ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] - บทที่ 3 เริ่มเส้นทางการบ่มเพาะอีกครั้ง
บทที่ 3 เริ่มเส้นทางการบ่มเพาะอีกครั้ง
อวี้ฮ่าวหรานรู้จักอู๋เส้าฮัวอยู่พอสมควร
ในตอนที่เขาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยฮ่วยอันกับหลี่เม่ยภรรยาของเขา หลี่เม่ยมักมีผู้ชายจำนวนมากมาตามจีบอยู่เป็นประจำ และหนึ่งในนั้นก็คืออู๋เส้าฮัว ซึ่งเป็นคนที่ตามจีบแบบไม่ลดละมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ด้วยชื่อเสียงของอู๋เส้าฮัวที่รู้กันไปทั่วว่าเป็นเสือผู้หญิงอันดับต้น ๆ ของเมืองฮ่วยอัน หลี่เม่ยจึงไม่คิดจะสนใจอู๋เส้าฮัวเลยแม้แต่น้อย
หลี่เม่ยตัดสินใจแต่งงานกับเขาโดยไม่สนว่าตระกูลหลี่ของเธอเองจะกดดันเธอมากแค่ไหน เธอยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมาแต่งงานกับคนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเขา
ในวันแต่งงานของเขากับหลี่เม่ย อวี้ฮ่าวหรานจำได้อย่างแม่นยำว่ามันเป็นงานแต่งที่ดูเรียบง่าย และไม่มีอะไรเลย ซึ่งไม่เหมาะสมกับฐานะของคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหลี่แม้แต่น้อย
งานแต่งครั้งนั้นมันทำให้มีเสียงนินทาตระกูลหลี่ไปทั่ว ซึ่งมันยิ่งทำให้บรรดาสมาชิกตระกูลหลี่ยิ่งเกลียดขี้หน้าอวี้ฮ่าวหรานมากขึ้นกว่าเดิม ยกเว้นคนเดียวที่ยังคงนับถือเขาอยู่ และคนคนนั้นก็คือน้องภรรยาของเขาหลี่หรง
ส่วนฉายาลูกเขยขยะประจำเมืองฮ่วยอันก็ไม่ใช่ใครอื่นที่ตั้งให้อวี้ฮ่าวหราน นอกจากอู๋เส้าฮัวผู้นั้น
ตระกูลอู๋ของอู๋เส้าฮัวนั้นนับได้ว่าเป็นตระกูลอันดับต้น ๆ ของเมืองฮ่วยอัน ซึ่งมีอำนาจมากกว่าตระกูลหลี่หลายเท่า
หลังจากแต่งงานอู๋เส้าฮัวก็ยังไม่เลิกตามราวีหลี่เม่ย เขามักแวะเวียนมาตอแยหลี่เม่ยอยู่เรื่อย ๆ มีกระทั่งบางครั้งอู๋เส้าฮัวไปดักรอหลี่เม่ยที่หน้าบริษัทตระกูลหลี่เลยก็มี แต่แน่นอนว่าหลี่เม่ยก็สามารถเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง
โชคยังดีที่หลังจากแต่งงานไม่นานหลี่เม่ยก็ตั้งครรภ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งเธอก็ตัดสินใจลาออกจากบริษัทของตระกูลเพื่ออยู่บ้านเลี้ยงดูลูก และนั่นทำให้อู๋เส้าฮัวมีโอกาสน้อยลงในการตามรังควานหลี่เม่ย
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานไม่นึกเลยว่าหลังจากที่เขาไม่อยู่อู๋เส้าฮัวยังกล้าที่จะตามราวีภรรยาของเขาต่อ แถมยังใช้อิทธิพลของตัวเองกับตระกูลหลี่กดดันให้ภรรยาของเขาแต่งงานใหม่!
‘อู๋เส้าฮัว อีกไม่นานเทพผู้นี้จะไปฆ่าแกแน่!’
