ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] - บทที่ 324 งานประมูลใหญ่
บทที่ 324 งานประมูลใหญ่
บทที่ 324 งานประมูลใหญ่
ในไม่ช้าเรื่องนี้ก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง คนของแก๊งวาฬยักษ์ทั้งหมดก็รวมตัวกัน และเปลี่ยนชื่อเป็นแก๊งทะเลฉลาม
อีกด้านหนึ่ง…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลี่จิงเทียนมาที่บริษัทแต่เช้าและนั่งบนเก้าอี้ราคาแพงอันแสนสบายของตัวเองอีกครั้งด้วยสีหน้าเบิกบานสุดขีด
หลี่อิงไห่ถูกโค่น หวังเจวียตายแล้ว อู๋เส้าฮัวก็ตายเช่นกัน แม้แต่เผิงอิงอิงที่เคยสมรู้ร่วมคิดกับเขาก่อนหน้านี้ก็ต้องไปนอนในคุก แต่ตอนนี้เขากลับยังสามารถนั่งสบายอยู่ที่นี่ได้
นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาฉลาดกว่าคนพวกนั้นหรอกเหรอ?
หลี่จิงเทียนคิดอย่างภาคภูมิใจ
“ฮึ คนเหล่านั้นมันก็แค่พวกโง่เง่า พวกมันคิดว่าพวกมันฉลาดมาก แต่ฉันต่างหากที่ฉลาดมากกว่าพวกมัน!”
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่ามากกว่าเดิม
แต่แน่นอนว่าถึงแม้ในตอนนี้เขาจะยังละทิ้งนิสัยหลงตัวเองไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าตัวอยู่เหนือกว่าพี่เขยของตัวเองอีกแล้ว เขาเข้าใจดีว่าจากทัศนคติของพี่เขย นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตัวเองจะได้รับการให้อภัย หลังจากนี้หากเขาสร้างเรื่องอีก เขาอาจจะได้ไปนอนตัวเย็นอยู่ใต้ต้นไม้แถบชานเมืองแทน
ชั้นบนสุดของอาคารสำนักงาน
“วันนี้หลี่จิงเทียนมาที่บริษัทหรือเปล่า?”
หลังจากฟังรายงานตามปกติแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ถามด้วยความสนใจ
“เขามาครับท่านประธาน แต่หลังจากที่เขาเข้าไปในออฟฟิศของตัวเอง เขาก็ไม่ออกมาเลย”
ผู้จัดการหวังจับตาดูความเคลื่อนไหวของหลี่จิงเทียนอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถตอบได้อย่างรวดเร็ว
“อืม ดีแล้วที่มันไม่ออกมาเดินเพ่นพ่าน ถึงแม้ว่าผมจะให้ตำแหน่งรองประธานกับเขา แต่เขาจะไม่มีสิทธิไม่มีเสียงใด ๆ ทั้งนั้นในบริษัท เอาไว้เดี๋ยวผมจะจัดการประชุมกับผู้บริหารทุกคนเพื่ออธิบายเรื่องนี้กับทุกคนให้รู้เอาไว้ด้วย”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและอธิบายแผนของเขาอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มไม่ได้คิดอะไรมากกับการให้เงินเดือนหลี่จิงเทียนแบบเปล่า ๆ แต่สิ่งที่กังวลก็คือ เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมายุ่มย่ามกับกิจการในบริษัท
หลี่จิงเทียนนั้นค่อนข้างโง่ และเป็นพวกไร้สมอง คนแบบนี้ต่อให้ไม่คิดร้ายต่อบริษัท แต่หากเข้ามามีอำนาจตัดสินใจในบริษัทมากเกินไปมันก็รังแต่จะทำให้บริษัทวุ่นวาย
ผู้จัดการหวังไม่ได้ถามอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท้ายที่สุด นี่คือเรื่องในครอบครัวของเจ้านายของเขา ดังนั้นจึงไม่ควรออกความเห็นมากเกินไป
แต่ในขณะเดียวกันนี้ จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของอวี้ฮ่าวหรานก็ดังขึ้น
“คุณออกไปก่อน”
เมื่อเห็นมีสายเข้า อวี้ฮ่าวหรานโบกมือให้ผู้จัดการหวังออกไปและรับโทรศัพท์
“ฮ่า ๆๆ! น้องอวี้ ช่วงนี้นายเป็นไงบ้างสบายดีไหม? ไม่เห็นนายติดต่อมาบ้างเลย หรือว่าเดี๋ยวนี้นายไม่สนใจพวกวัตถุโบราณแล้ว?”
