ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] - บทที่ 130 กำไรทะลุ 100 ล้าน
ในตอนนี้พนักงานทุกคนในบริษัทรู้กันหมดแล้วว่าเขากำลังพยายามสร้างสวนสนุกในร่มให้ดีที่สุดเพื่อให้ทุกคนในบริษัทได้ใช้มัน ดังนั้นบรรดาพนักงานทั้งหลายที่กังวลเรื่องความปลอดภัยของลูกๆ ตัวเองเวลาอยู่ที่บ้านตามลำพังจึงเลือกที่จะพาลูกๆ ของพวกเขามาที่นี่เพื่อมาเล่นสนุก จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องลูกเหมือนแต่ก่อน
นี่มันตรงกับคำพูดที่ว่ายิงนัดเดียวแต่ได้นกหลายตัว
“ไม่ว่าผมจะเห็นภาพนี้สักกี่ทีผมก็อดไม่ได้ที่จะนึกชื่นชมท่านประธานอยู่ตลอดเวลา ท่านประธานช่างเป็นคนที่มองการณ์ไกลเหนือกว่าคนทั่วไปจริงๆ! เฮ้อ…ไม่เหมือนกับผมที่วันๆ เอาแต่มองแค่บัญชีรายรับรายจ่ายของบริษัทและมักตั้งคำถามกับการตัดสินใจของประธานอยู่เสมอๆ”
ผู้จัดการหวังเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าชื่นชมก่อนที่จะถอนหายใจกับความสามารถของตัวเอง
ในตอนแรกเขาคิดว่าการก่อสร้างสวนสนุกของบริษัทมันมีแต่จะทำให้บริษัทต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่พอมาเห็นผลลัพธ์ในตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าผลประโยชน์หลังจากสร้างมันนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้!
“เหตุผลที่บริษัทของเราสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากเหล่าพนักงานได้อย่างรวดเร็วและทำให้ทุกคนมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการทำงาน เป็นเพราะพวกพนักงานสามารถพาลูกๆ มาที่บริษัท ซึ่งทำให้พวกเขาหมดเรื่องกังวลที่สำคัญนี้ในใจ”
ยิ่งพูดผู้จัดการหวังก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมเจ้านายของเขา ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนวิธีนี้มันก็มหัศจรรย์เกินกว่าที่ใครจะคิดออก
“เอาล่ะ พวกเราไปดูที่อื่นกันต่อเถอะ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่อยากจะพูดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่เพราะความตั้งใจแรกของเขาในการสร้างสวนสนุกนี้คือเพื่อถวนถวนเป็นหลัก ส่วนเรื่องความสุขของพนักงานนั้นถึงแม้ว่าเขาจะคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่ามันจะต้องออกมาในลักษณะนี้… แต่มันก็เป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น!
“ว้าว ดูสิ ท่านประธานอวี้มาดูพวกเราด้วยแหละ!”
พนักงานหญิงหลายคนรีบซุบซิบกันด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“สวัสดีตอนบ่ายค่ะ ท่านประธานอวี้!”
“สวัสดีครับท่านประธานอวี้!”
ในระหว่างที่เดินต่อไป พนักทุกคนล้วนทักทายอวี้ฮ่าวหรานอย่างกระตือรือร้น สีหน้าของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความเคารพและเชิดชู
ภาพนี้ทำให้อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกสบายใจมากขึ้นเพราะมันหมายความว่าเขาเอาชนะใจคนในบริษัทของเขาได้แล้ว
“อย่ามองว่าท่านประธานของเราอายุน้อยแล้วจะไม่มีความสามารถเชียวล่ะ ท่านประธานมาอยู่กับเรายังไม่ถึง 2 เดือนด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ด้วยแผนการของเขามันก็ทำให้บริษัทของเราเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นมาซะอีก!”
“ใช่เลย! ความสามารถในการบริหารของประธานจัดได้ว่าสุดยอดมากๆ เขาใช้เวลาเพียงไม่เท่าไหร่ก็ควบรวมหลายบริษัทเข้ากันได้เป็นปึกแผ่น! เมื่อเทียบกับท่านประธานแล้ว แฟนของฉันดูไร้ค่าไปเลย”
“บอกเลย! ถ้าฉันยังโสดอยู่แล้วมีโอกาสจะได้แต่งงานกับเขาต่อให้ต้องเสียสินสอดทองหมั้นเท่าไหร่ฉันก็ยอม! น่าเสียดายจริงๆ ที่ฉันดันแต่งงานมีลูกไปซะแล้ว!”
