ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 965 เจอบุรุษงามแล้วลืมคุณ
ยังจะมาสร้างวังวนเช่นนี้ไว้ในที่แห่งนี้อีก ดูทีแล้วผู้เป็นเจ้าแห่งอุโมงค์ฝังศพมังกรนั้นไม่อยากที่จะให้ผู้อื่นเข้าไปยังส่วนใจกลางน่ะสิ!
“เจ้ายังมีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้อีก เจ้าไม่กลัวที่จะออกไปไม่ได้หรือ?” อาถิงถามขึ้น
“ทำไมข้าต้องกลัวด้วยเล่า? อาถิง เจ้าเป็นถึงศาลานิรันดร์เชียวนะ! เปิดกระจกแห่งกาลเวลาเล็ก ๆ ขึ้นมาแดนหนึ่งก็คงจะไม่มีปัญหาแล้วกระมัง!”
“ในที่สุดเจ้าก็กล่าวในสิ่งที่ข้าชอบฟังเสียที เมื่อดูเหตุการณ์นี้ตั้งแต่ต้นจนจบแล้วข้าจะส่งเจ้าออกไป”
“ได้!”
พวกเขาเหมือนกับผู้เข้าร่วมชมอยู่ด้านข้างก็มิปาน คอยเฝ้ามองดูศึกการต่อสู้ใหญ่นี้
และในที่สุดมังกรดำก็มิอาจที่จะต่อสู้กับเผ่ามังกรเหล่านั้นได้ ร่างของมันได้ร่วงลงมาจากกลางอากาศและกระแทกลงบนพื้นดิน
เมื่อร่างกายอันมหึมาของมันได้กระแทกลงไปก็เกิดการสั่นสะเทือนปานปฐพีจะแยกและผืนฟ้าจะถล่ม การกระแทกนั้นได้ก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมาในทันที
“มันบาดเจ็บสาหัสแล้ว รีบไปจับมันเอาไว้เร็ว”
มังกรดำบาดเจ็บสาหัส เผ่ามังกรเหล่านั้นได้พุ่งลงไปในหลุม
แต่ในที่ที่มังกรดำตกลงไปนั้นกลับพลันปรากฏควันสีดำขึ้นมา
เผ่ามังกรอื่น ๆ ต่างร้องเสียงแหลมขึ้นมา “วิชาลับ บ้าจริง! มันสามารถใช้วิชาลับเช่นนี้ได้!”
ควันสีดำได้แผ่กระจายออกมา มู่เฉียนซีและกู้ไป๋อีเห็นพลังความสามารถและความรวดเร็วของเผ่ามังกรที่แข็งแกร่งเหล่านี้ถดถอยลง โดยประมาณแล้วได้ลดลงมาถึงขั้นพอ ๆ กับมนุษย์ที่เป็นชั้นจักรพรรดิแห่งภูตขั้นที่เก้าเต็มขั้น
ควันสีดำได้แผ่กระจายไปแล้วและได้เริ่มสร้างกำแพงขวางกั้นขึ้นมาที่รอบ ๆ ด้าน
เผ่ามังกรเหล่านั้นร้องกล่าวออกมาด้วยความตกตะลึง “รีบถอยเร็ว เร็วเข้า…”
“ที่แห่งนี้จะปิดผนึก พวกเราจะต้องออกไป”
เผ่ามังกรได้จากไปด้วยการพลังข่มขู่ของวิชาลับนี้ มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีมองไปทางหลุมที่มืดและลึกนั้น มังกรดำยังมิตาย
เกรงว่าตอนนี้มันคงกำลังวางกับดักอันถึงแก่ความตายเหล่านั้นที่พวกเขาได้พบเจออยู่กระมัง!
