ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 61 ไม่ชอบบุรุษอย่างหลี่อ๋อง
สิ้นคำพูดไร้ปรานี กอปรกับท่าทีไม่แยแสของซวนหยวนหลี่เทียน มู่หรูอวิ๋นแทบลมจับ นางก้มศีรษะลง ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ฮือ ๆ ๆ… ท่านพี่หลี่เทียน ข้า… ไม่ว่าท่านพี่หลี่เทียนจะทำอะไร ข้ามู่หรูอวิ๋นจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ”
ถึงแม้จะเจ็บปวดใจเจียนตายเพียงใด นางยังคงกล่าววาจาน่าเวทนา
ไอสังหารที่แผ่จากกายของจิ่วเยี่ยเยือกเย็นน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่จิ่วเยี่ยแทบทนไม่ไหว คิ้วขมวดแน่นหมายจะลงมือปลิดชีพส่งซวนหยวนหลี่เทียนไปแดนนรกนั้น มู่เฉียนซีพลันกล่าวขึ้น
“ข้าขอปฏิเสธ”
ซวนหยวนหลี่เทียนช่างเป็นคนน่ารังเกียจนัก มู่เฉียนซีรู้สึกขยะแขยงบุรุษผู้นี้จนเส้นขนอ่อนนุ่มตามแขนเรียวขาวลุกชัน ยาพิษที่มีนางอยากจะหยิบออกมากรอกปากหลี่อ๋องผู้นั้นสักหนึ่งกำมือให้เป็นใบ้ไปเสีย
ซวนหยวนจือ “ซีเอ๋อร์ ทำไมกัน หลี่เทียนก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง เจ้ากับเขา สองคนก็ดูเหมาะสมกันอย่างกิ่งทองใบหยก”
ซวนหยวนจือพยายามกล่าวคำเยินยอให้กับโอรสของตนเพื่อโปรยทางให้เกิดการแต่งงานระหว่างบุตรชายตนกับสตรีมู่เฉียนซี หากทั้งสองได้ตบแต่งเป็นทองแผ่นเดียวกัน เช่นนั้นสินสอดทองหมั้นก็ไม่จำเป็นต้องคืน
ฮ่องเต้คิดจะขายโอรสโดยไม่สนใจสถานะของตน มู่เฉียนซีจนปัญญา
“ฝ่าบาท พระองค์อย่าตรัสอะไรมากความเลย เอาเป็นว่าข้าไม่ชอบบุรุษอย่างหลี่อ๋อง”
“หมายความว่าอย่างไร ? เทียนเอ๋อร์ไม่ดีตรงไหน เขาสามารถเปลี่ยนแก้ไขให้เจ้าได้” น้ำเสียงของฮ่องเต้จริงจังอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซีหันไปมองซวนหยวนจือ กล่าวว่า “สันดานบางอย่างเกรงว่าหากมิใช่ชาติหน้า ก็มิอาจแก้ไข”
ซวนหยวนจือขมวดคิ้ว หน้าผากยู่ย่น “ซีเอ๋อร์ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?!”
มู่เฉียนซีกล่าวช้า ๆ ชัด ๆ “หากจะแต่งงานกับข้า มู่เฉียนซี บุรุษผู้นั้นต้องมีคุณสมบัติสองประการ”
“ประการแรก ต้องไม่ใช่บุรุษมากชู้หลายภรรยา ยิ่งเป็นบุรุษเข้าออกหอคณิกาเป็นว่าเล่นยิ่งไม่มีทาง บุรุษที่จะตบแต่งกับข้าต้องไม่เคยสัมผัสหญิงใดมาก่อน ยิ่งแต่งกันไปแล้วยิ่งไม่ได้”
บุรุษทั้งหลายที่นั่งอยู่ ได้ยินวาจานาง พลันหน้าหงายไปตามกัน รวมทั้งซวนหยวนจือผู้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่เว้น
มู่เฉียนซีกำลังด่าพวกเขาหรือ ?
สตรีโอหังอย่างมู่เฉียนซี แม้นางจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ทว่าก็ยังคงเสียเปรียบอยู่ดีเพราะนางเป็นสตรี
บุรุษผู้หนึ่งมีภรรยาสามสนมสี่ถือเรื่องปกติ เพราะเช่นนี้สตรีจึงเป็นเพศที่เสียเปรียบ นอกเสียจากว่าสตรีผู้นั้นจะมีอำนาจใหญ่โตและเป็นสตรีผู้แข็งแกร่งจนใครก็มิอาจเทียบเทียม
ซวนหยวนหลี่เทียนชะงักงัน ใบหน้ากรุ่นโกรธ สตรีอย่างมู่เฉียนซีดุด่าต่อว่าตนให้ต้องอับอายขายขี้หน้าเหล่าบรรดาขุนนางและผู้คนมากมายเช่นนี้ ‘นางลำพองตนเกินไปแล้ว!’