น้ำเสียงที่ร่าเริงของหลินป๋อดังมาจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง
“อืม ก่อนหน้านี้ผมยุ่งนิดหน่อย แต่วันนี้ผมว่างอยู่”
“ฮ่า ๆ ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย! วันนี้ฉันจะไปงานประมูลระดับสูง ในงานมีโบราณวัตถุล้ำค่ามากมายที่จะถูกนำขึ้นประมูลแยกกัน และงานประมูลนี้ก็เชิญแขกไม่มาก อีกทั้งคนนอกไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วม แต่ถ้านายว่างวันนี้ตอนเที่ยงนายมาหาฉันได้เลย!”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของอวี้ฮ่าวหรานเต้นรัวทันที
“โอเค บอกสถานที่มาได้เลย ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เขาตกลงโดยไม่ลังเล
ถึงเวลาที่เขาควรจะเร่งเพิ่มระดับการบ่มเพาะ
การปรากฏตัวของผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานทำให้เขาตระหนักว่านับจากนี้เขาจะต้องเจอกับพวกผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งในโลกนี้แล้ว ซึ่งถ้าหากต้องการใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นต่อไป ชายหนุ่มก็จำเป็นต้องบ่มเพาะให้เร็วขึ้นเท่านั้น
“ตกลง! สถานที่จัดงานประมูลคือห้องจัดเลี้ยงที่ชั้นบนสุดของโรงแรมเคมปินสกี้ ตอนนี้ฉันเองก็อยู่ในระหว่างเดินทางไป เอาไว้เราเจอกันที่นั่นก็แล้วกันนะน้องอวี้!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วก็วางสาย
ช่วงก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ซื้อโบราณวัตถุมาพักใหญ่ ๆ แล้ว
หลังจากกลับจากการทริปไปเที่ยว มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ชายหนุ่มยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่น
จากนั้นเขาก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการจัดการเอกสารตอนเช้า และขับรถตรงไปยังโรงแรมเคมปินสกี้
หลังจากผ่านไปกว่ายี่สิบนาที อวี้ฮ่าวหรานก็มาถึงล็อบบี้ของโรงแรม และแจ้งชื่อของตัวเองกับพนักงานโรงแรม
ดูเหมือนว่าหลินป๋อจัดการทุกอย่างให้เขาหมดแล้ว พวกพนักงานโรงแรมจึงนำทางเขาตรงไปยังลิฟท์อย่างนอบน้อม
ระหว่างทางนั้นมีพวกบอดี้การ์ดชุดดำจำนวนมากยืนประจำจุดตามรายทางทุก ๆ สิบเมตร ที่เอวของบอดี้การ์ดเหล่านี้โปนเล็กน้อยซึ่งไม่ต้องเดาเลยว่าคนเหล่านี้ล้วนติดอาวุธกันทุกคน
เห็นได้ชัดว่าการประมูลครั้งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่
ในไม่ช้า ภายใต้การนำของพนักงาน เขาก็เข้าไปในห้องจัดเลี้ยงชั้นบนสุด
ห้องจัดเลี้ยงแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหลังของห้องเต็มไปด้วยอาหารและของขบเคี้ยวต่าง ๆ เหมือนงานเลี้ยงทั่วไป
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมีโต๊ะที่ดูหรูหราวางอยู่บนเวที และที่ด้านล่างเวทีก็มีเก้าอี้ที่แต่ละตัวดูราคาแพงจำนวนมากวางเรียวแถวอยู่หลายสิบตัว เห็นได้ชัดว่าส่วนนี้ใช้สำหรับจัดงานประมูล
ในเวลานี้ห้องจัดเลี้ยงเต็มไปด้วยพวกผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ ในเมืองฮ่วยอันมากมาย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงของซูหว่านเอ๋อ
“ฉัน…ฉัน…ไปได้แล้วหรือยัง?”