เมืองเฮยตูได้กลายเป็นมิติที่แยกโดดเดี่ยวออกมามิติหนึ่ง มีเผ่ามังกรเข้ามาที่นี่แต่ก็ล้วนต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่กันเสียสิ้น
มีมนุษย์บางคนที่ค้นพบสถานที่แห่งนี้แล้วและได้ทำการท้าสู้แต่ก็ต้องพ่ายแพ้จากไป ผู้ที่ค้นพบสถานที่แห่งนี้ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ เมืองเฮยตูจึงได้ถือกำเนิดขึ้นเพราะเหตุเช่นนี้
ที่เมืองเฮยตูมีบุรุษชุดคลุมสีดำผู้หนึ่งปราฏขึ้น ใบหน้าของบุรุษชุดคลุมดำผู้นี้มีรูปภาพที่เหมือนกันกับของหลงฉือ
แต่ทว่ามู่เฉียนซีรู้ดีว่าเขานั้นมิใช่หลงฉือ
เมื่ออุโมงค์ฝังศพมังกรได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งเขาก็ได้บุกเข้าไป และในที่สุดเขาก็กลับออกมาพร้อมกับความล้มเหลว
การจำกัดพลังเอาไว้ทำให้ไม่มีผู้ใดเข้าไปด้านในได้สำเร็จ เขาได้เอาวิญญาณของตนเองแลกกับการทำลายผนึกของมังกรดำ
“ถ้าหากว่าผู้ที่เข้าไปในเมืองเฮยตูมีชีวิตรอดออกไปแล้วกลับมาอีกครั้ง เขาผู้นั้นก็จะไม่ถูกเมืองเฮยตูจำกัดพลังความสามารถเอาไว้ แต่ทว่าเขาก็จะต้องเข้าไปในอุโมงค์ฝังศพมังกรและหากุญแจเผ่าเทพมังกรให้พบโดยห้ามฝ่าฝืน”
ภาพสีดำบนใบหน้าของเขาดูราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นทั้งมิติของเมืองเฮยตูก็ได้แฝงไปด้วยคำสาปเช่นนี้
และคนผู้นั้นก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
รูปภาพเช่นนั้นให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยเป็นอย่างมากแก่มู่เฉียนซี เหมือนดั่งตอนที่คำสาปของจิ่วเยี่ยได้ระเบิดออกมา
เมื่อเห็นภาพที่อยู่บนใบหน้าของหลงฉือนั้นนางก็มิได้สงสัยอันใด เพราะว่าหลงฉือนั้นปกติยิ่งนัก มันดูไม่เหมือนคำสาปเลยแม้แต่น้อย
และตอนนี้บุรุษผู้นั้นได้ใช้วิชาลับเช่นนี้ออกมา ทำให้นางอดนำมันไปคิดเกี่ยวพันกับคำสาปนั้นของจิ่วเยี่ยมิได้
เมื่อกาลเวลาได้ผ่านไปก็ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนมากน้อยเท่าใดที่ได้มาจบสิ้นชีวิตลงที่อุโมงค์ฝังศพมังกรนี้
ถึงแม้ว่าพลังความสามารถของการกลับมาในครั้งที่สองจะไม่ถูกจำกัดเอาไว้ แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดออกมาจากอุโมงค์ฝังศพมังกรได้
กับดักแห่งแล้วแห่งเล่าโดยเฉพาะในมิติแห่งกาลเวลาเช่นนี้ ถึงต่อให้พลังความสามารถไม่ได้ถูกจำกัดเอาไว้ ก็ยังไม่สามารถที่จะมีชีวิตรอดออกไปได้ ทุกคนนั้นล้วนแต่ดูเบามังกรดำไปนัก
หลังจากที่ได้ดูฉากฉากนั้นจนจบ สีหน้าของกู้ไป๋อีก็ไม่ค่อยจะดีนัก
เขาจับมู่เฉียนซีเอาไว้แล้วกล่าว “คุณหนูใหญ่ เกรงว่าพวกเราคงจะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลเสียแล้ว ท่าน…ท่านไม่ควรที่จะมากับข้าเลย”
บุรุษชุดดำผู้นั้นนึกว่าตนได้ทำลายทุกสิ่งอย่างที่มังกรดำวางเอาไว้ไปแล้ว แต่เขากลับดูเบามังกรดำไปนัก เกรงว่ามังกรดำคงไม่หวังจะให้ผู้ใดได้สิ่งที่เรียกว่ากุญแจเทพเผ่ามังกรนั่นไป
มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “เสี่ยวไป๋ เจ้าผิดแล้ว โชคดีต่างหากเล่าที่ข้ามา”
ถ้าหากว่านางมิได้มาด้วย เกรงว่าเขาคงจะกลับไปไม่ได้จริง ๆ เสียแล้ว
“เสี่ยวไป๋ พวกเราออกไปกันเถอะ! ไปดูกันว่ากุญแจเทพเผ่ามังกรนั่นมันคืออะไรกันแน่!”
กู้ไป๋อีตะลึงงัน “ออกไป? ออกไปไม่ได้หรอก! ที่แห่งนี้เป็นที่ปิดผนึกแห่งกาลเวลา นอกเสียจากจะมีผู้บำเพ็ญภูตธาตุมิติขั้นสูงจึงจะสามารถออกไปได้!”
แววตาของเขาหม่นหมองลง “แต่ว่าไม่มีผู้บำเพ็ญภูตธาตุมิติปรากฏขึ้นมาเสียแม้แต่ผู้เดียวเป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้ว”
มู่เฉียนซีจับตัวกู้ไป๋อีเอาไว้แล้วกล่าว “ข้าบอกว่าสามารถออกไปได้ก็สามารถออกไปได้สิ ข้าเคยล้อเล่นกับเจ้าเสียเมื่อไร”
นางกล่าวกับอาถิง “อาถิง พวกเราไปกันเถอะ!”
ลำแสงสีเขียวอ่อนได้ถูกปล่อยออกมา มู่เฉียนซีรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นกำลังจะถูกส่งออกไปแล้ว แต่ทว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง….
