ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 948 ผู้ถูกทอดทิ้ง
มู่เฉียนซีตะโกนขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ทักษะโยวหลัว!”
ตูม!
ร่างของจักรพรรดิหลางร่วงลงมาราวกับกำแพงที่พังทลายลงมาก็มิปาน ภายนอกดูเหมือนจะไม่เป็นอันใด ทว่า ร่างกายภายในนั้นกลับพังยับเยินไปนานแล้ว!
และการประลองในสนามแรกนี้ นางก็ได้รับชัยชนะไปเช่นนี้!
ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นเหนือความคาดหมายมาก เวลาจบการประลองสนามแรกก็เหนือความคาดหมายมากเช่นกัน
ราชทินนามเฮยได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง นางพึมพำเสียงเบาว่า “ท่าร่างที่ทำให้ผู้อื่นดูไม่ออก และทักษะวิญญาณที่แข็งแกร่งเช่นนี้ นางมีของดีไม่น้อยเลย”
ในที่สุดคนอื่น ๆ ก็ได้เข้าใจแล้ว ด้วยพลังขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามของมู่เฉียนซีที่สามารถฆ่าคู่ต่อสู้ได้จนถึงตอนนี้นั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
พลังความแข็งแกร่งของนาง ช่างวิปริตอย่างแท้จริง!
โฆษกกล่าว “ต่อไป เริ่มการประลองสนามที่สอง!”
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คนที่สองนี้ มู่เฉียนซีได้ชักกระบี่ออกมาแล้ว
มู่เฉียนซีกับกระบี่มังกรเพลิงได้ร่วมมือกัน และคว้าชัยชนะในสนามสองมาได้
ราชทินนามเฮยเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนผงะไปครู่หนึ่ง “กระบี่ของสาวน้อยผู้นี้ก็ไม่ธรรมดาเลย มีของดีอยู่ในมือไม่น้อย คงจะไม่ใช่เป็นพี่ไป๋อีมอบให้นางหรอกกระมัง! ช่างโชคดียิ่งนัก!”
นางไม่พอใจเป็นอย่างมาก และมองไปที่ร่างในชุดสีม่วงนั้นด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์ ทั้งที่เผชิญหน้ากับการประลองสับเปลี่ยนคู่ต่อสู้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ยังสามารถเอาชนะได้
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ดุจดั่งกำแพงเหล็กอันแกร่งกล้านี้ทำให้นางสุกใสเป็นประกายดุจดั่งดวงดารา ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเพียงใด นางก็สามารถรักษาจิตใจให้สงบนิ่งได้ ซึ่งไม่ใช่นิสัยที่หญิงสาวในวัยนี้ควรจะมี
หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไป มู่เฉียนซีมีเม็ดยาวิญญาณเสริม เมื่อลมหายใจอยู่ในระดับคงที่แล้ว นางก็ยืนหยัดสู้ต่อไป
สายตาของราชทินนามเฮยนั้นดีมาก นางเห็นอย่างชัดเจนว่ามู่เฉียนซีได้กินเม็ดยาวิญญาณเข้าไปไม่น้อย
ราชทินนามเฮยกล่าว “ช่างเป็นสาวน้อยที่ล้างผลาญตระกูลจริง ๆ!”
ถึงแม้ว่านางมีตำแหน่งเป็นถึงราชทินนามในเมืองเฮยตู แต่ก็ไม่กล้าใช้ยาวิญญาณไปอย่างมั่วซั่วเช่นนี้!
เช้าตรู่ของวันที่สาม ในขณะที่แสงอรุณสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา กระบี่มังกรเพลิงของมู่เฉียนซีก็ได้แทงทะลุหน้าอกของคู่ต่อสู้พอดี
เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น และกระบี่มังกรเพลิงก็กำลังกลืนกินวิญญาณของเขา
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในอาการตกตะลึงพรึงเพริดนั้น การประลองก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว
พิธีกรได้ประกาศขึ้นว่า “ท่านจักรพรรดิโยวสำเร็จในการประลองกับคู่ต่อสู้หนึ่งร้อยคนในชั้นแรก และได้รับสิทธิ์เข้าไปสู่ชั้นที่สอง”
การประลองกับคู่ต่อสู้หนึ่งร้อยคนก็ได้สิ้นสุดลงไปเช่นนี้ พวกเขาล้วนแต่จำไม่ได้แล้วว่ามีผู้ใดขึ้นไปท้าประลองบ้าง ผู้ที่ท้าประลองกับนางทั้งร้อยคนนั้นล้วนแต่พ่ายแพ้ไปสิ้น แต่นางกลับเอาชนะได้
มู่เฉียนซีเดินลงมาจากลานประลอง จากการที่ต่อสู้ติดต่อกันมาเป็นเวลาสามวันสามคืน ในตอนนี้มู่เฉียนซีผู้ที่ได้รับชัยชนะมามีความรู้สึกว่าสองเท้าสองแขนนี้ไม่ใช่ตัวเองแล้ว
ถึงแม้ว่าจะได้รับชัยชนะมาได้ แต่กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามาถามว่า “ท่านจักรพรรดิโยว ต้องการให้ข้าน้อยพาไปห้องพักผ่อนหรือไม่เจ้าคะ?”