“…”
ถึงแม้ว่าเหล่าพนักงานหญิงทั้งหลายจะซุบซิบกันเสียงเบามาก แต่อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ยินที่พวกเธอคุยกันทั้งหมดเพราะร่างเทวะทำให้เขามีประสาทสัมผัสที่เหนือมนุษย์ในทุกๆ ด้าน
ฮิฮิ สาวๆ นี่มัน…
เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เขาไม่คิดเลยว่าหลังจากไปสร้างความวินาศสันตะโรที่ดินแดนแห่งเทพมานานกว่าสามหมื่นปี พอกลับมาที่โลกมนุษย์เขากลับกลายเป็นไอดอลของหญิงสาวพวกนี้ไปซะได้
เรื่องนี้น่าสนใจจริงๆ
หลังจากกลับไปถึงออฟฟิศของตัวเอง อวี้ฮ่าวหรานยังคงให้ผู้จัดการหวังอยู่คุยกันต่อก่อน
“ผู้จัดการหวัง คุณไปเอารายงานสรุปผลกำไรล่าสุดของบริษัทมาให้ผมดูที ผมอยากรู้ว่าตอนนี้กำไรของบริษัทอยู่ที่เท่าไหร่”
แม้ว่าดูเหมือนว่าประสิทธิภาพการดำเนินงานของเครือฮ่าวหรานจะสูงกว่าของบริษัทชงซานก่อนหน้านี้มาก แต่ถ้าจะนับความสำเร็จจริงๆ มันต้องวัดกันที่ผลกำไรเป็นหลักสำคัญ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้จัดการหวังก็เดินกลับมาพร้อมกับแฟ้มเล่มหนึ่ง แต่สีหน้าของเขาในเวลานี้ยิ้มแย้มมากกว่าตอนที่ออกไปหยิบมาเมื่อครู่ซะอีก
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงยิ้มแบบนั้น?”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ท่านประธาน ก่อนหน้านี้ผมเอาแต่ยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องอื่นๆ ในบริษัทจนลืมตรวจสอบผลกำไรของบริษัทไปเหมือนกัน ดังนั้นผมเองก็เพิ่งเห็นรายงานผลกำไรล่าสุดฉบับนี้วันนี้เนี่ยแหละ! เอาเป็นว่าท่านประธานลองดูมันด้วยตาตัวเองก่อนดีกว่า ผมอยากให้ท่านประหลาดใจเหมือนกับผม!”
เมื่อพูดจบ ผู้จัดการหวังวางแฟ้มที่ด้านในมีแผ่นกระดาษอยู่ 2-3 แผ่นลงบนโต๊ะทำงานของอวี้ฮ่าวหราน
“อืม… รายได้… ถือว่า…. ดีเลยที… หืม?”
“นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม?”
อวี้ฮ่าวหรานดูช่องตารางรายได้อย่างละเอียด ซึ่งเขาเห็นว่าตั้งแต่เขาเข้ามาบริหาร บริษัทของเขาฟันรายได้ไปแล้วมากกว่าหนึ่งพันล้านหยวน!
นี่มันยังไม่ถึง 2 เดือนดีเลย แต่มันเกือบมากเท่ากับรายได้ต่อปีของบริษัทชงซานแล้วด้วยซ้ำ!
และยิ่งไปกว่านั้น หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด เครือฮ่าวหรานก็ทำกำไรไปแล้วมากกว่า 100 ล้าน!
สิ่งนี้ทำให้เขานึกว่าตัวเองตาฝาดจนเขาต้องอ่านรายงานซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ขอแสดงความยินดีกับท่านประธาน! ตอนนี้บริษัทของเราทำกำไรไปแล้วมากกว่าหนึ่งร้อยล้าน!”
ผู้จัดการหวังรีบก้าวเข้ามาแสดงความยินดีกับอวี้ฮ่าวหราน ตัวเขาเองที่เห็นรายงานนี้เมื่อครู่ก็ผงะไปเหมือนกัน เพราะกำไรมากขนาดนี้ในช่วงเวลายังไม่ถึง 1 ไตรมาสมันมากจนน่าใจหาย!