อวี้ฮ่าวหรานลืมตาขึ้นพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารออกมาหนาแน่นกว่าเดิม
ในตอนนี้อวี้ฮ่าวหรานได้ตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะส่งตระกูลอู๋ลงไปอยู่ในยมโลกให้หมดเมื่อถึงเวลา
‘เอาไว้รอให้ข้าผู้นี้หาภรรยาของข้าเจอก่อนเถอะ วันนั้นจะเป็นวันตายของพวกเจ้าตระกูลอู๋!!’
ไม่นานอวี้ฮ่าวหรานก็สงบใจลง ดึงกลิ่นอายสังหารที่ตัวเองปล่อยออกไปเมื่อครู่ให้กลับเข้ามาในร่าง จากนั้นเขามองไปที่หลี่หรงและพูดว่า “พาพี่ไปหาแม่ชีคนนั้นที พี่มั่นใจว่าพี่จะพาหลี่เม่ยกลับมาได้แน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้หลี่หรงก็ได้สติจากอาการตกตะลึงในความน่ากลัวของอวี้ฮ่าวหรานเมื่อครู่ เธอรีบส่ายหัว และตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ขอโทษด้วย แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่ชีคนนั้นตอนนี้อยู่ที่ไหน…ก่อนที่แม่ชีคนนั้นจะพาตัวพี่สาวไป พวกเขาได้มาหาคุณตาที่ตระกูล และจากนั้นเป็นต้นมาคุณตาก็สั่งห้ามไม่ให้ใครเอ่ยถึงเรื่องการบังคับพี่สาวแต่งงานอีกเลย และมอบหมายให้ฉันเป็นคนดูแลถวนถวน”
“อันที่จริงมีอยู่ครั้งหนึ่งฉันไปแอบได้ยินคุณตาพูดว่าแม่ชีคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ดูเหมือนว่าแม่ชีคนนั้นจะเป็นปรมาจารย์จากสำนักในตำนานอะไรสักอย่าง และการที่แม่ชีคนนั้นได้พบกับพี่สาวนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นเพราะโชคชะตากำหนดเอาไว้”
ในระหว่างที่หลี่หรงอธิบายเกี่ยวกับแม่ชีคนนั้น สีหน้าของหลี่หรงนั้นเต็มไปด้วยความประทับใจ เพราะเธอไม่เคยเห็นคุณตาของเธอนอบน้อมกับใครมากเหมือนกับเวลาที่คุยกับแม่ชีผู้นั้นเลย
“สำนักในตำนานงั้นเหรอ?” อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อย
แม่ชีผู้นั้นที่สามารถทำให้ตระกูลหลี่สยบได้ก็น่าจะเป็นปรมาจารย์ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของโลกนี้
ดูเหมือนว่าโลกใบนี้กับดินแดนแห่งเทพน่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกันบางอย่าง เพราะที่นี่ก็มีผู้เชี่ยวชาญเหมือนกับดินแดนแห่งเทพและสวรรค์ทั้ง 33 ชั้น…
ส่วนเรื่องของแม่ชีผู้นั้น ตอนนี้เขาคงต้องพักเรื่องการตามหาไปก่อนจนกว่าเขาจะแข็งแกร่งมากกว่านี้ เพราะมันเป็นไปได้ว่าภรรยาของเขาน่าจะถูกแม่ชีผู้นั้นพาเข้าไปอยู่ในมิติลับที่ซ่อนอยู่ในโลกนี้ ซึ่งการตามหานั้นเขาคงไม่สามารถใช้วิธีการธรรมดา ๆ ได้
‘น่าเสียดายจริง ๆ ที่การกลับมาโลกนี้มันทำให้ข้าต้องเสียพลังแทบทุกอย่างไปจนหมด ไม่เช่นนั้นข้าก็เพียงแค่ต้องใช้เนตรเทวะของข้าในการตรวจสอบโลกใบนี้ทั้งใบ ซึ่งมันคงใช้เวลาแค่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นในการรู้ตำแหน่งภรรยาของข้า’
