ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 772 ต้องตามนางไป
“ใช่ มันเป็นเช่นนั้น เจ้าบีบบังคับข้าก็ไม่มีประโยชน์ ที่ข้าทำได้ก็มีเพียงเท่านี้แหละ” ชายชุดคลุมขาวกล่าว
“สนามรบแห่งที่หนึ่งกับสนามรบแห่งที่เจ็ด จะเลือกที่แห่งใด?” มู่เฉียนซีมองไปทางพวกเขาแล้วถามขึ้น
อวี้จีตอบ “ทำไมถึงเป็นแห่งที่หนึ่งกับแห่งที่เจ็ด เห็นกันอยู่ว่ายังมีแห่งที่สี่อยู่อีกแห่งหนึ่ง ทำไมถึงไม่ไป?”
“สนามรบโบราณแห่งที่สี่ไม่มีอยู่ ถ้าหากไม่เชื่อละก็ เจ้าจงไสหัวออกไปจากที่นี่ในตอนนี้เสีย แล้วไปด้วยตนเอง!”
รอยบวมแดงบนหน้าของตนนั้นยังไม่ทันได้หายไป เด็กสาวผู้นี้กลับกล้ามาทำตัวโอหังต่อหน้าตนเช่นนี้ นั่นทำให้อวี้จีโกรธเกรี้ยวขึ้นมาโดยพลัน
“สาวน้อย เจ้าอย่าได้คิดว่ามีเฟิงอวิ๋นซิวปกป้องเจ้าอยู่แล้วเจ้าจะสามารถไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่เช่นนี้ได้” อวี้จีตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
“ข้ามิได้กำลังถามความคิดเห็นจากเจ้า แต่เป็นความคิดเห็นของพวกเขา เจ้ามิใช่ผู้กำหนดแผนการของตำหนักเป่ยหาน”
“สนามรบแห่งที่หนึ่ง!”
“สนามรบแห่งที่หนึ่ง!”
หลิงและเฟิงอวิ๋นซิวต่างกล่าวออกมาจากคนละปากแต่เป็นเสียงเดียวกัน
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเลือกสนามรบแห่งที่หนึ่ง ก็เพราะว่าสนามรบแห่งที่หนึ่งนั้นเคยเป็นใจกลางของสนามรบโบราณ พื้นที่ขอบเขตของมันนั้นกว้างใหญ่ที่สุด มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์จะอยู่ในที่แห่งนี้
มู่เฉียนซีกล่าว “บังเอิญพอดีว่าสิ่งที่ข้าเลือกนั้นก็เป็นสนามรบแห่งที่หนึ่งเช่นกัน”
จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าสนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งนั้นอยู่ที่ใด
แต่ตอนนี้สามารถขึ้นเกวียนผ่านทางไปสนามรบแห่งที่หนึ่งได้ แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว สามารถประหยัดแรงและเวลาที่จะต้องไปพลิกแผ่นดินทั้งทวีปเหลยโจวค้นหาว่ามันอยู่ที่ใดได้
ถึงแม้ว่าอวี้จีจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่หลิงได้เอ่ยปากไปแล้ว นางเองก็ไม่มีสิทธิ์อำนาจใดจะไปคัดค้าน
มู่เฉียนซีกล่าว “ความเห็นเป็นหนึ่งเดียวกัน เจ้าสามารถส่งพวกเราไปยังสนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งได้หรือไม่?”
ชายชุดขาวรู้สึกหงุดหงิด “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าสาวน้อยผู้นี้เป็นผู้ที่สวรรค์ส่งมาเพื่อปราบข้ากันนะ มีเจ้าอยู่พวกเจ้าจึงไม่สู้กันเองขึ้นมา ช่างโชคร้ายเสียจริงเชียว”
ชายชุดขาวหลบเข้าไปในลูกมิติ มือของมู่เฉียนซีได้ลูบลงไปที่ลูกมิตินั้น
“เจ้าอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว ยังคิดที่จะเบี้ยวหนี้อีก เจ้าละอายหรือไม่?”
หลิงกับเฟิงอวิ๋นซิวเองก็ตะลึงค้าง เห็นได้ชัดเลยว่าเจ้าเศษซากวิญญาณนี่คิดที่จะเบี้ยว!
“หึ! ข้าหลบอยู่ในลูกมิติ ในลูกมิตินี้เป็นมิติอีกแห่งหนึ่งอย่างสิ้นเชิง ด้วยความสามารถเพียงน้อยนิดของเจ้าไม่สามารถที่จะรับมือข้าได้หรอก”
ชายชุดคลุมขาวนั่นคิดที่จะทำตัวเป็นเต่าหดหัวไปในทันที
ถ้าหากว่าพบเจอเข้ากับคู่ต่อสู้ที่มีชีวิตตัวเป็นๆ พวกเขานั้นสามารถที่จะรับมือได้ แต่ทว่าการรับมือกับเศษซากวิญญาณที่มีพลังแห่งมิติ หลิงกับเฟิงอวิ๋นซิวล้วนแต่อับจนสิ้นหนทาง
มือของมู่เฉียนซีจับไปที่บนลูกมิตินั้น แล้วประเดี๋ยวเคาะอย่างแรงอีกประเดี๋ยวก็เคาะเบาๆไปที่ลูกมิตินั้น
นางกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าเฒ่า เจ้านึกจริงๆหรือว่าหลบอยู่ในนั้นแล้วจะปลอดภัย?”
