายรึ ? จะเป็นเช่นนั้นไปได้ยังไง ? พวกเราเป็นนักล่าค่าหัวอิสระผู้ให้ความสำคัญกับคำเพียงสามคำคือ ผลประโยชน์!”
“ขอแค่มีผลกำไร จะให้ทำอะไรพวกเราก็จะทำ เอาล่ะเจ้าหนูทั้งหลาย ส่งแก่นวิญญาณที่นำมาด้วยออกมา รวมทั้งหยกวิญญาณ ยาเม็ด ตำรายุทธ์ อาวุธวิญญาณ ส่งออกมาให้หมด! อย่าให้พวกเราต้องลงมือโหดพิฆาตฆ่าเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่ของเสียโจวเช่นพวกเจ้าเลย” พวกเขากล่าวขึ้นด้วยเสียงกังวาน นักเรียนของสำนักศึกษานั้นไม่เคยผ่านการฆ่าฟันมาและมีความสามารถในการต่อสู้เพียงน้อยนิด พวกเขาจึงมิได้เห็นอยู่ในสายตา แน่นอนว่าพวกนั้นคิดว่าพวกเขาเหมือนกับลูกแกะที่จะยอมให้พวกเขาฆ่าแกงอย่างไรก็ได้ และจะต้องยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
ฉินปาเป็นพวกดื้อรั้นแถวหน้า มิเช่นนั้นแล้วเขาคงมิได้ท้าทายมู่เฉียนซีตั้งหลายครั้ง
มือเขากำหมัดแน่น ปากก็กล่าวว่า “พวกเราจะไม่ยอมแพ้โดยไม่ได้สู้อย่างแน่นอน พวกเจ้าต้องการของที่ติดตัวพวกเรามา เชิญลงมือเถิด!”
“เยี่ยมไปเลย!” โม่ซางคงกล่าวขึ้นทันที เขามองไปที่เหล่านักล่าอิสระแล้วกล่าวขึ้น “ไม่มีอะไรต้องพูดกันมาก สู้ซะ! ทำให้พวกเราหมดแรงหมอบลงหรือไม่ก็ฆ่าพวกเราเสีย เช่นนั้นแล้วของที่พวกเจ้าต้องการ พวกเจ้าจึงจะแย่งเอามันไปได้” ในฐานะนายน้อยของตําหนักโม่อวี่ ซึ่งเป็นขุมกําลังสำนักนิกายระดับหนึ่ง เขาเองก็มีความหยิ่งทะนงอยู่ในตัวเช่นกัน
มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม “เหอะ ๆ ท่านลุงทุกท่านอย่าได้ดูถูกพวกเราที่เป็นนักเรียนของสำนักศึกษาเชียว มิเช่นนั้นแล้วจะขาดทุน แม้ที่ให้ร้องไห้ยังจะไม่มีให้ น่าสงสารออกนะ”
ฉินปาและโม่ซางคงไม่รู้จักดีร้ายก็ช่างเถอะ แต่สาวน้อยผู้นี้กลับกล้าประชดประชันพวกเขา น่าแค้นใจนัก!
เหล่านักล่าเงินรางวัลอิสระพวกนี้ ถูกทำให้โกรธกริ้วโดยสมบูรณ์
หนึ่งในคนพวกนั้นที่มีร่างกายสูงใหญ่พุ่งตัวออกมากล่าว “โอหังนัก! รับมือกับเด็กทารกสามคนเช่นพวกเจ้า ข้าเพียงคนเดียวก็พอแล้ว” “โอ้!”
“พอรึ ?”
เงาร่างสีม่วงพุ่งอ้อมเข้าไปที่ด้านหลังของชายผู้นั้นอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ยามเมื่อข้อมือของนางสะบัดเพียงคราเดียว เข็มยาเข็มหนึ่งพลันบินออกไปปักเข้าที่คอของชายผู้นั้นอย่างจัง
ชายร่างใหญ่ผู้นั้นรู้สึกถึงอาการเจ็บที่คอ ทันใดนั้นเอง มู่เฉียนซีแค่นเสียงกล่าวขึ้น “ไงล่ะ ตอนนี้เจ้ายังคิดว่าคนเดียวเพียงพออยู่หรือเปล่า ?”
พวกคนที่เหลือเบิกตากว้างมองมู่เฉียนซีด้วยความตระหนก “เจ้าเด็กน้อยน่ารังเกียจ เจ้ามันลอบโจมตี เจ้ามันเจ้าเล่ห์เพทุบาย!”
“อ้าว! พวกข้าไม่ได้โง่หนิ ใครจะยอมให้พวกเจ้าที่มากทั้งกำลังและอายุรังแกพวกเราเฉย ๆ ล่ะ ? คือจะไม่ยอมให้พวกเราลอบโจมตีเลยงั้นสิ!” มู่เฉียนซีกล่าวหยอกล้อยั่วยุ
ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำด้วยความอัดอั้น เจ้าเด็กนี่ช่างน่าโมโหจริง ๆ
“อ้อ และพวกเจ้าอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะเข็มยาของข้านั้นมีพิษร้ายแฝงอยู่ หากพวกเจ้ากล้าที่จะลงมือมั่วซั่วละก็ เตรียมเก็บศพพี่น้องของเจ้าได้เลย”