‘ตอนนี้สิ่งที่ข้ายังพอหวังพึ่งได้ก็มีแค่เพียงอย่างเดียวคือร่างเทวะ ซึ่งมันเพียงพอแน่นอนในการจัดการกับมนุษย์ธรรมดา แต่ถ้าหากต้องไปเจอกับพวกผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ แล้วล่ะก็มันคงไม่เพียงพอ’
‘เฮ้อ… เอาเป็นว่านับจากนี้ข้าคงต้องเร่งบ่มเพาะเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด…ข้าไม่จำเป็นต้องฟื้นฟูไปถึงขอบเขตมหาจักรพรรดิเทพ แค่ข้าฟื้นฟูไปจนมีพลังเทียบเท่ากับเทพระดับต่ำมันก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับการจัดการกับโลกใบนี้ทั้งใบ’
อวี้ฮ่าวหรานถอนหายใจพลางตั้งเป้าหมายของตัวเอง
ถึงแม้ว่าอวี้ฮ่าวหรานจะเคยเป็นมหาจักรพรรดิเทพมาก่อน แต่การบ่มเพาะมันก็เป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน แม้แต่เขาเองก็ไม่อาจข้ามขั้นตอนใด ๆ ได้ ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำก็คือสร้างรากฐานการบ่มเพาะของตัวเองใหม่ทั้งหมดแล้วเริ่มจากศูนย์
“อวี้ฮ่าวหราน” จู่ ๆ หลี่หรงก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อน “นายบอกฉันหน่อยจะได้ไหมว่า 3 ปีที่ผ่านมานายไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมากันแน่? ทำไมนายถึงไม่ส่งข่าวอะไรมาบ้างเลย แล้วทำไมอยู่ดี ๆ ตอนนี้นายถึงได้กลับมาแบบนี้? อย่างน้อย ๆ นายก็ควรจะอธิบายอะไรสักหน่อยจริงไหม?”
“มันมีอะไรหลายอย่างที่เธอคงไม่มีวันเข้าใจต่อให้ฉันอธิบายไป ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องรู้นั่นแหละดีแล้ว” อวี้ฮ่าวหรานพยายามอธิบายแบบนุ่มนวลที่สุดตามแบบฉบับของเขาเอง
“นี่นาย…!” หลี่หรงรู้สึกโมโหขึ้นมาอีกรอบจนอยากชกหน้าผู้ชายคนนี้อีกสักหมัดสองหมัด
แต่เมื่อเธอนึกถึงอวี้ฮ่าวหรานที่ดูน่ากลัวมาก ๆ เมื่อครู่ เธอก็เลือกที่จะกลืนความคิดนั้นของตัวเองกลับไป
“หรงหรง พี่ต้องขอบคุณเธอมากจริง ๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอช่วยดูแลถวนถวนมาเป็นอย่างดี พี่ขอให้สัญญาว่าหลังจากนี้พี่จะตอบแทนเธออย่างเหมาะสมแน่นอน” หลังจากอวี้ฮ่าวหรานพูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องของหลี่หรงไปทันที และกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
“ใครอยากจะได้รับการตอบแทนจากคนอย่างนาย! ฉันเป็นน้าของถวนถวนนะโว้ย แถมถวนถวนก็เคยเรียกฉันว่าแม่ด้วยอีกต่างหาก!!” หลี่หรงกัดฟันกรอด มองอวี้ฮ่าวหรานที่จากไปด้วยสีหน้าเดือดดาล
…
ในตอนกลางดึก
อวี้ฮ่าวหรานนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง พยายามทำจิตใจให้สงบเพื่อเริ่มการบ่มเพาะใหม่อีกครั้ง
ในตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าการตามหาภรรยาของเขาไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเขาจำเป็นต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด
ถึงแม้ว่าในตอนนี้พลังทุกอย่างที่อวี้ฮ่าวหรานเคยมีมาเมื่อตอนที่อยู่สวรรค์ชั้น 33 จะหายไปหมดแล้ว แต่ด้วยประสบการณ์ที่บ่มเพาะมาถึง 3 หมื่นปีมันจึงทำให้เขามีความรู้มากมายเกี่ยวกับการบ่มเพาะ และนั่นรวมไปถึงการบ่มเพาะวิถีแห่งมารด้วย
ในสถานการณ์ของเขาตอนนี้ เขาจำเป็นต้องบ่มเพาะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งวิถีแห่งมารนั้นตอบโจทย์กับสถานการณ์นี้ของเขามาก ๆ
สำหรับฮ่าวหรานแล้วไม่ว่าจะเป็นวิถีแห่งเทพหรือวิถีแห่งมารมันก็เหมือน ๆ กัน มันแตกต่างกันที่ผู้ใช้วิถีทั้งสองไม่มีดีหรือเลวมากน้อยไปกว่ากัน
เพื่อการตามหาภรรยาของตัวเอง เขายินดีที่จะเปลี่ยนตัวเองจากมหาจักรพรรดิเทพกลายเป็นจอมมารด้วยความเต็มใจ
เคล็ดวิชาเทพมารกลืนสวรรค์ยังคงถูกเก็บอยู่ในดวงใจของเขามาตลอด นับแต่วันที่เขาได้สังหารจักรพรรดิมารเมื่อตอนอยู่ดินแดนแห่งเทพ
ด้วยการที่เขาเคยเป็นมหาจักรพรรดิเทพมาก่อนดังนั้นเขาจึงมีความสามารถหยั่งรู้แก่นแท้เคล็ดวิชาทุกแบบได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในตอนนี้เขาก็ใช้ความสามารถนั้นในการบรรลุเคล็ดวิชาเทพมารกลืนสวรรค์ภายในพริบตา
อวี้ฮ่าวหรานค่อย ๆ หลับตา จากนั้นเขาก็เริ่มหายใจเข้าหายใจออกตามจังหวะการบ่มเพาะของเคล็ดวิชาเทพมารกลืนสวรรค์
ในทุกครั้งที่อวี้ฮ่าวหรานหายใจ อากาศที่อยู่รอบ ๆ กายเขาก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง อากาศที่อยู่รอบ ๆ เริ่มควบแน่นจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า และม้วนตัวเข้าไปในรูจมูกของอวี้ฮ่าวหราน เข้าไปเสริมสร้างจุดชีพจรหลักต่าง ๆ
“หืม? พลังที่ข้าสูดเข้าไปเมื่อกี้นี้มันไม่เห็นมีกลิ่นอายของพลังมารเลยนี่นา?” อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะพลังที่เขาดูดซับเข้ามาสู่จุดตันเถียนเมื่อครู่มันไม่ใช่พลังวิญญาณวิถีมารแบบที่เขาเคยพบเห็นมาก่อนหน้านี้
“หรือว่าเมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ พลังทุกรูปแบบมันจึงถูกแปรเปลี่ยนไปหมด ไม่มีทั้งพลังวิถีแห่งเทพและมาร เคล็ดวิชาบ่มเพาะทุกอย่างจะใช้แต่พลังที่ไหลเวียนอยู่ในโลกนี้เท่านั้น?” ความคิดนี้มันทำให้มุมมองของอวี้ฮ่าวหรานที่มีต่อโลกเปลี่ยนไป
พลังวิญญาณที่สถิตอยู่ในโลกนี้มันไม่เหมือนกับดินแดนแห่งเทพ และสวรรค์ทั้ง 33 ชั้นแม้แต่น้อย มันดูเหมือนว่าโลกใบนี้มีกฎเป็นของตัวเองที่ไม่อนุญาตให้พลังวิถีแห่งเทพหรือมารสามารถแทรกซึมเข้ามาได้ ดังนั้นการบ่มเพาะในโลกนี้จึงมีได้แค่วิธีเดียวคือการบ่มเพาะกับพลังวิญญาณของโลกนี้เท่านั้น ซึ่งมันช่างเบาบางเป็นอย่างมากหากเทียบกับดินแดนอื่น ๆ ที่เขาเคยไปมา
อวี้ฮ่าวหรานตั้งเป้าเอาไว้ในใจว่าถ้าหากเขาฟื้นฟูแก่นแท้ดวงวิญญาณเทวะของตัวเองได้สำเร็จเมื่อไหร่ เขาจะใส่พลังวิถีแห่งเทพให้สถิตอยู่ในโลกใบนี้เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ทุกคนบนโลก