ในตอนนี้สุ่ยจิงอิ๋งบาดเจ็บหนักและไม่สมบูรณ์เป็นอย่างมาก แล้วกำลังอยู่ในภาวะหลับใหล แต่อาถิงได้บอกเอาไว้ว่าสามารถยืมเอาพลังของสุ่ยจิงอิ๋งเพียงเล็กน้อยเพื่อไปสยบเจ้าเฒ่านั่นได้
ดอกบัวหงเก้ากลีบ ราชาแห่งมิติ ผู้บำเพ็ญภูตธาตุมิตินั้นรู้ดีถึงพลังอำนาจที่แท้จริงของมันยิ่งกว่าใคร
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังแห่งมิติที่กว้างใหญ่ไพศาลราวกับทั้งโลกา เศษซากวิญญาณนั่นรู้สึกได้ถึงวิญญาณของตนเองที่กำลังสั่นไหว นี่มัน…..
สาวน้อยนี่มีพลังแห่งมิติเช่นนี้ นางสามารถที่จะบีบลูกมิติให้แตกสลายและทำให้วิญญาณของเขาล่องลอยหายไปได้อย่างง่ายดาย
“อย่า….เจ้าอย่าหุนหันพลันแล่น ข้าเองก็มิได้พูดว่าไม่ตอบตกลง นี่ข้าก็แค่เพียงเตรียมตัวให้พร้อมไว้ก่อนก็แค่นั้นเอง”
ชายชราที่ซ่อนตัวอยู่ในลูกมิตินั้นได้โผล่ออกมาจากในนั้นอีกครั้งหนึ่ง
พวกเขาล้วนแต่รู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง เห็นกันอยู่ว่าเจ้าเฒ่านั่นคิดที่จะเบี้ยวชัดๆ ทำไมในตอนนี้ถึงได้กลับคำพูดเสียแล้ว?
“ไม่ต้องไร้สาระมากความ รีบจัดการให้ข้า!”
“ได้ได้ได้! ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้!”
ไม่นานนักก็หาสถานที่ที่สนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งตั้งอยู่ได้พบ ชายชุดคลุมสีขาวผู้นั้นลอยตัวอยู่กลางอากาศ ประตูบานหนึ่งได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของพวกเขา
เขาค่อยๆเปิดประตูออกแล้วเอ่ยปากขึ้นกล่าว “เข้าไปจากที่ตรงนี้ พวกเจ้าก็จะสามารถไปถึงสนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งได้”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ทางที่ดีที่สุดเจ้าอย่าได้มาเล่นลูกไม้อะไร มิเช่นนั้นแล้วเจ้าก็อย่าได้คิดที่จะอยู่ดี!”
“ข้ากล้าที่ไหนกันเล่า เช่นนั้นก็มิใช่ว่าข้ารนหาที่ตายหรือ? ข้านั้นแลกมาด้วยราคาของการนอนหลับใหลพันปีถึงสามารถเปิดประตูบานนี้ให้เจ้าได้” ชายชุดคลุมยาวสีขาวกล่าวด้วยสีหน้าทนทุกข์
“ข้าจะเข้าไปก่อน!” หลิงเอ่ยขึ้น
แน่นอนว่านี่มิใช่เพราะว่าเขาไม่อยากให้เฟิงอวิ๋นซิวเข้าไปเสี่ยงอันตราย หากแต่เป็นเพราะเขาไม่อยากที่จะให้หลานสาวสุดที่รักของตนเองเข้าไปกับเฟิงอวิ๋นซิวแล้วมีอันตราย
ฟึบ ฟึบ ฟึบ! คนของตำหนักเป่ยหานได้พุ่งตามหลิงเข้าไปในประตูแห่งนั้นในแนวหน้าสุด
อารองได้เข้าไปแล้ว แน่นอนว่านางเองก็ตามเข้าไป เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวขึ้น “เฉียนซี…..”
“อวี้จีนั้นคิดที่จะเป็นปฏิปักษ์กับเจ้ามาโดยตลอด ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ชอบอยู่กับข้า แต่อย่างไรเสียไปด้วยกันจะดีกว่า!”
ภายใต้การยืนกรานของเฟิงอวิ๋นซิว พวกเขาจึงเข้าไปในประตูบานนั้นด้วยกัน หลังจากที่เดินออกไปอีกด้านของประตูแล้ว เขตเมืองที่แปลกประหลาดนั้นก็มิได้ปรากฏแก่สายตาอีกต่อไป ที่เบื้องหน้าพวกเขานั้นเป็นสนามรบโบราณที่รกร้างว่างเปล่าผืนหนึ่ง
หลังจากที่ได้มาถึงที่แห่งนี้ มู่เฉียนซีก็รู้สึกได้ถึงปลายกระบี่มังกรเพลิงที่กำลังสั่นไหวอยู่ในแหวนมังกรเทพวารี
สายตาของนางส่องประกายออกมาวาบหนึ่ง ตัวกระบี่ของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ มันอยู่ในสนามรบโบราณแห่งที่หนึ่งจริงๆ
มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “นายน้อยอวิ๋น พวกเราแยกทางกันตรงนี้!”
