ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] - บทที่ 298 ตำแหน่งผู้นำตระกูล
บทที่ 298 ตำแหน่งผู้นำตระกูล
บทที่ 298 ตำแหน่งผู้นำตระกูล
“หืม? แกเป็นใครวะ??”
“บัดซบ! แกนั่นแหละที่จะพบกับจุดจบ!”
นักเลงหลายคนเมื่อได้สติ พวกเขาจึงสบถใส่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าเดือดดาล ซึ่งทางด้านของชายหนุ่มเองก็ค่อย ๆ เดินเข้าหาพวกเขาอย่างสบาย ๆ ราวกับว่ากำลังเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ
“โอ้? พวกแกมีกันแค่นี้เองงั้นเหรอ?”
ที่นี่มีคนเฝ้าอยู่แค่ห้าคนเท่านั้น ซึ่งมันน้อยกว่าที่แรกมาก
“แล้วไงวะ! แค่พวกฉันคนเดียวก็หักคอละอ่อนอย่างแกได้สบาย ๆ แล้ว!”
หนึ่งในกลุ่มนักเลงตะโกนด้วยสีหน้าดูถูก เขาไม่คิดว่าคนร่างผอมอย่าง อวี้ฮ่าวหรานจะเป็นภัยต่อพวกเขา
“ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงกับการฆ่าพวกแก!”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปในพริบตาจากจุดที่ยืน และจากนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นภายในโกดังร้าง!
ที่ด้านนอก อาโกวยังคงยืนรออยู่ที่รถราวกับเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากด้านในโกดัง ตัวของเขาก็สั่นราวกับโดนน้ำเย็นสาด
เขาไม่อยากจะนึกภาพตามเลยว่าพวกคนข้างในกำลังเผชิญกับชะตากรรมแบบใดอยู่ถึงได้ร้องโหยหวนดังได้ขนาดนี้
หลังจากผ่านไปสักพัก อวี้ฮ่าวหรานก็เดินกลับออกมาจากโกดังพร้อมกับผู้บริหารอีกสองคนของเขา
เมื่อเห็นว่าอาโกวยังคงไม่จากไป อวี้ฮ่าวหรานก็หัวเราะเบา ๆ และเอ่ยว่า
“ฮ่า ๆ แกนี่รู้มากดีจริง ๆ ที่ยังไม่หนีไปไหน”
หากเป็นคนอื่นคงหนีไปแล้ว ตั้งแต่ที่เห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าไปข้างในโกดัง
จริง ๆ ไม่ใช่ว่าอาโกวไม่อยากหนี แต่เขากลัวจนวิ่งไม่ไหวต่างหาก!
เขาได้เห็นเต็มสองตามาแล้วว่าอวี้ฮ่าวหรานแข็งแกร่งผิดมนุษย์มนา ดังนั้น ใครจะรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ถูกตามเจอหากหนีไป?
จากนั้น ด้วยการบอกทางของอาโกว อวี้ฮ่าวหรานขับรถตระเวนไปตามสถานที่ต่าง ๆ อีกหลายที่ซึ่งคนของเขาถูกจับขังเอาไว้ และช่วยเหลือออกมาได้ทั้งหมด
อีกด้านหนึ่ง
ในบ้านหลักตระกูลหลี่
“หลี่อิงไห่! แกกล้าทำแบบนี้กับลูกเขยฉันได้ยังไง! แกไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีบ้างเลยงั้นเหรอ!!”
ขณะนี้ หลี่ชงซานยืนชี้หน้าด่าหลี่อิงไห่กลางห้องโถงด้วยสีหน้าเดือดดาลสุดขีด
ผู้นำตระกูลคนนี้โมโหจนไม่สนใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะมีอายุมากกว่าตัวเอง เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายตรง ๆ โดยไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย
ทว่า ในทางกลับกัน หลี่อิงไห่กลับนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ได้แสดงสีหน้าเดือดร้อนอะไรเลยถึงแม้ว่าจะถูกด่า
“หึหึ ทำไมฉันจะไม่กล้า? ผู้นำตระกูลที่อ่อนแออย่างแกไม่มีสิทธิ์บ่นอะไรทั้งนั้นหรอก! และยิ่งไปกว่านั้น ฉันผิดตรงไหน? ฉันแค่พยายามเอาบริษัทที่เป็นของตระกูลหลี่กลับมาจากคนนอกก็เท่านั้น!”
หลี่อิงไห่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับว่าเขากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง
“ก…แก!!”
หลี่ชงซานพูดไม่ออกไปสักพักเนื่องจากโกรธสุดขีด
“แกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าบริษัทชงซานได้ถูกขายให้กับตระกูลอู๋ไปแล้ว และเมื่อ ฮ่าวหราน เป็นคนซื้อมันกลับมา บริษัทชงซานก็ควรเป็นของฮ่าวหราน ไม่ใช่ของตระกูลเราอีกต่อไป!”
“ก็ที่มันเป็นแบบนั้นเป็นเพราะแกอ่อนแอและโง่เง่า!”
หลี่อิงไห่ตวาดกลับโต้แย้งคำพูดของหลี่ชงซาน
“แกปล่อยให้ลูกชายขยะของแกบ่อนทำลายตระกูลไม่พอ แต่นี่แกกลับยกบริษัทที่เป็นเสาหลักของตระกูลให้กับคนนอกอีกต่างหาก แกไม่รู้สึกละอายบ้างหรือไงชงซาน?!”