“ประการที่สอง บุรุษที่จะแต่งงานกับข้าต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่าข้า! แต่นี่ หลี่อ๋องผู้นี้เป็นบุรุษปวกเปียกอ่อนแอ แม้แต่สตรีอย่างข้ายังมิอาจสู้รบปรบมือได้ ช่างเป็นบุรุษที่น่าสงสารและน่าสมเพช บุรุษเช่นนี้มู่เฉียนซีไม่แต่งงานด้วย!”
มู่เฉียนซีกล่าววาจาด้วยเสียงอันดังก้อง ดวงตาเด็ดเดี่ยวสีดำสนิทดุจท้องฟ้ายามรัตติกาลจ้องมองซวนหยวนจือ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดของนางได้
ความแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีนั้นเหนือกว่าโอวยางเหว่ยผู้เป็นอัจฉริยะอันดับสี่ของแคว้นจื่อเยี่ยไปแล้ว สำหรับนาง นางคิดว่าคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองในตอนนี้มีเพียงองค์รัชทายาทซวนหยวนหลี่ซาง มู่เฟิงอวิ๋นผู้พ่อ ท่านอาเล็กมู่อวู่ซวง และอาจรวมจิ่วเยี่ย เจ้าก้อนน้ำแข็งนั่นด้วย…
พวกเขาเหล่านั้นก็เป็นบุรุษเช่นกัน ไม่มีทางที่จะไม่เคยแตะต้องสตรีมาก่อน ข้อกำหนดนี้ของมู่เฉียนซีดูเหมือนจะมากเกินไป
แต่… อาจจะยกเว้นจิ่วเยี่ย
อย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างรู้สึกว่าในแคว้นจื่อเยี่ยแห่งนี้ไม่มีชายใดที่จะสามารถแต่งงานกับท่านผู้นำตระกูลมู่ผู้นี้ได้ บุรุษทั้งหลายที่นั่งอยู่ต่างแสยะยิ้มขบขัน
ซวนหยวนจือได้ยินนางกล่าววาจาก็จนปัญญา สุดท้ายพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“ซีเอ๋อร์ เจ้าเหมือนมู่เฟิงอวิ๋นพ่อของเจ้าไม่มีผิด”
ในสายตาของมู่เฟิงอวิ๋นมีเพียงฮูหยินคนที่เขาไม่เคยเห็นหน้าผู้นั้นผู้เดียว ไม่ว่าซวนหยวนจือจะส่งสตรีสาวสวยเพื่อเอาใจไปกี่คน ก็ถูกเขาส่งกลับมาทุกคน
เขาทำทุกวิถีทางเพื่อส่งสตรีเหล่านั้นกลับไป ในใจเขามีฮูหยินของเขาเพียงผู้เดียว ไม่เคยเหลียวมองสตรีอื่นใด
มู่เฉียนซีเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“ข้าไม่ยอมแต่งงานกับหลี่อ๋องเด็ดขาด ฝ่าบาท… พระองค์ทรงคืนสินสอดทองหมั้นให้กับข้าเถอะ ประเดี๋ยวงานเลี้ยงก็จะเลิกราแล้ว ข้าจะนำสินสอดทองหมั้นทั้งหมดกลับจวน”
ซวนหยวนจือแข็งทื่อขึ้นเรื่อย ๆ ของมีค่ามากมายมหาศาลเช่นนั้นจะเอาออกมาง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน
“เวลาก็ผ่านไปปีครึ่งแล้ว ฝ่าบาทอาจลืมไปแล้วว่าสินสอดทองหมั้นทั้งหมดที่เป็นของข้ามีอะไรบ้าง เช่นนั้นข้าจะทบทวนให้ท่านฟังเอง”
มู่เฉียนซีควักกระดาษม้วนยาวออกมาอย่างฉับพลัน!
“ทองคำหนักเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชั่ง หยกหนักเก้าร้อยเก้าสิบเก้ากะรัต มรกต…”
สมบัติอันล้ำค่ามากมายมหาศาลเช่นนี้ทำให้คนธรรมดาทั่วไปฟังแล้วรู้สึกตกใจแทบลมจับ บางคนก็อดที่จะดุด่าต่อว่าผู้นำตระกูลมู่ไม่ได้
‘ท่านผู้นำตระกูลมู่ร่ำรวยเกินหน้าเกินตาไปแล้ว…’
‘นางผู้นี้ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายยิ่งกว่าผู้ใดในแคว้น เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น…’
จากนั้นมู่เฉียนซีก็อ่านร่ายรายชื่อทรัพย์สมบัติล้ำค่าแปลก ๆ ออกมา
“นภาเย็นโพลัน นิลุบลบิน หงส์เรียกคืนพลัง”
สมบัติแปลก ๆ ที่นางร่ายยาวมานี้ล้วนแต่เป็นสมบัติที่สูงส่งเสียดฟ้า พวกเขาเคยได้ยินมาว่าของเหล่านี้เป็นสมบัติของสวรรค์ซึ่งหาได้ยากนัก
ดวงตาของทุกคนเปล่งประกายความโลภ พวกเขาล้วนอยากได้ทรัพย์สินอันมีค่าเหล่านี้มาครอง หากมิใช่เป็นสมบัติของฮ่องเต้ พวกเขาต้องลงมือปล้นแน่ ๆ
‘วิเศษดีแท้! ท่านผู้นำตระกูลมู่ร่ำรวยมหาศาลยิ่งนัก’
ซวนหยวนหลี่เทียนรู้แล้วว่าทำไมเสด็จพ่อของตนจึงจำใจมีพระราชโองการให้ตนตบแต่งกับนางทั้ง ๆ ที่เสด็จพ่อไม่ชอบนางแม้แต่น้อย เพราะความมั่งคั่งล้นฟ้าเช่นนี้นี่เอง
หลังจากที่มู่เฉียนซีอ่านรายชื่อสินสอดทองหมั้นของนางครบหมดแล้ว บรรยากาศทั้งตำหนักจื่อจีเงียบงันจนน่ากลัว
ไม่มีใครกล้าปริปากเปล่งเสียงใด ๆ ออกมา ทุกคนนั่งก้มหน้านิ่งบรรยากาศเย็นยะเยือกอึดอัดเป็นอย่างมาก
สิ่งของล้ำค่ามหาศาลเช่นนี้เมื่อใครได้กินเข้าไปแล้วยากที่จะคายออกมาง่าย ๆ แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นจื่อเยี่ยก็คงไม่พ้นอมไว้ เขาไม่ใจกว้างถึงเพียงนั้น
ทุกร่างนั่งนิ่งอึ้งก้นตรึงเก้าอี้ เพื่อไม่ให้ตนเองเดือนร้อนหากผู้สูงศักดิ์เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ทุกคนต่างก็ดูออกแล้วว่าการที่ผู้นำตระกูลมู่มาร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ นางไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มยินดีอะไรเลยที่ได้พบพระพักตร์ฮ่องเต้ อีกทั้งกลับทวงสินสอดทองหมั้นอย่างไร้ความปราณีกลางงานเลี้ยง
แน่นอนฮ่องเต้ย่อมไม่พอพระทัย
ซวนหยวนจือกำหมัดแน่น หรี่ตาสีดำสนิทจ้องมองสตรีชุดสีม่วง “ซีเอ๋อร์ เจ้าต้องการจะเอาสินสอดทองหมั้นกลับคืนไปให้ได้ใช่หรือไม่ ?”
“ใช่! ตอนนี้ตระกูลมู่เกิดประสบกับปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ข้าจำเป็นต้องนำสินสอดทองหมั้นกลับไปแก้ไขสถานการณ์ในจวน ขอฝ่าบาททรงอนุญาต หรือพระองค์ทรงคิดว่าคำขอเดียวของข้ายังไม่เพียงพอ จะให้ข้าร้องขออีกอย่างเลยหรือไม่ ?”
มู่เฉียนซีบีบบังคับ ซวนหยวนจือโกรธจนควันออกหู เรื่องนี้เป็นเรื่องยากที่จะรับได้
ในใจของซวนหยวนจือกระอักเลือดหลายครั้งหลายคราแล้ว ฮ่องเต้แห่งแคว้นจื่อเยี่ยตกที่นั่งลำบาก!
ประกายแสงแห่งความเย็นยะเยือกวาบผ่านดวงตาซวนหยวนจือ หรือว่าเขาจะลงมือปลิดชีพนางวันนี้เสียเลย ?
แม้ว่ามู่อวู่ซวงจะบ้าคลั่งขึ้นมา แต่ใช่ว่าเขาจะไม่มีวิธีรับมือ ถึงอย่างไรมู่อวู่ซวงก็เป็นแค่ราชายอดยุทธ์ระดับเก้า
ส่วนพยานเหล่าบรรดาขุนนางที่เห็นเหตุการณ์ เพียงสั่งให้ปิดปากห้ามปูดเรื่องนี้ออกไปก็ได้แล้ว ใครกล้าปริปากพูดออกไปจะสั่งประหารตัดหัวมันทันที คำสั่งฮ่องเต้มีหรือเหล่าบรรดาไพร่พลจะกล้าขัด!
ไอสังหารแผ่รอบกายซวนหยวนจือ เขาแข็งแกร่งขึ้นมาก
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วยั่วเย้า คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นจื่อเยี่ยจะคิดได้แค่นี้
คิดจะสังหารปลิดชีพผู้นำตระกูลมู่อย่างนางเช่นนั้นหรือ ? กล้าก็ลองดู!
ซวนหยวนจือกำลังจะออกคำสั่งสังหารนาง ทว่าเสียงนุ่มนวลแฝงความเยือกเย็นของใครคนหนึ่งพลันดังออกมา
สิ้นเสียงเยียบเย็นนั้น ไม่มีใครกล้าปริปากพูดแม้แต่คำเดียว
.