ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] - บทที่ 117 ไม่อาจโน้มน้าวใครได้
“คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เดินหน้าโครงการสวนสนุกนี้ต่อไปไม่ต้องสนใจความคิดของใครทั้งนั้น”
อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจความคิดเห็นของอีกฝ่าย สิ่งใดที่ทำแล้วลูกสาวของเขามีความสุขเขาจะทำมันทุกอย่างโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น แม้กระทั่งให้เขาฆ่าทุกชีวิตบนโลกนี้ยกเว้นภรรยาของเขา เขาก็จะทำมันโดยไม่กะพริบตาหากลูกสาวของเขาต้องการ
ความสุขของลูกสาวเขาอยู่เหนือสิ่งอื่นใด!
หลังจากเฝ้าดูอยู่พักหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานก็เดินกลับไปที่ออฟฟิศของตัวเองเพื่อจัดการเอกสารต่าง ๆ ที่เขาจำเป็นต้องเซ็นอนุมัติ
จากนั้นเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วถึงช่วงบ่าย
ตามปกติแล้วอวี้ฮ่าวหรานจะเรียกประชุมบอร์ดบริหารทุกบ่ายวันเสาร์ ซึ่งวันนี้ก็เป็นเช่นเดิมเหมือนกับทุก ๆ เสาร์ที่ผ่านมา
หลังจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของบริษัทเสร็จสมบูรณ์ บอร์ดบริหารทั้งหลายก็มีความกระตือรือร้นขึ้นมากในการทำงานดังนั้นภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที บอร์ดบริหารและผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ ก็มานั่งกันอยู่ในห้องประชุมครบทุกคน
“ปัจจุบันนี้ ประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทเราเพิ่มขึ้นในทุกด้านโดยเฉพาะในเรื่องของกำลังการผลิต ซึ่งหลังจากการวิเคราะห์แล้วกำลังการผลิตของเราเพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนเกือบ 1 เท่าตัว…”
“เพิ่มขึ้นยังไง? ทำไมฉันไม่เห็นจะรู้สึก? กลับกัน ผลกำไรของบริษัทตอนนี้หากเทียบกับรายจ่ายแล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนเลยด้วยซ้ำ!”
ในห้องประชุม เจิ้งเหวยกัวลุกขึ้นยืนพร้อมกับตบโต๊ะเพื่อขัดจังหวะอวี้ฮ่าวหราน
“ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้สถานการณ์ที่กำไรไม่ได้เพิ่มขึ้น นายที่เป็นประธานกลับเสียเงินจำนวนมากเอาไปสร้างสวนสนุกของบริษัท นายรู้รึเปล่าว่าเรื่องนี้มันทำให้บริษัทของเราสูญเสียทั้งกำลังคนและทรัพยากรไปโดยเปล่าประโยชน์มากขนาดไหน!?”
ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งได้ใจมากขึ้นเท่านั้น ราวกับว่าเขาโจมตีฝั่งตรงข้ามได้ตรงตามเป้าหมายที่วางเอาไว้
“ขืนนายยังดำเนินโครงการสวนสนุกไร้สาระนั่นต่อไป ฉันทำนายได้เลยว่าอนาคตรายได้ของบริษัทจะต้องติดลบแน่นอน! คนอย่างนายมันไม่รู้วิธีจัดการบริษัทเลยสักนิด!”
ในขณะที่เจิ้งเหวยกัวพูดอย่างเมามัน แต่อวี้ฮ่าวหรานกลับมองไปที่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน
“พูดจบแล้วนะ?”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งลง อวี้ฮ่าวหรานจึงเอ่ยถามขึ้นห้วน ๆ แต่แทนที่จะรอให้เจิ้งเหวยกัวตอบ เขากลับพูดถึงแผนการต่อไปของเขาให้กับคนในห้องทั้งหมดได้ยิน
“เมื่อวานผมได้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนแผนเกี่ยวกับโครงการสวนสนุกในร่มของบริษัทใหม่ ผมตัดสินใจว่าจะเพิ่มงบประมาณสำหรับสวนสนุกให้มากขึ้นไปอีกเพื่อพัฒนาให้มันดีมากกว่าเดิม!”
“นี่นายบ้าไปแล้วเหรอไง! นายคิดบ้าอะไรอยู่ถึงคิดจะเพิ่มเงินเข้าไปในโครงการที่ไร้ประโยชน์แบบนั้นอีก? นายมีความคิดรับผิดชอบต่อบริษัทบ้างไหม?”