“ตอนนี้แกควรลงจากตำแหน่งผู้นำตระกูลได้แล้ว และส่งต่อมันมาให้ฉัน ฉันคนนี้ที่สามารถจัดการกับเครือฮ่าวหรานที่ใหญ่โตได้ย่อมมีความสามารถมากกว่าแกในทุก ๆ ด้าน!”
“ฮ่าวหรานไม่ใช่คนนอก!”
หลี่ชงซานอดไม่ได้ที่จะเถียงกลับในประเด็นนี้ อวี้ฮ่าวหรานช่วยเหลือตระกูลของเขาเอาไว้หลายรอบ ดังนั้นเขาจึงถือว่าอวี้ฮ่าวหรานเป็นสมาชิกในตระกูลคนหนึ่งโดยสมบูรณ์และมีสิทธิ์ทุกอย่างในตระกูล
“ฮึ่ม! แกบอกว่าลูกเขยของฉันเป็นคนนอก แล้วแกล่ะเป็นอะไร? ไอ้พวกแก๊งฉลามคลั่งเป็นคนสายเลือดเดียวกับแกหรือไง แกถึงได้ไปติดต่อกับพวกมัน?!”
เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ หลี่ชงซานจึงเผยว่าตัวเองได้รู้เรื่องบางส่วนเช่นกัน
หลี่อิงไห่อึ้งไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินประโยคนี้
“น..นี่ แกรู้ด้วยงั้นเหรอ?”
เขานึกไม่ถึงเลยว่า คนที่แทบจะไม่ได้เหยียบออกจากบ้านเลยอย่างหลี่ชงซานจะรู้เรื่องข้างนอกมากขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่แผนการทั้งหมดเพิ่งเริ่มเมื่อเช้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้สติ หลี่อิงไห่ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
“ฮ่า ๆๆ ชงซาน ดูเหมือนว่าฉันประเมินแกต่ำไปหน่อย แต่แล้วยังไงล่ะ? ต่อให้แกรู้มันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ท้ายที่สุดฉันก็คือผู้ชนะอยู่ดี!”
“ถึงแม้ว่าฉันจะพอรู้ความคิดของแก แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ทำไมแกถึงอยากได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลนักหนาจนถึงขนาดสร้างความร้าวฉานในตระกูล? แกไม่คิดบ้างเลยเหรอว่าพวกเราทั้งหมดมีสายเลือดเดียวกัน!”
หลี่ชงซานรู้สึกเจ็บปวดใจในระหว่างพูดประโยคนี้ เขาไม่คิดเลยว่าคนตระกูลเดียวกันจะหักหลังกันได้ขนาดนี้กับแค่เพียงตำแหน่งผู้นำตระกูล?
“ช่างเถอะ ๆ ฉันขี้เกียจเปลืองน้ำลายกับแกแล้วเพราะต่อให้ฉันอธิบายอะไรไป คนโง่อย่างแกก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เอาเป็นว่าหลังจากฉันยึดเครือฮ่าวหรานได้เมื่อไหร่ ต่อให้แกจะไม่ลงจากตำแหน่งผู้นำตระกูล สมาชิกทุกคนในตระกูลก็บังคับให้แกลงอยู่ดี เอาไว้เราค่อยเจอกันใหม่อีกทีตอนนั้นก็แล้วกัน!”
หลังจากพูดจบ หลี่อิงไห่ก็เดินออกจากห้องโถงไปในทันทีส่งผลให้บรรยากาศในห้องโถงเงียบสงัด
หลี่จิงเทียนซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ พ่อของเขาตลอด หลังจากได้สติจากอาการตกตะลึงเขาสะกิดพ่อของตัวเองทันที
“พ…พ่อ พวกเราจะทำยังไงกันต่อดี?”
เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น
อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ได้รับคำตอบใด ๆ เพราะตอนนี้หลี่ชงซาน เองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง
เมื่อเช้านี้หลังจากได้รับข่าวเกี่ยวกับเครือฮ่าวหราน ด้วยความไม่เชื่อเขาจึงถามข่าวนี้จากใครหลายคนและท้ายที่สุดเมื่อโทรไปถามหลี่อิงไห่ อีกฝ่ายกลับยอมรับว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแบบตรง ๆ ซึ่งมันทำให้เขาช็อกมาก
“เฮ้อ…คราวนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับฮ่าวหรานแล้วว่าจะแก้ไขปัญหานี้ยังไง”
หลี่ชงซานถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนที่จะเอนพิงเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง
ปัญหานี้มันยากเกินกว่าที่เขาจะทำอะไรได้
…
ในขณะเดียวกัน ด้วยความช่วยเหลือจากแก๊งฉลามคลั่ง หลี่อิงไห่จึงกวาดซื้อหุ้นของเครือฮ่าวหรานได้อย่างบ้าคลั่ง ซึ่งเครือฮ่าวหรานในตอนนี้นั้นเหมือนชายร่างกำยำที่ไร้มือและแขน ดังนั้นจึงไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ต่าง ๆ มันกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในเร็ว ๆ นี้!
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานช่วยเหลือทุกคนเสร็จและกลับไปถึงบริษัท เขากลับผมว่าบรรดาผู้บริหารที่เพิ่งถูกลักพาตัวไปไม่มีใครลาหยุดเลยสักคน พวกเขาต่างกลับมาทำงานเพื่อผลักดันให้สถานการณ์วิกฤตของบริษัทกลับไปเป็นปกติเช่นเดิม!