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่ท่าทางของเขาไม่มีอาการหยิ่งผยองจากความสำเร็จแม้แต่น้อย
แม้ว่าเขาจะรู้สึกยินดีที่บริษัทของเขาทำเงินได้มากขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ถ้านับระดับความสำเร็จในชีวิตของเขาแล้วสิ่งนี้ไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกับตอนที่เขาเป็นจักรพรรดิเทพผู้ปกครองสวรรค์ชั้นที่ 33
เมื่อดูรายงานรายต่อไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นอวี้ฮ่าวหรานก็พบว่านอกจากบริษัทเจิ้งไห่ที่สั่งสินค้าล็อตใหญ่กับเขาแล้ว ยังมีบริษัทที่ไม่คุ้นเคยอีกมากมายในนั้นซึ่งสั่งซื้อสินค้าไปไม่น้อยเลย
“บริษัทซินหลิน บริษัทกู้หยวน… บริษัทเหล่านี้… มาจากไหน?”
อวี้ฮ่าวหรานมองรายชื่อบริษัทพวกนี้ด้วยความงุนงง เขาไม่เคยได้ยินชื่อบริษัทเหล่านี้มาก่อนเลย
เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของอวี้ฮ่าวหราน ผู้จัดการหวังยิ้มกว้างแล้วตอบกลับทันที
“ไม่แปลกหรอกที่ท่านประธานจะไม่รู้จักบริษัทเหล่านี้ พวกเขาเข้ามาเซ็นสัญญากับเราในตอนที่ท่านประธานไม่อยู่บริษัท ส่วนสาเหตุที่พวกเขาเลือกบริษัทเราเป็นคู่ค้าด้วยก็เพราะพวกเขาได้ข่าวว่าบริษัทเรามีสินค้าคุณภาพดีซึ่งบริษัทเจิ้งไห่เป็นคนแนะนำเราให้กับพวกเขา”
“อ้อ เข้าใจแล้ว”
หลินป๋อนั่นเอง
คงจะมีเพียงบริษัทใหญ่ๆ เช่นบริษัทเจิ้งไห่เท่านั้นที่คำพูดมีน้ำหนักพอให้ลูกค้ารายใหญ่จำนวนมากหันมาสนใจบริษัทที่เพิ่งเปลี่ยนเจ้าของใหม่อย่างบริษัทของเขาได้แบบนี้
ปาฏิหาริย์รายได้ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ผลจากการบริหารงานของเขาเพียงอย่างเดียว…
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและครุ่นคิดสงสัยว่าเขาควรจะหาโอกาสขอบคุณหลินป๋อดีไหม
นี่ไม่ใช่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาจะมองข้ามได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานก็ตัดสินใจว่าช่วงนี้เขายังคงยุ่งๆ อยู่ เอาไว้ว่างเมื่อไหร่ก็ค่อยโทรไปก็แล้วกัน
“ผู้จัดการหวัง ช่วงนี้เจิ้งเหวยกัวทำอะไรอยู่? เขามีการเคลื่อนไหวแปลกๆ บ้างรึเปล่า?”
ต่อให้ตอนนี้เขากำลังประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ยังไม่เผลอลืมตัวว่ามีคนจ้องจะบ่อนทำลายเขาอยู่
ผู้จัดการหวังงงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าจู่ๆ อวี้ฮ่าวหรานก็ถามถึงเจิ้งเหวยกัวอีกแล้ว
“ท่านประธาน อย่าว่าแต่เขาจะเคลื่อนไหวอะไรในบริษัทเลย ช่วงนี้เขาแทบไม่มาบริษัทเลยด้วยซ้ำ” หลังจากพูดถึงจุดนี้ ผู้จัดการหวังก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเขาจึงเอ่ยความคิดของตัวเสริมขึ้นมา “ท่านประธาน ผมคิดว่าตาแก่นั่นตอนนี้น่าจะกำลังกลัวท่านประธานอยู่ เขาก็เลยไม่กล้าโผล่มา …เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็แก่มากแล้ว”
“ไม่ใช่หรอก คนแบบนั้นไม่มีทางรามือไปง่ายๆ แน่นอน ตอนนี้เขาต้องกำลังวางแผนทำอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ”
อวี้ฮ่าวหรานพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด เขามั่นใจมากว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนประเภทที่ยอมถอยง่ายๆ
ดังนั้นเขาจึงยิ่งสับสน
แต่แล้วในขณะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูออฟฟิศของเขา
คนที่มาเคาะนั้นไม่ใช่ใครอื่น เขาคนนั้นคือเจิ้งเหวยกัวที่พวกเขากำลังพูดถึงนั่นเอง!