ทันทีที่ได้ยินว่าฝั่งตรงข้ามต้องการเพิ่มงบเข้าไปในโครงการสวนสนุกอีก เจิ้งเหวยกัวก็ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าแดงก่ำทันที
“ฉันไม่เห็นด้วยกับแผนนี้! และฉันเชื่อว่ากรรมการของบริษัทส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับแผนนี้เช่นกัน!”
ในความเห็นของเขา เรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระที่สุดตั้งแต่เขาเข้ามาอยู่ในบริษัทนี้!
“ต่อให้นายจะเป็นประธานของบริษัท แต่นายก็ไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้ทุกอย่าง! ฉันขอเรียกร้องให้ลงคะแนนด้วยการยกมือ!”
สีหน้าในตอนนี้ของอวี้ฮ่าวหรานยังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม เขาจ้องมองไปที่อีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เอ่ยตอบกลับไป
“ก็ได้! ถ้างั้นก็ลองลงคะแนนกันดู”
ถึงแม้ว่าเขาจะพูดเหมือนว่าเห็นด้วยกับข้อเสนอของอีกฝ่าย แต่ในใจของเขาแล้วไม่ว่าคะแนนมันจะออกมาแบบไหน เขาก็ยังจะพัฒนาโครงการสวนสนุกในร่มต่อไปอยู่ดี ไม่มีอะไรจะมาห้ามเขาได้ทั้งนั้น!
เมื่อเจิ้งเหวยกัวได้ยินว่าอวี้ฮ่าวหรานเห็นด้วย สีหน้าของเขาก็ยิ่งหยิ่งผยองมากขึ้น
“พวกคุณทุกคนได้ยินแล้วใช่ไหม ในเมื่อประธานบริษัทเห็นด้วยว่าให้พวกเราโหวตลงคะแนน ดังนั้นตอนนี้มันถึงโอกาสที่ทุกคนจะได้ร่วมมือกันหยุดยั้งแผนบ้า ๆ นี้แล้ว! ตอนนี้ใครไม่เห็นด้วย ยกมือขึ้น!”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจิ้งเหวยกัวพูดจบ กลับมีไม่ถึง 10% ของคนในห้องทั้งหมดที่ยกมือขึ้น
คนส่วนใหญ่นั่งนิ่งเงียบ มองเจิ้งเหวยกัวราวกับว่าพวกเขากำลังมองคนพิการทางจิต
“ทำไมกัน! พวกคุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอไง? พวกคุณไม่เห็นเหรอว่าโครงการนี้มันกำลังทำลายผลประโยชน์ของบริษัท!”
เจิ้งเหวยกัวมองดูผู้คนที่ไม่ได้ยกมือขึ้นด้วยความงุนงง ซึ่งมีบางคนที่เคยสนิทกับเขาก็ไม่ยกมือขึ้นเช่นกัน
ทำไมพวกแกถึงไม่ยกมือขึ้น?
เขาโกรธจนแทบควันออกหู
“ตาเฒ่าเจิ้ง ทำไมอารมณ์ของคุณถึงอ่อนไหวง่ายขนาดนี้? หรือว่าคุณแก่เกินไปจนแยกแยะเรื่องดี ๆ ไม่ได้?”
“ใช่แล้ว หากมองเรื่องนี้ในระยะยาว ผมว่ามันมีประโยชน์ต่อบริษัทเป็นอย่างมากทีเดียว”
“โครงการนี้ทำให้บรรยากาศในที่ทำงานพัฒนาไปในทางที่ดีได้อย่างตาเห็น โดยเฉพาะหลานชายของฉันชอบมันมาก ๆ เลยล่ะ”
บางคนที่อยู่ข้างเดียวกับเจิ้งเหวยกัว ตอนนี้กลับหันมาสนับสนุนอวี้ฮ่าวหรานซะงั้น
เห็นได้ชัดว่าอวี้ฮ่าวหรานชนะในเกมนี้!
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเย้ยหยัน ตอนนี้ เจิ้งเหวยกัวกลายเป็นตัวตลกสำหรับทุกคนไปแล้วอย่างสมบูรณ์
ในเรื่องของการเอาชนะหัวใจผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา มนุษย์ธรรมดาที่มีอายุยังไม่ถึง 80 จะมาสู้อวี้ฮ่าวหรานที่มีชีวิตหลักหมื่นปีได้ยังไง?