มู่เฉียนซียังไม่ทันตอบ น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกน้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ไม่ต้อง ข้าดูแลนางเอง”
ครั้นแล้วกู้ไป๋อีก็พามู่เฉียนซีไป อยู่ในเมืองเฮยตู เมืองที่แปลกประหลาดร้อยแปดพันเก้านี้ มู่เฉียนซีนั้นเชื่อใจกู้ไป๋อีเป็นอย่างยิ่ง
กู้ไป๋อีมารับนาง และนางก็นอนหลับไปอย่างวางใจ
“ใจร้อน!” กู้ไป๋อีมองดูมู่เฉียนซีที่เหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ ก็เอ่ยคำพูดออกมาสองคำ
คนทั่วไปต้องสังเกตท่าทีของคู่ต่อสู้ก่อนถึงจะขึ้นไปประลอง แต่นางเพิ่งมาก็เริ่มประลองแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือนางต้องการทำลายสถิติของเขา!
มู่เฉียนซีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองนั้นได้หลับไปนานแค่ไหน ทันทีที่ตื่นขึ้นมาก็พบว่านางนั้นได้อยู่ในห้อง ๆ หนึ่งที่วิจิตรงดงามและเย็นยะเยือกมาก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
ในตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
มู่เฉียนซีกล่าว “เข้ามา!”
จากนั้นสาวใช้ผู้หนึ่งก็ได้พาชายหนุ่มหลายคนเข้ามา
สาวใช้ผู้นั้นกล่าว “ท่านจักรพรรดิโยว ชายหนุ่มเจ็ดคนนี้ เป็นของขวัญจากการได้รับชัยชนะของท่าน ประลองกับคู่ต่อสู้นับร้อย ท่านก็คงเหนื่อยมากแล้ว ดังนั้นค่อย ๆ สนุกกับพวกเขานะเจ้าคะ”
มู่เฉียนซีตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ตอนได้รับชัยชนะจากหอคอยแห่งความมืด นอกจากจะได้เลื่อนชั้นแล้วดูเหมือนว่าจะไม่มีรางวัลอื่น
นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าหอคอยโลหิตจะมีรางวัลพิเศษเช่นนี้ด้วย
สายตาของมู่เฉียนซีกวาดมองไปยังชายหนุ่มเหล่านี้ อายุน้อย มีเสน่ห์ สดใส เข้มแข็งและอดทน…
รูปร่างหน้าตาไม่เลว แต่ละคนมีบุคลิกเฉพาะตัวของตัวเอง ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่หอคอยโลหิตคัดสรรมาเป็นอย่างดี
หลังการต่อสู้ที่กดดันนั้น นางไม่ต้องการใช้วิธีเหล่านี้เพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อย
นางได้พบเห็นชายหนุ่มที่หน้าตางดงามอย่างไร้ที่เปรียบมามากแล้ว คนเหล่านี้ไม่เพียงพอที่จะอยู่ในสายตาของนาง
ในขณะที่นางกำลังจะกล่าวปฏิเสธ ทันใดนั้นเองน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ใครอนุญาตให้พวกเจ้าเข้ามาในห้องของข้า”
น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกนั้นของกู้ไป๋อีทำให้พวกเขากระวนกระวายใจขึ้น
สาวใช้กล่าว “ข้าน้อยนำของขวัญมาส่งให้กับท่านจักรพรรดิโยวเจ้าค่ะ ท่านราชทินนามเฮยบอกเอาไว้ว่า อย่างไรเสียก็ไม่อาจให้ท่านราชทินนามหานยอมลดเกียรติของตัวเองได้เจ้าค่ะ”
กู้ไป๋อีตะคอกเสียงดัง “ออกไปให้หมด!”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ!”
พวกเขารีบออกมาราวกับหนีเอาชีวิตรอด มู่เฉียนซีมองกู้ไป๋อีและกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าไล่ของเล่นของข้าออกไปหมดแล้ว หรือว่าเจ้าคิดอยากจะลดเกียรติของตัวเองจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?”
“คุณหนูใหญ่ อย่าก่อเรื่องเลย” กู้ไป๋อีกล่าว
“แต่ข้าต่อสู้ติดต่อกันเป็นร้อยครั้ง และดูเหมือนว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีสิ้นสุดด้วย ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี เสี่ยวไป๋ เจ้าจะไม่ช่วยข้าทำสิ่งใดหน่อยเหรอ?”