น้ำเสียงของซูหว่านเอ๋อเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก ซึ่งมันทำให้อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะเดินไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
หลังจากเดินผ่านผู้คน
อวี้ฮ่าวหรานเห็นกลุ่มชายสามคนยืนล้อมรอบซูหว่านเอ๋ออยู่ตรงกลาง
“โธ่ จะรีบไปไหนกันล่ะหว่านเอ๋อ? รู้ไหมว่าผมชอบคุณมานานแล้ว ตอนนี้สัญญาการแต่งงานของคุณก็ถูกยกเลิก คุณแต่งงานกับผมได้ไหม? คุณก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ได้ด้อยกว่าหลี่จิงเทียนมากเท่าไหร่หรอก”
“หว่านเอ๋อ ผมเองก็ชอบคุณเช่นกันนะ! ถ้าเป็นเรื่องเงิน ผมเองก็มีเงินเหมือนกับหลี่จิงเทียน!”
“อย่าไปฟังไอ้สองคนนี้ หว่านเอ๋อ ผมเองก็ชอบคุณเช่นกัน ถ้าคุณตกลงกับผม ผมจะให้พ่อผมไปคุยกับพ่อคุณทันทีวันนี้เลย!”
ในเวลาเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานได้ยินทุกคำพูดของชายทั้งสามคนจากประสาทการฟังอันเหนือมนุษย์
ซูหว่านเอ๋อดูสับสนในเวลานี้ และเนื่องจากเธอพูดไม่เก่ง จึงไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเหนื่อยใจ แม้กระทั่งหลังจากเหตุการณ์นั้น สาวน้อยคนนี้ก็ยังพูดกับคนอื่นไม่เก่งอยู่ดี
ถ้าเปลี่ยนเป็นเฉิงชิวอวี้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ป่านนี้ไอ้สามหนุ่มนั่นคงโดนตบไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ชายหนุ่มก็รีบเดินออกไป ในฐานะที่เขาและเธอเป็นเพื่อนกัน ดังนั้นตามปกติแล้วจึงไม่สามารถมองดูอีกฝ่ายถูกรังแกได้
“แต่… ฉันไม่ต้องการ…ฉันไม่ต้องการที่จะแต่งงาน…”
ซูหว่านเอ๋อเริ่มตื่นตระหนกและสับสนจากการถูกชายทั้งสามคุกคามที่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เธอไม่สามารถพูดโต้แย้งได้อย่างเหมาะสมเพราะความหัวอ่อนของเธอ
แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้ชายทั้งสามได้ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ฮ่า ๆ ไม่เป็นเรา งั้นเรายังไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้ พวกเรามาทดลองอยู่ด้วยกันก่อน แต่ฉันมั่นใจว่าเมื่อไหร่ที่ฉันทำให้เธอขึ้นสวร…”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฮึ่ม! พวกแกไม่เห็นหรือไงว่าผู้หญิงกำลังไม่พอใจ?”
อวี้ฮ่าวหรานเดินมาหยุดที่ด้านหลังและมองดูชายทั้งสามคนอย่างดูถูก
ทั้งสามคนประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แต่พวกเขาก็หัวเราะทันทีเมื่อเห็นว่าผู้พูดเป็นแค่ชายที่สวมเสื้อผ้าธรรมดามาก
“ฮ่า ๆ ฉันก็นึกว่าเป็นใครใหญ่โตที่ไหนมาพูดจาอวดเบ่ง นี่คนจน ๆ อย่างแกเข้ามาในงานนี้ได้ไงเนี่ย? ไปเลย รีบไสหัวไปให้ไกล ๆ อย่ามารบกวนเวลาของฉันกับหว่านเอ๋อ ไม่งั้นฉันจะเรียกยามให้มาลากแกออกไป!”
ผู้พูดขณะนี้คือชายหนุ่มร่างอ้วนที่แต่งตัวดี แต่สีหน้าของเขาแสดงอาการดูถูกอย่างชัดเจน
“ฮ…ฮ่าวหราน!”
ซูหว่านเอ๋อไม่คิดเลยว่าเธอจะได้พบกับอวี้ฮ่าวหรานที่นี่ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ใบหน้าซีดเผือดของเธอจู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันใด
ชายร่างอ้วนประหลาดใจกับอาการแสดงออกของซูหว่านเอ๋อ เขามองทั้งสองอย่างสับสน
“บัดซบ! นี่มันบ้าอะไรกัน? ซูหว่านเอ๋อ ฉันไม่คิดเลยนะว่าผู้หญิงที่อยู่ในสังคมชั้นเดียวกับเราจะลดตัวลงไปคบกับคนจน ๆ แบบนี้ด้วย!”
เขาอดไม่ได้ที่จะติเตียนด้วยความอิจฉาในใจ