กู้ไป๋อีกลับมิได้จะออกไปพร้อมกับนาง
นางคว้าตัวกู้ไป๋อีเอาไว้แล้วกล่าว “อาถิง ช้าก่อน…”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
อาถิงกล่าว “บนตัวของเจ้าหมอนี่มีคำสาปอยู่ กระจกแห่งกาลเวลาบีบบังคับให้เขาไม่สามารถที่จะไปได้ ก็เลย….”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่กู้ไป๋อีก็สามารถเดาออกได้อยู่บ้าง
“คุณหนูใหญ่ ถ้าหากว่าข้าไม่สามารถไปด้วยได้ เช่นนั้นก็จงจากไปคนเดียวเถิด!”
“ไม่ได้!”
มู่เฉียนซีสนทนากับอาถิง “อาถิง เจ้าเป็นถึงศาลานิรันดร์ เรื่องแค่นี้จะไม่มีหนทางเลยหรือไง?”
อาถิงกล่าว “มี แน่นอนว่ามีหนทาง! ฝืนทำลายกระจกแห่งกาลเวลานี้ทิ้งเสียก็ได้แล้ว แต่หากทำลายกระจกแห่งกาลเวลาด้วยพลังความสามารถของข้าในตอนนี้ละก็ ข้าเกรงว่าข้าคงจะได้เข้าสู่ภาวะหลับใหลเสีย”
“หึ! นางผู้หญิงบ้านี่เจอผู้ชายแล้วก็ทำตัวทรยศ เพียงเพื่อผู้ชายเพียงคนเดียวก็ยอมที่จะให้ข้าหลับใหลต่อไปอีกเสียแล้ว”
มู่เฉียนซีแสยะมุมปากเล็กน้อย “อาถิง ข้าไม่อยากให้เขาตาย”
“ไม่ให้เขาตาย มันต้องตาเจ้าเข้าแล้วใช่หรือไม่? ถึงแม้ว่าเจ้าหมอนี่จะดูแล้วสบายตากว่าจิ่วเยี่ยหน่อยก็เถอะ แต่สายตาของเจ้าก็จะแย่ไปหน่อยกระมัง”
“เป็นเพราะข้า เขาถึงได้เข้ามายังเมืองเฮยตูเป็นครั้งที่สอง และจึงได้ถูกคำสาปควบคุมเอาไว้ ข้าไม่สามารถที่จะทอดทิ้งเขาได้”
“สำหรับข้าแล้วไป๋อีนั้นเป็นทั้งอาจารย์และสหาย อีกทั้งเขายังเป็นคนของตำหนักเป่ยหาน หากภายหลังต้องช่วยเหลืออารองก็ไม่แน่ว่าเราต้องการความช่วยเหลือจากเขาด้วย”
“เช่นนั้นแล้ว! ในหัวของเจ้าจะเลิกคิดเรื่องราวมั่วซั่วไร้สาระได้หรือไม่!”
มู่เฉียนซีรู้สึกหมดคำพูดกับความคิดของอาถิงจริง ๆ
“เจ้าคิดว่าเช่นนี้แล้วจะโน้มน้าวข้าได้เหรอ? ข้าจะไม่ถูกเจ้าโน้มน้าวหรอก”
“ถ้าหากว่าเจ้าไม่ทำ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ไปแล้ว!”
“เจ้าทำข้าโกรธยิ่งนัก ข้าโกรธยิ่งนัก เจ้ามันเป็นสตรีที่เมื่อเห็นบุรุษงามก็ไม่สามารถขยับมือเท้าได้”
ใบหน้าของมู่เฉียนซีมืดครึ้มลง “นี่มันเรื่องอะไรกับอะไรกันแน่?”
กู้ไป๋อีกล่าวขึ้น “คุณหนูใหญ่ ถ้าหากว่าไม่มีหนทางก็จงไปเสียเถิด! คำสาปบนตัวข้า ถ้าหากว่าไม่สามารถออกไปได้ ข้าไม่อยากที่จะทำให้ท่านลำบากไปด้วย”
มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋จงเชื่อข้า พวกเราสามารถออกไปด้วยกันได้”
อาถิงก็รู้ว่าหากทันทีที่ผู้ทำพันธสัญญาบัดซบผู้นี้ตัดสินใจอะไรลงไปแล้วก็ไม่สามารถที่จะโน้มน้าวนางให้กลับใจมาได้ ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้นาง
เขาไม่สามารถปล่อยให้นางติดอยู่ในที่แห่งนี้ เพราะพี่สาวของเขาคงได้ตีเขาตาย
ลำแสงสีเขียวอ่อนลำแสงหนึ่งได้ระเบิดออกมา เด็กหนุ่มผู้ที่ดูใสสะอาดเหมือนดั่งดวงวิญญาณเดินออกมาจากในนั้น
การปรากฏตัวขึ้นของเด็กหนุ่มผู้นี้กลับมิได้ทำให้บนใบหน้าของกู้ไป๋อีเกิดความเปลี่ยนแปลงมากเท่าใดนัก แต่อาถิงยังถลึงตามองเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวไปคราหนึ่ง จากนั้นก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หน้าตาก็ไม่เท่าไรนี่!”
.
.