บรรดาผู้บริหารเหล่านี้ต่างก็มีอายุเยอะกันทุกคน ดังนั้นพวกเขาคนไหนบ้างที่ไม่มีหลานสาวหรือหลานชาย? แม้แต่ผู้จัดการเกือบทุกคนก็ยังมีลูก!
ในระหว่างเวลางานหรือหลังเลิกงาน ใครไม่อยากเห็นหน้าบุตรหลานสุดที่รักของตัวเอง?
และยิ่งไปกว่านั้นสภาพแวดล้อมที่นี่ก็ปลอดภัยเป็นอย่างมากซึ่งมันทำให้พวกเขาทำงานได้อย่างสบายใจไม่ต้องกลัวว่าในระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่บ้านมันจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับลูกหลานของพวกเขารึเปล่า
ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่แปลกเลยที่แทบทุกคนกลายมาเป็นสนับสนุนอวี้ฮ่าวหราน!
มีแต่เจิ้งเหวยกัวที่ถูกความโกรธบังตาจนมองไม่ทะลุในเรื่องนี้
“เอาล่ะในเมื่อผลคะแนนออกมาแบบนี้ คุณเจิ้งก็รีบนั่งลงได้แล้วอย่าทำให้ผมเสียเวลาที่มีค่ามากไปกว่านี้อีกเลย!”
“นี่แก!”
เจิ้งเหวยกัวโกรธจนหัวแทบระเบิด แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องนั่งลง
“เอาล่ะ ต่อไปผมจะประกาศอีกเรื่องหนึ่ง…”
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็ประกาศเรื่องที่บริษัทเจิ้งไห่ยื่นสัญญาซื้อสินค้าฉบับใหม่มาให้ ซึ่งมันทำให้แทบทุกคนในห้องประชุมยกเว้นเจิ้งเหวยกัวหัวเราะออกมาด้วยความเบิกบานทันที
พวกเขาไม่นึกเลยว่าประธานหนุ่มคนนี้จะสามารถผูกมัดบริษัทเจิ้งไห่อันโด่งดังให้มาเป็นคู่ค้าประจำกับบริษัทได้แบบนี้!
นี่คือลูกค้ารายใหญ่ที่ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหนต่างก็อยากทำการค้าด้วย!
“ฮ่าฮ่า ประธานอวี้ช่างมากความสามารถจริง ๆ เห็นแบบนี้ฉันเองก็ไม่กังวลแล้วว่าอนาคตบริษัทของเราจะเป็นยังไง!”
“เฮ้อ ฉันแก่ปูนนี้แล้วแต่ฉันยังมีผลงานไม่ถึงครึ่งของประธานอวี้เลย! ฉันขอยอมรับความสามารถของท่านประธานจริง ๆ”
“คนบางคนนี่มันโง่จริง ๆ แถมยังดึงดันที่จะโง่อยู่เหมือนเดิมอีกต่างหาก ใครจะบ้าต่อต้านประธานที่ดีเช่นนี้!”
“…”
บรรดาผู้บริหารส่วนใหญ่พูดคุยกันเองเสียงดังซึ่งแน่นอนว่าทุกคนต่างก็ชื่นชมอวี้ฮ่าวหราน
“แก! พวกแกมันเห็นแก่เงินกันทั้งนั้น!”
เมื่อเจิ้งเหวยกัวเห็นว่าผู้บริหารสองคนที่เคยอยู่กับเขาเริ่มสรรเสริญอวี้ฮ่าวหราน เขาก็ลุกขึ้นยืนและตะโกนด้วยความโกรธทันที
อย่างไรก็ตาม คำพูดของเขามีแต่จะทำให้ผู้คนหัวเราะกันด้วยความขบขันมากขึ้น
การที่พวกเขามานั่งกันอยู่ตรงนี้เป็นเพราะพวกเขาต้องการมาทำเงินกันทั้งนั้น ดังนั้นมันแปลกตรงไหนที่พวกเขาจะเป็นคนหน้าเงิน?
เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามารถโน้มน้าวใครได้อีกแล้ว เจิ้งเหวยกัวจึงกระทืบเท้าออกจากห้องประชุมไปด้วยความโกรธ
ส่วนทางด้านของผู้คนในห้อง พวกเขาต่างก็ไม่มีใครสนใจอาการโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงของเขาเลย บุคคลผู้นี้สูญเสียความไว้วางใจจากทุกคนไปหมดแล้ว เพราะการกระทำที่พยายามสร้างความแตกแยกในบริษัทอยู่หลายรอบ!!