“มิได้!” เฟิงอวิ๋นซิวได้ปฏิเสธการตัดสินใจของมู่เฉียนซีในทันที
“ถ้าหากว่าเจ้าพบกับอวี้จีเข้า ชิงอิ่งเพียงผู้เดียวมิอาจที่จะต้านทานได้อยู่ ข้าพาเจ้าเข้ามาที่สนามรบโบราณแห่งนี้ เช่นนั้นก็จะต้องพาเจ้าออกไปอย่างปลอดภัย” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว
“นายน้อยอวิ๋นซิว หน้าที่หลักของเจ้าในตอนนี้คือตามหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ มิใช่มาเสียเวลากับตัวละครเล็กๆเช่นข้า”
นางต้องการที่จะไปหาตัวกระบี่ด้วยตัวคนเดียว ถ้าหากว่าเฟิงอวิ๋นซิวไปด้วยกันละก็ ถึงแม้ว่าพบตัวกระบี่เข้าก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยงการเปิดศึกกันเองขึ้น เช่นนั้นก็จะวุ่นวายแน่
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าที่นี่ ข้าไปกับเจ้าหรือไม่เจ้าก็ไปกับข้า!”
มู่เฉียนซีจนปัญญา “เจ้าคิดว่าข้ามีพลังความสามารถที่อ่อนแอเลยสลัดตัวออกจากเจ้าไม่ได้! เป็นถึงนายน้อยแห่งตำหนักตงจี๋แต่กลับจะมาเป็นหนอนตามก้นก็เชิญ!”
ซวนอีกล่าว “สาวน้อย เจ้านี่ไม่รู้จักอะไรร้ายดี นายน้อยของพวกเรานั้นห่วงใยเจ้า!”
เมื่อเงาร่างสีม่วงเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันแวบหนึ่ง มู่เฉียนซีก็ได้จากไปแล้ว
“ตามไป!” เฟิงอวิ๋นซิวต้องตามความเร็วของมู่เฉียนซีอีกทั้งยังต้องตามหากระบี่ ตลอดทางนั้นกินแรงเขาเป็นอย่างมาก
ซวนอีกล่าว “นายน้อย ช่างเถอะ พวกเราเลิกสนใจสาวน้อยนั่นเถอะ มัวแต่ดูนางเดินทางอย่างมั่วซั่วอยู่ในนี้ จะสามารถหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ได้พบหรือ?”
“ตามไป!” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว
มู่เฉียนซีมิได้ค้นหาอย่างมั่วซั่ว แต่เพราะนางสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของปลายกระบี่มังกรเพลิงที่มากขึ้นทุกที และตอนนี้ก็ได้เข้าใกล้มาอย่างมากแล้ว
สิ้นเปลืองแรงไปมากมายแต่หากหาตัวกระบี่มังกรเพลิงได้พบ นั่นก็นับเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก แต่กลุ่มคนที่คอยตามนางอยู่ด้านหลังทำให้นางปวดหัวขึ้นมา
เมื่อต้องเผชิญกับมหาจักรพรรดิแห่งภูตที่แข็งแกร่งจำนวนสามคน พลังความสามารถอันน้อยนิดของนางเช่นนี้ไม่พอให้เหลียวมองเลยแม้แต่น้อย!
มู่เฉียนซีกล่าว “อาถิง เตรียมตัวให้ดี! เผชิญหน้ากับพวกเขาสามคนต้องพึ่งพาเจ้าเท่านั้นแล้ว”
อาถิงกล่าว “เจ้าวางใจได้! ขอแค่เพียงเจ้าได้ตัวกระบี่มาแล้วพวกเขากล้าแย่งชิง ข้าจะใช้เวลาย้อนกลับทำให้พวกเขากลายเป็นเด็กน้อยก้นแดงไป!”
“ใช้แค่เพียงการหยุดเวลาก็พอแล้ว” มู่เฉียนซีกล่าว
ถ้าหากว่าทำให้พวกเขากลายเป็นเด็กในสนามรบโบราณแห่งนี้ เกรงว่าจะไม่มีชีวิตรอดไปได้!
อาถิงกล่าว “สำหรับคู่แข่งแล้ว เจ้าจะต้องไปเมตตาปรานีด้วยหรือ? เจ้าชอบหน้าของไอ้นั่นเข้าแล้วใช่หรือไม่? นางผู้หญิงบ้า ความคิดของเจ้ามันจะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว! แต่เสียใจด้วย เพราะผู้ที่เขาชอบนั้นไม่ใช่เจ้า”