“คุณหนูใหญ่ต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?” กู้ไป๋อีกล่าวถาม
“เล่าเรื่องตลกให้ข้าฟังเป็นเช่นไร?” มู่เฉียนซีหรี่ตายิ้มพลางกล่าว
เล่าเรื่องตลก! สีหน้าของกู้ไป๋อีแข็งทื่อไป เขาจะเล่าเรื่องตลกเป็นได้ยังไงกัน
เมื่อเห็นสีหน้าของมู่เฉียนซี จะให้ผู้ที่เย็นยะเยือกดุจดั่งน้ำแข็งหิมะเล่าเรื่องตลก คาดว่าจะยากกว่าการให้เขาฆ่าตัวตาย
มู่เฉียนซีจึงยิ้มแล้วกล่าวต่อ “เช่นนั้น เจ้าก็เล่าเรื่องที่เจ้าเข้ามาในหอคอยทมิฬกับหอคอยโลหิตให้ข้าฟังก็ได้!”
เมื่อเทียบกับข้อแรกแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องเลือกข้อนี้
ทว่า นี่เป็นเส้นทางการสังหารอย่างไร้ความปรานีเส้นทางหนึ่ง มันจะช่วยบรรเทาอารมณ์ของนางให้ดีขึ้นได้จริงเหรอ กู้ไป๋อีแสดงท่าทางสงสัยออกมา
ตลอดทางมีแต่การเข่นฆ่าสังหาร จากนั้นน้ำเสียงใหญ่ที่กู้ไป๋อีใช้เล่านั้น ก็ทำให้มู่เฉียนซีรู้สึกง่วงงุนขึ้นมา
รู้เพียงสิ่งเดียวก็คือเจ้านี่วิปริตมากจริง ๆ
มู่เฉียนซีหาวครั้งแล้วครั้งเล่า นางรู้สึกว่าการที่ฟังเสี่ยวไป๋เล่าเรื่องนั้นช่างเป็นยานอนหลับชั้นดีเลย มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ ผู้ที่มาเมืองเฮยตูมีอยู่สามประเภท ประเภทแรกคือผู้ที่ถูกทอดทิ้ง ประเภทที่สองคือผู้ที่หนีเอาชีวิตรอด ประเภทสุดท้ายคือผู้ที่ไม่เกรงกลัวต่อความตาย ข้าสงสัยมาโดยตลอดว่าเจ้าอยู่ในประเภทแรก หรือประเภทที่สามเหมือนกันกับข้า”
กู้ไป๋อีกล่าว “คุณหนูใหญ่อยากรู้จริง ๆ เหรอ?”
“ข้าก็มีความอยากรู้เหมือนกันนะ” มู่เฉียนซีกล่าว
“ประเภทแรก!”
เดิมทีมู่เฉียนซีที่นอนอยู่บนเตียงด้วยอาการง่วงงุน แต่ตอนนี้กลับลุกนั่งขึ้นแล้ว นางกล่าว “ใครกันที่ตาถั่วทอดทิ้งคนวิปริตเช่นเจ้า?”
ด้วยพรสวรรค์ของกู้ไป๋อี ไม่ควรจะถูกกระทำเช่นนี้ถึงจะถูก!
กู้ไป๋อีกล่าว “เพราะข้าไม่สามารถฝึกฝนพลังวิญญาณได้”
“มีเหตุผลเช่นนี้ด้วย การฝึกยุทธ์ก็กลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้ไม่ใช่เหรอ?” มู่เฉียนซีรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
กู้ไป๋อีไม่ได้ตอบคำถามนี้ และเขาก็กล่าว “คุณหนูใหญ่เหนื่อยแล้ว พักผ่อนต่อสักหน่อยเถอะ!”
“ก็ได้!”
ในเมื่อเสี่ยวไป๋ไม่อยากพูด นางก็ไม่อยากซักถามต่อ
การต่อสู้แบบสับเปลี่ยนคู่ต่อสู้จะต้องเสียพลังวิญญาณ พลังกายและพลังจิตมาก ก่อนเริ่มการประลองในชั้นที่สอง มู่เฉียนซีจำเป็นจะต้องทำให้ตนเองฟื้นฟูกลับมาในจุดที่ดีที่สุด และแน่นอนว่าเม็ดยาวิญญาณก็ต้องหลอมเพิ่ม
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จมู่เฉียนซีก็มุ่งหน้าไปที่ลานประลองชั้นสอง
“อะไรนะ เจ้าต้องการขึ้นลานประลองเพื่อรับคำท้าประลองอย่างนั้นเหรอ” เมื่อได้ยินคำขอของมู่เฉียนซี พิธีกรก็ตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น จากนั้นเสียงอันน่ารักเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นว่า “พี่สาวช่างกล้าหาญยิ่งนัก! เพิ่งจะจบการประลองด่านแรกไปได้ไม่นาน ก็มาร่วมการประลองด่านที่สองแล้ว”
.
.